จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,170
“บังอาจทำกับใบหน้าของข้า…! ไอ้สัตว์ประหลาดต่ำช้า!!”
เดิมที แผนการของการัมไม่ซับซ้อน
หลังจากฆ่ากริด มันเตรียมแวะเข้าไปยังอาณาจักรโชและลงโทษกษัตริย์
โนบุลดัมหลังค่อมผู้หวังช่วยปกปิดตัวตนของกริดจากสายตายังบัน เป็นหนึ่งในขุนนางคนสำคัญของกษัตริย์โช ฉะนั้น กษัตริย์โชจึงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้
แต่แผนการก็มีอันต้องยุ่งเหยิง
มันไม่สามารถโผล่หน้าออกไปพบใครได้ด้วยรูปโฉมแสนอัปลักษณ์เยี่ยงนี้
“…!”
“ก…การัม?”
เมืองอันเต็มไปด้วยต้นไม้สีขาวโพลน โดยจะเบ่งบานเมื่อครบรอบทุกหนึ่งพันปี
ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินเล่นใกล้กับทางเข้าอาณาจักรฮวาน พลันแสดงอาการตกตะลึงเมื่อได้เห็นการัมกำลังเดินเข้ามาใกล้
สภาพร่างกายการัมไม่ปรกติ
เส้นผมยาวสลวยซึ่งควรจะปลิวไสวหรือไม่ก็ถูกหวีเรียบร้อย กลับกำลังกระเซิงในลักษณะไม่น่ามอง เสื้อผ้าซึ่งควรสะอาดสะอ้านและเรียบเนียนด้วยจีบคมกริบ กลับฉีกขาดและเปื้อนเปรอะด้วยคราบเลือดหลายจุด
เรื่องน่าตกตะลึงก็คือ คราบเลือดแดงฉานเกือบทั้งหมดบนเสื้อ ล้วนเป็นเลือดของการัมเอง
ใบหูของมันถูกตัดขาดหนึ่งข้าง
เกิดเรื่องบ้าบออะไรขึ้น?
ต้องเป็นภัยพิบัติระดับใด กายาแห่งเทพของการัมจึงเกิดการระคายเคืองถึงเพียงนี้
“ก…เกิดอะไรขึ้น?”
“ร…รีบรักษาท่านก่อนเถอะ!”
ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง รีบกุลีกุจอเข้าหาการัมพร้อมกับส่งเสียงห่วงใย
พวกมันล้วนเป็นยังบัน และยังเป็นพลเมืองของอาณาจักรฮวาน
ทั้งสองกำลังเป็นห่วงเป็นใยพี่ชายร่วมสายเลือด การัม จากก้นบึ้งหัวใจ
แต่การัมกลับมองอีกฝ่ายเป็นเพียงหนอนแมลงไร้ค่า
นอกจากจะไม่สามารถสั่งสมบารมีเทพได้เหมือนตนแล้ว การัมยังรังเกียจการถูกนับเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกับขยะอย่างพวกมัน
แพ็กม่า ผู้พยายามสอนสั่งและเปลี่ยนแปลงอาณาจักรฮวาน ยังดูดีกว่าพวกหนอนแมลงเหล่านี้นับพันเท่า…
ฉัวะ—!
“…!”
การัมปลดกระบี่อ่อนออกจากเอว พร้อมกับตวัดออกไปอย่างเงียบเชียบ สะบั้นศีรษะชายหนึ่งหญิงหนึ่งหลุดจากบ่าในเวลาไล่เลี่ย
ศักดิ์ศรีของการัมสูงเกินกว่าจะปล่อยให้ใครมีชีวิตรอดหลังจากได้เห็นสภาพสุดอนาถของตน
“บัดซบ…!”
ท่ามกลางการจ้องมองของสองคนตายซึ่งยังไม่ทราบว่าตนทำอะไรผิด การัมสบถอย่างหัวเสีย
ปัจจุบัน ร่างกายมันกำลังถูกกดทับด้วยความหวาดกลัวและความกังวลเป็นล้นพ้น
แตกต่างจากตนผู้มีอนาคตดำมืด มันกลับมองเห็นอนาคตอันสดใสและปราศจากหมอกดำได้จากตัวกริด—ผู้มีสิทธิ์จะกลายเป็นเทพแท้จริงในอนาคต
เก๊ง—
ขณะการัมกำลังขมกรามแน่น เสียงระฆังพลันกังวานจากด้านบน
“เจ้าไปสู้กับเทพแท้จริงมาสินะ”
เป็นเสียงอันคุ้นหู
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง การัมมองเห็นคนผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่บนชังซึง*
(เสาหินต้นใหญ่ของเกาหลี ส่วนมากมักสลักเป็นลวดลายใบหน้ามนุษย์)
บุรุษผู้ห้องกระดิ่งไว้กับสร้อยคอหนัง
เส้นผมและดวงตาอันดุดันซึ่งเล็ดลอดออกจากหน้ากาก ได้สร้างแรงคุกคามปริมาณมหาศาลให้แก่การัมจนมันรู้สึกอึดอัด
“ซือโหยว…!”
