จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,181
“เทพ”
ตัวตนอันเกิดจากความปรารถนาอย่างแรงกล้าของมนุษย์
แต่หลังจากฮารังยกย่องกริด เธอกลับส่ายหัวแผ่วเบาอย่างผิดหวัง สายตายังคงจดจ้องการเคลื่อนไหว สีหน้า และพฤติกรรมของชายผมดำผู้กำลังปรี่เข้าหาตน
ไม่ผิดแน่ นี่คือท่ารำดาบ
‘คิดจะทำพิธีกรรมระหว่างต่อสู้หรือไง?’
พิธีกรรมอะไร? และมีจุดประสงค์ใด?
ท่ามกลางคำถามมากมายถาโถม ฮารังเริ่มมองเห็นคำตอบด้วยตัวเอง
สายตาและจิตสังหารของชายผมดำกำลังบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า เขาต้องการลบเธอให้หายไปจากโลก
‘…พิธีกรรมสังหารเทพ?’
ครืนนนน!
ห้วงมิติรอบตัวฮารังและกริดเริ่มสั่นสะเทือน คล้ายกับละอองพลังธรรมชาติทั้งหมดเคลื่อนไหวตามเจตจำนงของบุรุษตรงหน้า กริด ผู้กำลังแผ่จิตสังหารอย่างท่วมท้นโดยไม่ปกปิด
‘แบบนี้นี่เอง’
ท่ามกลางภัยอันตรายถาโถม ฮารังพลันกระจ่างในปริศนาซึ่งตนคาใจมาแสนนาน
แพ็กม่า หนึ่งในพี่น้องผู้คอยโต้แย้งถ้อยคำของฮานึลมาตลอด และเอาแต่พล่ามปรัชญาเพ้อฝันในทุกวัน
ฮารังทราบมาตลอดว่า ฮานึลไม่เคยลงโทษแพ็กม่าเลยสักครั้งแม้จะถูกล่วงเกินทางวาจาหนแล้วหนเล่า ตรงกันข้าม ในบางครั้งก็ยังแอบช่วยสนับสนุน
‘ซือโหยวคอยปกป้องแพ็กม่า…’
พวกเขาเห็นอะไรในตัวแพ็กม่า?
หรือกำลังหวังให้แพ็กม่าพัฒนาฝีมือจนแข็งแกร่งและย้อนกลับมาฆ่าตัวเอง?
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!
คลื่นดาบหลายสิบเส้นกำลังถาโถมใส่ฮารัง
พายุคลื่นดาบแฝงจิตอังหารอันเข้มข้นประหนึ่งว่าตัดได้แม้กระทั่งกายาแห่งเทพ กำลังโหมกระหน่ำแหวกท้องฟ้าจนห้วงมิติเริ่มบิดเบี้ยว
อำนาจคุกคามได้เปลี่ยนให้บรรยากาศรอบตัวทุกคนกดดันและอึดอัดราวกับมังกรบินผ่าน
เป็นความกดดันอันหนักหน่วงจนแม้แต่ฮารังยังไม่กล้าละเลย
‘ไม่เลว แต่ของแค่นี้สังหารเทพไม่ได้แน่’
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
พลังซึ่งยังบันคิดว่าเป็นสิทธิพิเศษของพวกมันเท่านั้น ปราณไร้ตัวตน ถูกกระหน่ำยิงสวนกลับใส่การโจมตีของกริดเยี่ยงปืนกล ฮารังหวังใช้สิ่งนี้รับมือการถาโถมของคลื่นดาบอันเปรียบประหนึ่งมังกรคลั่งพุ่งชน
แต่ก็ไม่สำเร็จ
ปัญหาคือ ห้วงมิติรอบตัวได้ตกอยู่ในการควบคุมของกริดหมดแล้ว พลังอำนาจคุกคามจาก ‘คลื่นทำลายล้างมายาร่ายรำสังหาร’ ได้ยึดครองละอองพลังทุกชนิดภายในห้วงมิติรอบตัวให้กลายเป็นของมัน เรียกว่าเหนือกว่าปราณไร้ตัวตนในทุกประตู
หงึกหงึก!
ร่างกายฮารังเริ่มสั่นเทาอย่างมิอาจขัดขืน
นี่คือความหวาดกลัว
และเมื่อจิตไม่นิ่ง พลังจิตอย่างปราณไร้ตัวตนจึงสลายหายไปในบันดล หญิงสาวถูกบังคับให้ต้องใช้เพียงดาบและพลังทางกายภาพรับมือกับคลื่นดาบแฝงจิตสังหารหลายสิบเส้น
บึ้ม! บึ้มม!!
