จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,561
“…”
กริดรู้สึกทึ่งกับเปลวไฟที่กำลังคำรามในเตาหลอม
เตาหลอมชนิดพกพา ขนาดเล็กกะทัดรัด
ความร้อนด้านในกำลังระอุท่วมท้น
ร้อนพอที่จะละลายกระดูกมังกรได้ง่ายดาย
แต่กลับไม่เกรี้ยวกราด
พลังทำลายอันเกิดจากคุณสมบัติในการหลอม ซึ่งแม้แต่เตาหลอมขนาดยักษ์ก็ยังรับมือได้ยาก กลับถูกปรับให้เหมาะสมกับความทนทานของเตาหลอมชนิดพกพา คล้ายกับมีคุณสมบัติช่วยปกป้องมิให้เตาหลอมถูกทำลายจากไฟของตัวเอง กริดสัมผัสได้ถึงความห่วงใยและอบอุ่น
‘เปลวไฟตอบสนองต่อเจตจำนงของอิฟริต?’
ราวกับเปลวไฟชนิดนี้มีชีวิตและลมหายใจ
ลักษณะแตกต่างจากเปลวไฟชนิดอื่นซึ่งมุ่งมั่นแต่จะเผาผลาญ ทำลายล้าง และกลืนกิน
ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลาย กริดอดคิดไม่ได้ว่าเปลวไฟชนิดนี้คล้ายกับเพลิงฟีนิกซ์แดง
แม้จะไม่มีชีวิตชีวาเท่าเพลิงฟีนิกซ์แดง แต่ก็ต่างกันไม่มากนัก ยิ่งไปกว่านั้น เปลวไฟของอิฟริตซึ่งกำลังไหววูบอยู่ในแกนกลางเตาหลอม กำลังแผ่พลังทำลายที่สูงกว่าเพลิงฟีนิกซ์แดง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เพลิงของอิฟริตกับฟินิกซ์แดงมีจุดแข็งแตกต่างกัน ยากที่จะระบุชัดเจนว่าของใครเหนือกว่า จึงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า เปลวเพลิงทั้งสองชนิดมีความทัดเทียมกัน
เมื่อพิจารณาว่าฟีนิกซ์แดงคือหนึ่งในสี่สัตว์เทพแห่งตะวันออก ข้อเท็จจริงข้างต้นน่าตกตะลึงไม่น้อยทีเดียว
พลังของสี่เทพผู้พิทักษ์ซึ่งถูกผนึกเป็นเวลานาน อาจเทียบไม่ได้กับสมัยรุ่งโรจน์ แต่ก็ยังคงทรงอำนาจอย่างไร้ข้อกังขา
ทว่า มังกรธรรมดา มิใช่มังกรอาวุโส กลับมีเปลวเพลิงในระดับที่ทัดเทียมกัน
‘นี่สินะ มังกร…’
หากไม่นับมังกรอาวุโส กริดรู้จักเพียงเนเฟลิน่าและกูเซล
โดยไม่รู้ตัว ภายในใจชายหนุ่มสร้างบรรทัดฐานของ ‘มังกร’ ตามความแข็งแกร่งของทั้งสอง
นั่นเป็นข้อผิดพลาด
กูเซลที่กริดได้พบเจอ เป็นไม่มากไปกว่าเจตจำนงหลังความตาย และเนเฟลิน่าเป็นเพียงแฮชลิ่ง
เป็นมาตรฐานที่ไม่ดีเอาเสียเลย
‘เกือบฉิบหายแล้วไหมล่ะ…’
แม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน แต่กริดมั่นใจว่าตนเกือบฉิบหาย
มันคิดว่ามังกรเป็นศัตรูที่อยู่ในความควบคุม
‘ยังมีบางแง่มุมที่ทัศนวิสัยของเราคับแคบ’
การมัวแต่ไล่ตามบาเอลทำให้การรับรู้รอบตัวของกริดแคบลง
ชายหนุ่มรู้สึกกดดันอย่างหนัก กับการต้องไขว่คว้าความแข็งแกร่งเพื่อโค่นล้มอีกฝ่าย
สรุปโดยสั้น มันสูญเสียความเยือกเย็น
เป็นพฤติกรรมที่สมควรถูกตำหนิ
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องหดหู่
อย่างน้อยก็เลี่ยงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดได้
แค่นำบทเรียนไปปรับปรุงตัวเองก็พอ