เมื่อมีลมหายใจสัตว์เทพ พลังคลื่นดาบของมนุษย์ก็กลายเป็นสิ่งดาษดื่น ฮารังกระหน่ำฟันทำลายคลื่นดาบกริดเส้นแล้วเส้นเล่ามือเป็นระวิง
เธอมิได้พึ่งพาปัจจัยใดนอกจากพละกำลังและอาวุธเพียงสองสิ่ง แต่ทุกการฟันทำลายคลื่นดาบหนึ่งเส้นจะทำให้บาดแผลบนมือฮารังเพิ่มขึ้นหนึ่งจุด ยิ่งตวัดฟาดฟัน ฝ่ามือก็ยิ่งชุ่มเลือดข้นแดงฉาน ไม่เพียงเท่านั้น เวทมนตร์ปริศนาซึ่งจู่โจมหลังจากคลื่นดาบกระทบเป้าหมาย ได้ทะลวงผ่านแนวป้องกันเข้าไปฉีกทำลายอาภรณ์และเครื่องประดับของเธอจนไม่เหลือเค้าเดิม
“…”
สิบวีรชนหยุดหายใจไปชั่วขณะ
พวกมันมิได้ตะลึงในความสุดยอดของกริด แต่กำลังไม่เข้าใจว่า ฮารังสามารถสลายคลื่นดาบครบทุกเส้นภายในเวลาไม่กี่วินาทีได้อย่างไร
“…แฮ่ก”
ฮารังได้รับโอกาสพักหายใจ
เธอเชื่อว่าพิธีกรรมสังหารเทพของชายผมดำยังไม่สมบูรณ์นัก
ขณะเกิดความคิดดังกล่าว ละอองคลื่นดาบจำนวนมากซึ่งถูกฟันกระจัดกระจายเริ่มกลับมารวมตัวใหม่อีกครั้ง
“…!”
บึ้มบึ้ม! บึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้ม!!
เปิดด้วยคลื่น ตามด้วยทำลายล้าง ต่อด้วยมายา ตามด้วยร่ายรำ และปิดท้ายด้วยสังหาร การโจมตีระลอกสุดท้ายเป็นเพียงวิชาดาบพื้นฐานแบบแยกชนิด ทั้งหมดพุ่งจากอากาศอันว่างเปล่ารอบตัวเข้าใส่ฮารังในจุดกึ่งกลาง
เป็นการลอบโจมตีในจังหวะทีเผลอขณะอีกฝ่ายนิ่งนอนใจ แถมทุกเส้นยังเล็งใส่จุดอ่อนได้อย่างแม่นยำ
“…”
ความเงียบงันพลันครอบงำ
ขณะฝุ่นควันจากการโจมตีด้วย ‘คลื่นทำลายล้างมายาร่ายรำสังหาร’ กำลังฟุ้งกระจายปกคลุมในจุดซึ่งฮารังเคยยืน
“แค่ก… แค่กแค่ก!”
เมื่อกริดรำดาบเสร็จ ชายหนุ่มเริ่มอาเจียนก้อนเลือดคำใหญ่ด้วยสีหน้าเจ็บปวดเจียนตาย
จิสึกะรีบวิ่งไปหากริดโดยหวังช่วยพยุงไม่ให้อีกฝ่ายล้มลง แต่กลับพบว่ายูร่าได้โผล่มายืนข้างกายกริดก่อนตน
ขณะจิสึกะทำได้เพียงเร่งฝีเท้าอย่างสุดความสามารถ ยูร่าอ้าแขนรับกริดให้ล้มลงซบหน้าอก
ปึด! จิสึกะกัดริมฝีปากอย่างโกรธแค้น
พร้อมกันนั้น กลุ่มควันฟุ้งกระจายในตำแหน่งฮารังเริ่มเจือจางลง
ยังบันสาวยังคงยืนตัวตรง เพียงแต่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลแทบทุกซอกมุม สามารถเรียกว่ายับเยินได้อย่างเต็มปาก ทว่า เธอกลับพ่นถ้อยคำเย้ยดูแคลนกริดออกมา ไม่สิ ระบุให้ชัดคือการดูแคลนแพ็กม่า
“ยังไม่พอ… ของแค่นี้ยังไม่เพียงพอจะสังหารเทพหรอกนะ”
แต่ว่า
“ช…ช่วยทำให้จบด้วย…”
พิธีกรรมดังกล่าวเพียงพอจะสังหารเทพจอมปลอมอย่างพวกตน
ความตายของคูลู รวมถึงนาอึนในสภาพร้องขอความตายคือหลักฐานพิสูจน์เป็นอย่างดี
“…พวกเราไม่คุ้นเคยกับความเจ็บปวด”
ฮารังยิ้มแห้งพลางเดินไปหักคอนาอึน
กร็อบ!