‘ในอนาคต เห็นทีคงต้องสุภาพกับมังกรให้มากกว่านี้’
เหมือนกับตอนที่คอยอำนวยความสะดวกให้ไรเดอร์ส
หรืออย่างน้อยก็ควรรักษามารยาทขั้นพื้นฐาน
‘ดูเหมือนเจ้านี่จะไม่ได้เกลียดเรา’
อิฟริตตักเตือนกริดด้วยความหวังดี ถึงอันตรายซึ่งจะได้รับหลังจากฆ่ามังกร ขณะเดียวกันก็ขอความร่วมมืออย่างเป็นมิตร
ถึงขั้นแสดงความเชื่อใจด้วยการตัดแขนของตัวเองหนึ่งข้าง
แต่แน่นอน สำหรับมังกร แขนเป็นอวัยวะที่แทบไม่ได้ใช้งาน
เมื่อเทียบกับท่อนขาขนาดมหึมาทั้งสอง แขนจะเล็กกว่าสิบเท่า แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เว้นเสียแต่จะจำแลงกายเป็นมนุษย์
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันยอมสละอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย
อีกทั้งเจ้าตัวยังอยู่ในสภาพบาดเจ็บหนัก การเพิ่มแผลใหม่บนร่างกายไม่ใช่เรื่องที่ยอมกระทำได้ง่าย
แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า การตัดสินใจของมัน อาจเกิดจากสภาวะจำยอม
มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่มังกรตัวอื่นจะไม่เป็นมิตรเหมือนกับอิฟริต
อย่างไรก็ดี หนึ่งประเด็นที่ต้องคำนึงถึงก็คือ อิฟริตตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบันของกริด หมายความว่า มังกรตัวอื่นก็น่าจะตระหนักถึงสถานการณ์ของกริดด้วยเช่นกัน
แต่กระนั้น จวบจนปัจจุบัน ยังไม่เคยมีมังกรตัวใดเผยท่าทีเป็นศัตรูกับกริด
กล่าวคือ มังกรมิได้มองว่ากริดเป็นมิตรหรือศัตรู ความสัมพันธ์ในอนาคตจะขึ้นอยู่กับการวางตัวของกริดเอง
‘ถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากเป็นมิตรกับพวกมัน’
กริดหวนนึกถึงหน้าที่ของสภาหอคอย
เป้าหมายมิใช่การทำร้ายมังกร แต่เป็นการลดความเสียหายอันเกิดจากมังกร
นั่นคือคำใบ้
การเป็นศัตรูกับมังกร คือสิ่งที่ห้ามทำโดยเด็ดขาดเว้นเสียแต่จะจนตรอก
“มังกรเพลิงสินะ… หาได้ยากแม้แต่ในหมู่มังกร ตัวตนแสนล้ำค่านั่นกำลังหลบซ่อนบนดินแดนของเรา”
หนึ่งในสามซาเปิดปาก
พวกมันจดจ้องไปทางอิฟริตอย่างไม่ละสายตา
ใช่แล้ว
ในสายตาพวกมัน อิฟริตคือผู้บุกรุก
ลอบเข้ามาในดินแดนของพวกตนตามอำเภอใจ สร้างความวุ่นวาย และคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก
ส่งผลให้มียังบันต้องตายไปหลายคน
แม้ในความเป็นจริง ต้นตอของความโกลาหลคือชิ้นส่วนพลังบาเอล และคนที่เป็นสาเหตุการตายของยังบันส่วนใหญ่คือกริด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อิฟริตจะถูกเข้าใจผิดว่าตัวการที่ต้องรับผิดชอบ
> อย่างนี้นี่เอง พวกเจ้าก็เหมือนข้าสินะ
บรรยากาศย่ำแย่สุดขีด
กริดเงี่ยหูฟังบทสนทนาระหว่างอิฟริตและสามซา
ตรงหน้าคือภารกิจซึ่งต้องแข่งกับเวลา
การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า
กริดต้องแบ่งสมาธิเพื่อเฝ้าระวัง คอยตอบสนองต่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น
มือของชายหนุ่มยังคงระวิงโดยไม่หยุดพัก
ประสาทสัมผัสเกือบทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการถลกหนังท่อนแขนอิฟริต มีเพียงโสตประสาทที่ถูกแบ่งออกไปเงี่ยฟัง
ความสำคัญอันดับหนึ่งของกริดในตอนนี้ก็คือ ต้องสร้างศาสตรามังกรให้สำเร็จ
เมื่อพิจารณาจากรางวัลภารกิจซึ่งมีเพียง ‘การรอดชีวิต’ มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ศาสตรามังกรจะตกเป็นของอิฟริต
แต่ในมุมมองกริด ลำพังประสบการณ์ขณะผลิตศาสตรามังกร มีคุณค่าเพียงพอที่จะเป็นทั้งกำไรและรางวัล
เพื่อให้มีชีวิตรอดและได้ครอบครองประสบการณ์ดังกล่าว กริดต้องเร่งมือผลิตศาสตรามังกรให้ทัน
ฉึบ!
กริดตวัดมือตัดหนังที่ถลกออกมาอย่างชำนาญ
ก่อนที่กระบวนการถลุงกระดูกจะเริ่มขึ้น หนังมังกรซึ่งจะใช้พันรอบด้ามก็ถูกเตรียมเสร็จ
เป็นพลังของระบบการสร้างไอเท็มอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกจากภารกิจ
“…”
กริดมิได้สนใจมีร์ และมีร์ก็มิได้มองกริด
ทั้งสองเมินกันและกัน
อดีตที่เคยร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ปัจจุบันถูกฝังลงในส่วนลึกของหัวใจ
มีร์จำต้องทำเช่นนั้น และกริดก็เข้าใจ
สิ่งนี้ทำจากขนของฟีนิกซ์แดง?
พุงซาส่ายหน้าพลางใช้ ‘พัด’ ซึ่งไหววูบประหนึ่งเปลวเพลิงปิดปากของตน
คล้ายกับคำพูดของอิฟริตสร้างความระคายเคืองให้มันไม่น้อย
“กำลังจะบอกว่า สิ่งมีชีวิตซึ่งเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับชิ้นส่วนพลังของบาเอลเยี่ยงสัตว์ร้ายเช่าเจ้า เป็นเหมือนกับพวกเรา? ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก เจ้ามีความผิดโทษฐานทำร้ายครึ่งเทพและ…”
> ข้าอาจสูญเสียเหตุผล แต่ก็คงไม่ต่ำต้อยเท่ากับสิ่งมีชีวิตน่าสมเพชที่กุมจุดอ่อนของสายพันธุ์ต่ำกว่าเพื่อสั่งสมพลังให้ตัวเอง
“ความผิดโทษฐานอาละวาดในดินแดนของมหาเทพ…”
> จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เจ้าของดินแดนแท้จริงแล้วเป็นสิ่งอื่น พวกเจ้าตั้งตนเป็นนายเอาเองไม่ใช่หรือ?
“…ยั่วยุไปก็เปล่าประโยชน์ อย่าเสียเวลานักเลย”
> เจ้าเองก็ควรหุบปากเช่นกัน เลิกอ้างคำพูดสวยหรูแล้วบอกมาตรงๆ ว่าปรารถนาร่างกายข้าจนแทบอดใจไม่ไหวแล้ว
“เจ้านี่…”
“พุงซา พอก่อน”
อึนซาและอูซาซึ่งห้ามปรามอีกฝ่าย ก้าวออกมาด้านหน้า
ฟ้าดินเคลื่อนไปตามการขยับตัวของพวกมัน
ผืนนภาเอนเอียงเพียงพวกมันตวัดมือ ผืนธรณีสั่นไหวตามการย่างเท้า ราวกับโลกนี้ตอบสนองเจตจำนงของทั้งสอง
เมื่อทั่งและเตาหลอมเอียงทำมุมเก้าสิบองศา กริดซึ่งผงะไปเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเหนียว
‘โลกจินตภาพของสามซา? ตั้งแต่เมื่อไร?’