การต้องทำให้พี่น้องของตนไปสบายกับมือนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากจัดการความรู้สึกไม่ดี ฮารังอาจรักษาสติของตัวเองไว้ไม่อยู่
เธอกำลังหดหู่
ไม่สิ ใช่คำว่า ‘เสียใจ’ คงจะเหมาะกว่า
น้ำตาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมนุษย์ ยามนี้กำลังไหลอาบสองข้างแก้มยังบันสาว
“ขอถามอะไรสักข้อ”
ฮารังใช้นิ้วปาดน้ำตาพลางหันมาหากริด
“ทุกการกระทำของเจ้า เกิดจากความต้องการของแพ็กม่าอย่างนั้นหรือ”
“ไม่เลยสักนิด”
กริดมอบคำตอบขณะฝืนยืนพิงยูร่าโดยมีหัตถ์เทวะสี่ข้างช่วยหิ้วอีกแรง
“ทุกการกระทำของฉัน ล้วนเกิดจากการตัดสินใจของตัวฉันทั้งสิ้น”
แม้จะมีเป้าหมายเป็นการช่วยโลกเหมือนกัน แต่อุดมคติของกริดและแพ็กม่านั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
กริดเห็นแก่ตัวน้อยกว่า ทระนงตนน้อยกว่า และมีความเห็นอกเห็นใจผู้คนมากกว่า
ชายหนุ่มมั่นใจ
“แพ็กม่าทำแบบฉันไม่ได้แน่”
ไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าแพ็กม่าเป็นคนประเภทคลั่งผลลัพธ์ ขอเพียงผลลัพธ์ออกมาตรงตามเจตนาของตน ระหว่างนั้นต้องเสียสละไปมากแค่ไหนก็ไม่สำคัญ
คิดว่าคนนิสัยเช่นนี้จะได้รับความเชื่อใจและการสนับสนุนจากกษัตริย์โชจริงหรือ?
กริดมั่นใจ แพ็กม่าไม่มีทางดำเนินภารกิจคืนชีพฟินิกซ์แดงได้เร็วเท่าตน
เส้นทางของกริดนั้นใกล้เคียงกับทางลัดมาก
แน่นอน มันไม่มีเจตนากดแพ็กม่าให้ต่ำลง ตรงกันข้าม กริดชื่นชอบและนับถือแพ็กม่าอย่างมากในหลายด้าน
“เข้าใจแล้ว…”
ฮารังยิ้มขื่นขมขณะยืนจ้องกริด ผู้กำลังแสดงสีหน้าองอาจแม้ในยามร่างกายอ่อนแรง
ถึงแพ็กม่าจะแตกต่างจากยังบันคนอื่น แต่เขาก็ยังเป็นยังบัน ฉะนั้น เทพเทียมอย่างยังบันย่อมไม่มีทางเข้าใจหัวอกมนุษย์ ไม่มีทางเข้าใจว่ามนุษย์ต้องการเทพในอุดมคติแบบไหน และไม่มีวันเอื้อมถึงขอบเขตของเทพแท้จริงได้
เมื่อเกิดความคิดดังกล่าว ฮารังรู้สึกว่าตัวตนของยังบันช่างล่องลอยและไร้หลักแหล่ง
“แล้ว… แพ็กม่าตายหรือยัง”
“ตายแล้ว”
“นั่นสินะ ผู้ออกจากอาณาจักรฮวานย่อมสูญเสียชีวิตอันเป็นนิรันดร์ แต่อย่างน้อย แพ็กม่าก็ยังเหลือยอดศิษย์อย่างเจ้าไว้หนึ่งคน มิได้ว่างเปล่าโดยสมบูรณ์เหมือนกับพวกเรา”
“…”
ว่ากันตามตรง กริดไม่ชอบการถูกเรียกว่าศิษย์แพ็กม่าสักเท่าไร ตนไม่เคยพบหน้าแพ็กม่าเลยสักครั้ง ทำได้เพียงเรียนวิชาจากสมุดหนึ่งเล่มซึ่งแพ็กม่าเหลือทิ้งไว้ให้โลก
แต่ชายหนุ่มมิได้โต้แย้งฮารัง
ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ เพียงแต่กำลังจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย เพราะในเมื่อฮารังยังไม่ตาย โอกาสลอบโจมตีทีเผลอจึงไม่เป็นศูนย์
ฉึบ.
เลือดสดสีแดงเข้มเริ่มไหลออกจากรูจมูกและมุมปากกริด สิ่งนี้คือผลข้างเคียงร้ายแรงซึ่งกำลังย้อนกลับมาเล่นงาน
[บัฟ ‘เพิ่มพลังโจมตี 2 เท่า’ จากการใช้ ‘กระตุ้นแก่นพลัง’ หมดเวลา!]
[การฟื้นฟูตามธรรมชาติทุกชนิดจะไม่แสดงผลเนื่องจากบทลงโทษของการใช้งาน ‘กระตุ้นแก่นพลัง’]
[ท่านได้รับผลข้างเคียง ‘เลือดออกต่อเนื่อง’ จากการฝืนใช้ ‘คลื่นทำลายล้างมายาร่ายรำสังหาร’ ด้วยทักษะ ‘ดึงศักยภาพซ่อนเร้น’]
[ท่านได้รับความเสียหาย 5,900]
[ท่านได้รับความเสียหาย 5,900]
[ท่านได้รับความเสียหาย…]
ก่อนยูร่าจะปรากฏตัว กริดได้กดใช้งานทักษะ ‘สร้างทักษะ’ ไปแล้ว
จากบรรดาสุดยอดทักษะในความทรงจำของกริด ไม่มีวิชาดาบผสานใดรุนแรงไปกว่า ‘คลื่นทำลายล้างมายาร่ายรำสังหาร’ ซึ่งถูกใช้ครั้งแรกโดยร่างโคลนกริดในนรก
เมื่อต้องการท่าโจมตีทรงพลัง สมองกริดจึงคิดออกเพียงวิชาดาบผสานห้าชนิด และด้วยเวลากระชั้นชิด ชายหนุ่มจึงตัดสินใจลอกมาจากร่างโคลนซึ่งมีประสบการณ์ต่อสู้ช่ำชอง
แต่ว่ากันตามตรง การใช้ทักษะ ‘สร้างทักษะ’ แสนล้ำค่าเพื่อสร้างวิชาดาบซึ่งในอนาคตจะได้ครอบครองสักวันอยู่แล้ว ถือเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
แต่ในวินาทีนั้น กริดรีบร้อนจนไม่มีเวลาคิด
โชคยังดี ข้อความระบบช่วยหยุดไว้ก่อน
[คำเตือน : ร่างกายของท่านในปัจจุบันยังไม่สามารถใช้งานทักษะ ‘คลื่นทำลายล้างมายาร่ายรำสังหาร’ ได้]
แถมยังช่วยมอบคำแนะนำ
[หากต้องการใช้งาน ‘คลื่นทำลายล้างมายาร่ายรำสังหาร’ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาดาบกริด ท่านสามารถทำได้โดยการเพิ่มศักยภาพตัวละคร]
นั่นคือคำอธิบายของข้อความระบบ
และเมื่อกริดได้ยินคำว่า ‘ศักยภาพ’
<ดึงศักยภาพซ่อนเร้น>
ทักษะระดับกึ่งเลเจนดารีซึ่งถูกครอบครองโดยผู้เล่นไม่ถึงห้าคนทั่วโลก ได้รับจากการทำภารกิจลับบางอย่างซึ่งยังเป็นปริศนา
หลังจากทราบว่าวิชาดาบผสาน 5 ชนิดจะถูกเปิดใช้งานทันทีเมื่อเงื่อนไขตรงตามกำหนด กริดรีบสร้างทักษะ ‘ดึงศักยภาพซ่อนเร้น’ โดยไม่รีรอ
และนี่คือคำตอบว่า ‘คลื่นทำลายล้างมายาร่ายรำสังหาร’ มาจากไหน
“กริด!!”