เวทมนตร์ซึ่งเกิดจากสามเทพร่วมมือ
เข้าใจได้ว่าทำไมประสาทสัมผัสเหนือมนุษย์ของกริดซึ่งได้รับการขัดเกลาจนเป็นเลิศ ถึงตรวจไม่พบความผิดปรกติใดเลย
“หึหึ เผ่าพันธุ์อันจองหองเสียดท้องฟ้า ผู้ไม่เคยคิดยำเกรงทวยเทพ…”
> พวกเจ้าเองก็มิได้ยำเกรงทวยเทพ ถึงได้ขโมยแผ่นดินนี้เป็นของตนมิใช่หรือ?
“…ดังที่เคยกล่าวไปข้างต้น ความผิดของเจ้ามีบทลงโทษคือความตาย”
> ทั้งที่โดนขับออกจากแอสการ์ดเพราะมัวแต่พล่ามเรื่องไร้สาระ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนนิสัยสินะ
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะหายใจบนผืนแผ่นดินนี้”
ใบหน้าของสามซาซึ่งถูกจับผิดในทุกคำพูด กำลังอึมครึมและดำมืด โดยเฉพาะพุงซา
พวกมันอาจประหม่าเล็กน้อยขณะร่ายคาถา แต่เพียงไม่นาน คาถาหลายชนิดก็ถูกร่ายจนเสร็จ ฉากของวงแหวนเวทขนาดมหึมาที่ปกคลุมท้องฟ้าชวนให้นึกถึงผืนนภายามค่ำคืน
‘เวียนหัวชะมัด’
ฟ้าดินเริ่มตอบสนองต่อสามซาด้วยความอ่อนไหวมากกว่าเดิม
ทุกครั้งที่สามซาตวัดมือ ท้องฟ้าพลันพลิกกลับด้าน
แต่ตามชื่อของมัน สามซาย่อมมีสามคน
เมื่อทั้งสามขยับมือคนละครั้ง ฟ้าดินพลันเปลี่ยนผันไปถึงสามตลบ
แม้จะอยู่ในโลกของประสาทสัมผัสเหนือมนุษย์ที่แท้จริง แต่อาการวิงเวียนก็ยังกัดกินจิตใจชายหนุ่มจนร่างกายขาดสมดุล
“…!”
กริดซึ่งกำลังเพ่งสมาธิอยู่กับการเป่าลมเตาหลอม มีอันต้องผงะไปเล็กน้อย เนื่องจากดวงตาของอิฟริตได้โผล่ขึ้นตรงหน้า
ดวงตาเปี่ยมความดุร้ายของอีกฝ่าย มีขนาดใหญ่กว่าร่างกายกริดหลายเท่า
ความกลัวพลันบังเกิดโดยธรรมชาติ
สุ้มเสียงอันคมชัด สลักลงบนสมองของกริดที่พร่าจาง
> จินตภาพของสามเทพมิอาจฉุดรั้งเจ้าได้
กล่าวจบ อิฟริตอาเจียนเลือดคำโต
คำพูดดังกล่าวเป็นราวกับประกาศิต
ฟ้าดินซึ่งเคลื่อนคล้อยด้วยความเร่ง กลับคืนสู่ภาวะปรกติในพริบตา
กริดพลันตะลึงกับฉากอันน่าเหลือเชื่อตรงหน้า
บาเรียครึ่งวงกลมซึ่งด้านในเป็นห้วงมิติเวทมนตร์ ปรากฏขึ้นในการมองเห็นของชายหนุ่ม
นี่คือร่างจริงของโลกจินตภาพสามซา ซึ่งกริดไม่ได้เห็นในตอนแรก
ภายในมีสามซา มีร์ และอิฟริต
“กลับมาเจอกันเร็วกว่าที่คิด”
ไม่สิ มีร์ยังคงอยู่บนโลกความจริง
สุ้มเสียงซึ่งดังขึ้นจากด้านหลังทำให้กริดเริ่มวิตก