ปัจจุบัน สิบวีรชนต่างเร่งฝีเท้าจนมาถึงตำแหน่งของกริดและยูร่า เมื่อทุกคนเห็นสภาพของชายหนุ่ม พวกมันตระหนักทันทีว่าอาการของกริดกำลังหนักหนาสาหัสเพียงใด แต่ละคนรีบล้อมไว้ทุกทิศทางเนื่องจากยังกังวลว่าฮารังจะเปิดฉากโจมตีใส่
ฮารังหันกลับไปมองการัมต่อสู้กับมนุษย์ผมสีเงินสักพัก ก่อนจะหันกลับมาหากริดและเปล่งเสียงซักถาม
“เจ้าต้องการสร้างโลกขึ้นมาใหม่ใช่ไหม…”
ในสายตาเธอ คนเหล่านี้อ่อนแอมาก
หากหนึ่งใน ‘พุงซา’ หรือ ‘อึนซา’ สัมผัสถึงความผิดปรกติ รับรองได้เลยว่าทุกคนจะถูกลบหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
แต่นั่นเป็นเรื่องของปัจจุบัน
ในอีกหลายปีข้างหน้า ฮารังเชื่อว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้น สั่งสมค่าบารมีเทพจนถึงระดับทำให้ห้าอาวุโสไม่คิดนิ่งนอนใจ
และเมื่อถึงตอนนั้น ซือโหยวก็จะเริ่มลงมือ
“จงจำเอาไว้ให้ดี ยังบันมิได้อ่อนแอเหมือนกับพวกข้าทุกคน”
“…?”
“บางตนตั้งใจศึกษาและฝึกฝนตัวเองอย่างหนักมาตั้งแต่เกิด ไม่เหมือนกับคูลูกับนาอึนซึ่งปล่อยปละละเลย พวกเขาเหล่านั้นแข็งแกร่งกว่าข้ามากนัก และไม่โง่เหมือนการัม ผู้เพิ่งจะขยันฝึกเมื่อสายหลังจากถูกมนุษย์ทำลายศักดิ์ศรี”
คล้ายกับเธอกำลังมอบคำแนะนำ
หมายความว่าอย่างไร?
กริด ผู้เชื่อมาตลอดว่ายังบันมีนิสัยเลวระยำต่ำช้า เริ่มเคลือบแคลงว่าฮารังอาจวางแผนการชั่วร้ายเอาไว้ แต่สภาพของชายหนุ่มย่ำแย่จนไม่สามารถแม้แต่จะขยับปาก
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำได้เพียงข่มความเจ็บปวด ฮารัมส่งยิ้มจืดชืด
“ข้าอิจฉาแพ็กม่า เขามีโอกาสสร้างศิษย์อย่างเจ้าไว้ให้โลกก่อนตาย”
ทันใดนั้น
ฉัวะ!
ใครบางคนกระโจนลงจากท้องฟ้าและใช้ดาบฟันร่างกายแสนอ่อนแอของฮารังจนขาดออกเป็นสองซีก
เป็นการัม
“แฮ่ก… แฮ่ก…”
ว่ากันตามตรง การดวลกับบราฮัมเป็นเรื่องยากสำหรับมันไม่น้อย ใบหน้าการัมจึงกำลังบิดเบี้ยวไม่ต่างจากกระดาษยับ ตามลำตัวเต็มไปด้วยเหงื่อไคลและคราบเลือด ดวงตาแฝงความตกตะลึง หน้าอกยุบพองตลอดเวลาเป็นผลมาจากการหายใจหอบ
“แค่มนุษย์คนเดียวยังจัดการไม่ได้? ช่างไร้น้ำยานัก!”
ขณะกำลังดูหมิ่นศพคูลู นาอึน และฮารังซึ่งถูกมันฟันขาดสองท่อน บาดแผลบนตัวการัมเริ่มฟื้นฟูด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
จุดประสงค์ในการฆ่าฮารังคือการช่วงชิงพลังของเธอ ไม่สิ กล่าวให้ถูกคือการช่วงชิงบารมีเทพและผู้ศรัทธามาจากเธอ
“แค่ข้าคนเดียวก็เกินพอแล้ว”
ลมหายใจการัมเริ่มกลับมาปรกติ
บารมีเทพจากฮารังได้เติมเต็มการัมให้กลายเป็นตัวตนสมบูรณ์แบบ
มันกำลังแข็งแกร่งขึ้น
การัมมั่นใจว่าตนสามารถกำราบมนุษย์ทุกคนได้ง่ายดาย แม้จะถูกกริดผู้ใกล้ตายและชายผมสีเงินรุมเข้ามาพร้อมกันก็ตาม
“ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนสนามรบอันน่าขยะแขยงนี่เสียก่อน”
ฉึบ!
การัมยิงปราณไร้ตัวตนเฉือนใส่อากาศว่างเปล่า เกิดเป็นพลังทำลายอันน่าทึ่งชนิดตัวมันสมัยอดีตเทียบไม่ติด
ทันใดนั้น
ครืนนนนนน!
จันทร์ขุมนรกซึ่งมีดวงตานับหมื่นรายล้อมพลันถูกผ่าออกเป็นสองซีก ดินแดนนรกจากเวทมนตร์ของยูร่าเริ่มอันตรธานหาย
เมื่อเวทมนตร์เขตแดนเสื่อมฤทธิ์ อำนาจสะกดข่มต่อพลังเทพในตัวยังบันจึงคลายลง
“ถัดไปก็…”
การัมหันไปจ้องจิสึกะ มันไม่คิดปล่อยให้คันศรฟีนิกซ์แดงได้แผลงฤทธิ์อย่างอิสระเหมือนเมื่อครั้งเผชิญหน้าฮารัง
ฟุ่บ!
การัมเป็นยังบันเพียงน้อยคนซึ่งสามารถใช้พลังของสี่ลมหายใจสัตว์เทพได้พร้อมกัน
ฟินิกซ์แดง มังกรคราม เสือขาว เต่าดำ
และเหนือสิ่งอื่นใด ชุนโปของการัมในปัจจุบันถือเป็นอีกระดับโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับชุนโปของฮารัง
สิบวีรชนจึงไม่มีทางตอบสนองได้ทันท่วงที เพียงพริบตาเดียว การัมพลันหายไปโผล่หลังจิสึกะในระยะหายใจรดต้นคอ
แต่ขณะดาบสั้นของการัมเตรียมสะบั้นใส่ลำคอสาวสวย
เคร้ง!!
เหลืออีกเพียงไม่กี่คืบ
คล้ายกับกริดเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มรีบย่นระยะตัวเองมายืนข้างจิสึกะพร้อมกับใช้ดาบปัดป้องการโจมตีของการัม
แถมพลังทำลายก็ยังมากกว่าตัวกริดในยามปรกติเล็กน้อยเช่นกัน
“นี่เจ้า…?”
ผ่านมาเพียงไม่กี่นาที ทำไมถึงแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างชัดเจน?
จิตใต้สำนึกการัมร้องเตือนให้มันป้องกันตัวจากกริด จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องดึงดาบสั้นกลับออกจากลำคอจิสึกะ สีหน้าแววตาการัมบ่งบอกชัดเจนว่ายังไม่เข้าใจสถานการณ์
ปัจจุบัน กระจกตาอันสั่นเทาของการัมกำลังสะท้อนภาพกริดกำลังรำดาบ
“ทำไมคนใกล้ตายถึงแข็งแกร่งขึ้นได้?”
“เลเวลอัปยังไงล่ะ! ไอ้กร๊วก!”
แถมกริดยังใช้แต้มสถานะจนหมดโดยไม่สำรองไว้ใช้ชาติหน้า
“…?”
ความฉงนของการัมคงอยู่ไม่นาน
บราฮัมเริ่มกลับมามีบทบาทอีกครั้ง มันเงียบงันอยู่นานเพราะเตรียมปลดปล่อยเวทมนตร์พันธนาการหลายชนิดพร้อมกันในคราวเดียว
กริดเริ่มรำดาบโจมตีสุดกำลัง ด้านสิบวีรชนเปิดฉากกระหน่ำท่าไม้ตายใส่โดยไม่หวงแหน
จริงอยู่ การัมอาจยับยั้งทั้งหมดไว้ได้อย่างน่าทึ่ง แต่มันก็ไม่มีโอกาสโจมตีตอบโต้เช่นกัน
[ผู้พิทักษ์แห่งทิศใต้ ฟินิกซ์แดง คืนชีพสำเร็จ!]
สำหรับการัม นี่คือหายนะโดยแท้จริง
“คึ่ก…! คึอ๊ากกกกกก!!”
เนื้อหนังการัมพลันไหม้เกรียมจากผลของความร้อนระดับเดียวกับดวงอาทิตย์
ในวินาทีนี้ ฝันร้ายซึ่งคอยกวนใจกริดมายาวนานได้ถึงคราวสิ้นสุดลง
โอเวอร์เกียร์ทีม👍
ReplyDeleteขอบคุณครับแอด🙏
เลเวลอัพไง.. อ่ายกร๊วดด!! 😅😅😅 อย่าไปบอกเค้าสิ 555+
ReplyDelete