“มีร์…”
ชายหนุ่มหันกลับไปมอง
ฝ่าเท้ายังคงกระทืบเครื่องสูบลมโดยไม่หยุดพัก
อันที่จริง พฤติกรรมดังกล่าวเป็นท่วงท่าที่น่าเกลียด แต่ค่าความน่าเกรงขามจำนวนมหาศาล ช่วยทำให้ดูไม่เลวร้ายอะไรนัก
“รู้จักมังกรเพลิงทราวก้าใช่ไหม”
มีร์ชักดาบเชื่องช้า
ใบดาบอันเย็นชากำลังส่องแสงสีฟ้าวิบวับ ดูคล้ายกับพายุกำลังก่อตัว ทั้งคมกริบและคุกคาม
“มังกรเพลิงมักถูกเรียกว่ามังกรในหมู่มังกร ไม่เว้นแม้กระทั่งในหมู่มังกรอาวุโส… ในอดีต เคยมีช่วงเวลาที่พวกมันแข็งแกร่งและดุร้ายมากเป็นพิเศษ เก่งกาจชนิดที่สามารถล่าหรือหยอกล้อเทพเพียงเพื่อความสนุก… ข้าได้ยินว่าเทพบนแอสการ์ดฉวยโอกาสดังกล่าวเพื่อทำข้อตกลงสงบศึกกับมังกร”
“…”
“อิฟริตเป็นมังกรในวงศ์ตระกูลเดียวกับทราวก้า ซึ่งก็คือมังกรเพลิง ความจริงแล้วมีชะตากรรมต้องถูกทราวก้ากิน แต่การที่หนีรอดมาได้จนถึงดินแดนแห่งนี้… หมายความว่าศักยภาพของมันย่อมไม่ธรรมดา ยังไม่ต้องคำนึงถึงเลเวลในปัจจุบัน เพียงการดำรงของมันอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับขวดโอสถเดินได้”
“นายต้องการจะพูดอะไรกันแน่…”
กริดกำลังอยู่ในระบบสร้างไอเท็มอัตโนมัติ
กระดูกและกรงเล็บของอิฟริตซึ่งถูกหลอมจนผสานรวมกันเป็นหนึ่ง กำลังถูกเทลงบนแม่พิมพ์และทำให้เย็นด้วยน้ำ
เป็นพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับบรรยากาศเลยสักนิด
ยิ่งพิจารณาจากสายตา กริดกำลังมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าประหนึ่งคนใกล้ตาย
ส่งผลให้มีร์ลังเลอยู่สักพัก แต่ท้ายที่สุดก็กล่าวต่ออย่างใจเย็น
“จงกลับไปเสีย สามซาและข้าไม่ว่างพอจะสนใจเจ้า หากกลับไปตอนนี้ จะไม่มีใครหยุดเจ้าทั้งสิ้น”
[ภารกิจใหม่กะทันหัน!]
[จงเลิกสร้างศาสตรามังกรและถอนตัวออกจากที่นี่ ยังบันมีร์ขอสาบานด้วยเกียรติว่า ท่านจะหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย]
[หากรับภารกิจ ภารกิจก่อนหน้าซึ่งต้องสร้างศาสตรามังกรภายใน 30 นาทีจะถูกยกเลิก]
[หากรับภารกิจ อิฟริตจะเสียชีวิต และ <อาณาจักรฮวาน> จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก]
‘ให้ตายสิ’
ต้องมีการหักมุมอีกกี่ครั้งถึงจะพอใจ?
เดี๋ยวให้ทำแบบนั้น เดี๋ยวให้ทำแบบนี้ ไม่มีความเกรงใจกันบ้างเลย
ถึงจุดที่กริดอดคิดไม่ได้ว่า บางทีระบบของซาทิสฟายอาจป่วยเป็นไบโพลาร์
กริดขมวดคิ้วพลางตรวจสอบเวลา
ผ่านไปแล้วเก้านาที
อีกยี่สิบเอ็ดนาทีถัดไป ศาสตรามังกรจะเสร็จสมบูรณ์ด้วยอำนาจของระบบผลิตไอเท็มอัตโนมัติ
มิใช่แค่กระดูกและกรงเล็บ แต่ยังรวมถึงหนังและเลือด
แม้จะใช้วัสดุคุณภาพสูง แต่เนื่องจากระยะเวลาในการผลิตต่ำเกินไป คุณภาพของอาวุธก็คงไม่มากนัก
แต่นั่นก็มิได้สลักสำคัญ
เป้าหมายของภารกิจคือการผลิตศาสตรามังกร
ผู้ใช้งานอาวุธคือลูกค้า
หรือบางที อาจมีโชคสุ่มได้เกรดค่อนข้างสูง
“ขอปฏิเสธ”
กริดบอกปัดมีร์โดยไม่ลังเล
หน้าต่างภารกิจใหม่ถูกสลายทิ้งอย่างไร้ค่า ดวงตามีร์สั่นระริกทันที
“หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างสามซากับอิฟริต ฉันคงบอกลาแล้วจากไปเฉยๆ ไม่ได้”
ดูเหมือนว่า สามซาจะเกลียดชังมังกรเข้ากระดูก
คล้ายกับหนึ่งในเหตุผลที่เทพตกสวรรค์ลงมือก่อกบฏต่อแอสการ์ด จะมีสาเหตุมาจากมังกร
พวกมันแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจในท่าทีของมังกร
ดังนั้น หากพลังอำนาจของอาณาจักรฮวานสูงกว่าที่เป็นอยู่
มีโอกาสสูงมาก ที่ไม่เพียงอาณาจักรฮวานจะประกาศสงครามกับแอสการ์ด แต่ยังรวมถึงมังกรด้วย
และนั่นจะส่งผลกระทบต่อโลกกึ่งกลางอย่างมิอาจเลี่ยง
มนุษย์จะเผชิญกับภัยพิบัติที่พวกตนมิอาจทนรับไหว
กริดมีหน้าที่ต้องยับยั้งมิให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น
“ต้องขอโทษด้วย แต่คราวนี้ฉันเลือกข้างอิฟริต”
กึก
ดาบหนักกูเซลในมือขวากริดพลันล่องหน
โนเอะ แรนดี้ และโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ โผล่หน้าเรียงรายฝั่งซ้ายขวาของกริด โดยมีแวมไพร์ทายาทคอยปกป้องด้านหลัง
หัตถ์เทวะลอยอยู่ด้านหน้าสุด
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
ค้อนในมือซ้ายกริดเริ่มกระหน่ำทุบลงบนทั่ง
ฉากดังกล่าวดูพิสดารจนยากจะทำความเข้าใจ
“…ไม่จำเป็นต้องขอโทษ พวกเราคือศัตรูกัน”
ขณะมีร์แสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้าน มันพยายามเก็บซ่อนความเสียใจ
เปรี้ยะ!
ประกายอสนีของมังกรครามเริ่มห่อหุ้มร่างกายมีร์
ภายในโลกที่มิอาจใช้ชุนโป ความเร็วโดยธรรมชาติของมีร์ ถูกยกระดับขึ้นจนยากจะมีใครไล่ทัน
ยี่สิบนาที
นั่นคือเวลาที่กริดและอิฟริตต้องยื้อไว้
เรามาที่นี่เพราะได้รับภารกิจทำลายชิ้นส่วนพลังของบาเอล… แล้วนี่มันเรื่องบ้าอะไร?
ไม่ว่าจะมุมมองใดก็ดูเหลวไหลสิ้นดี
แต่กระนั้น กริดยังคงจดจ่อสมาธิโดยไม่ไขว้เขว
Comments
Post a Comment