สีหน้าการัมพลันอึมครึม
มันไม่ต้องการให้ใครเห็นใบหน้าแสนอัปลักษณ์ในปัจจุบัน แต่กลับถูกเห็นเข้าโดยบุคคลผู้แข็งแกร่งกว่าและมิอาจตอบโต้อะไรได้
ช่วยทำเป็นมองไม่เห็นด้วย!
ในเมื่อไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่ง การัมทำได้เพียงเบือนหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์
“เทพแท้จริงอะไรกัน? โลกนี้มีเทพจริงเทพเทียมด้วยหรือ? และเหนือสิ่งอื่นใด เจ้านั่นไม่มีทางเป็นเทพ ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด!”
แน่นอน การัมย่อมเคยได้ฟังตำนานเหล่าเทพผู้พิทักษ์สี่ทิศ
แตกต่างจากสามเทพต้นกำเนิดแห่งยุคสมัยบรรพกาล เทพผู้พิทักษ์สี่ทิศล้วนเกิดจากความปรารถนาอย่างแรงกล้าของมนุษย์เอง
ซือโหยวคือเทพจำพวกดังกล่าว
เป็นภาชนะใสและว่างเปล่า เกิดขึ้นเพราะมนุษย์ขวนขวายไขว่คว้าพลังอย่างไม่จบสิ้น
แม้กระทั่งเซราทุล เทพสงครามแห่งทวีปตะวันตก ก็ยังถูกเทพธิดารีเบคก้าสร้างขึ้นโดยใช้ซือโหยวเป็นต้นแบบ
“เจ้ากำลังกังวลและหวาดกลัว… เสียใจด้วย แต่ปิดข้าไม่ได้หรอกนะ”
หน้ากากซือโหยวขยับเล็กน้อย คล้ายกับบุคคลด้านในฉีกยิ้มกว้างอย่างเหยียดหยัน
“หุบปาก!!”
การัมทราบดี ตัวมันมีขีดจำกัดทางพลัง
เทพอันเกิดจากการบังคับให้ผู้คนเคารพศรัทธาโดยไม่เต็มใจ ไม่ต่างอะไรกับเทพเทียม ไม่มีทางได้ครอบครองพลังอย่างสมบูรณ์
แต่เทพเทียมสมควรถูกดูหมิ่นอย่างไร้เกียรติเช่นนี้เชียวหรือ?
ผิดแล้ว เทพก็คือเทพ
อำนาจบารมีอาจได้มาด้วยการวิธีน่ากังขา แต่ความศักดิ์สิทธิ์ล้วนเป็นของจริง!
“ถึงเจ้านั่นจะกลายเป็นเทพ แต่ก็ได้แค่ระดับสัตว์เทพ เอาแต่อ้างมโนธรรมแห่งการปกป้องผู้อ่อนแอ ไม่ต้องห่วง ข้ารับมือได้สบายมาก ในอดีตก็เคยผนึกสัตว์เทพมาแล้วด้วยมือคู่นี้!”
จริงอยู่ การัมนั้นไม่มีพลังพอจะต่อกรกับตัวตนระดับซือโหยวผู้เกิดมาเพื่อ ‘ทำลายเทพ’ และ ‘เป็นอิสระจากเทพ’ , แต่กับสี่สัตว์เทพแล้วไม่เหมือนกัน
สัตว์เทพก็มีขีดจำกัด เฉกเช่นยังบัน
และกริดก็คงเป็นเช่นนั้นด้วย
ซือโหยวจ้องมองการัม ผู้กำลังหลอกตัวเอง ด้วยสายตาแสนสมเพช ก่อนจะชี้นิ้วไปยังจุดห่างไกลออกไปแห่งหนึ่ง
“ทางนั้น”
“…!”
ในวินาทีดังกล่าว พลังระดับสามเทพต้นกำเนิดได้ถูกสำแดง
ด้วยความช่วยเหลือจากซือโหยว ภาพการมองเห็นของการัมกำลังลอยข้ามน้ำข้ามทะเล และหยุดลงตรงจุดหนึ่งของทวีปตะวันตก
มันมองเห็นชายผมดำ
บุรุษผู้สามารถสื่อสารกับดาบได้อย่างอิสระ
ซือโหยวกล่าวถ้อยคำน่าสนใจ
“นักฟาดฟันเทพในวัยเยาว์”
“…?”
“เด็กหนุ่มผู้ต่อกรกับเจ้าในวันนี้ จะขับเคี่ยวกับเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นเวลานาน จนกระทั่งทั้งสองพัฒนาตัวเองกลายเป็นบุคคลทรงพลัง”
“…!”
“อย่าได้ประมาทเชียว พวกเขาคือเทพแท้จริง มีพลังมากพอจะบดขยี้เทพเทียมเช่นเจ้าได้ง่ายดายในอนาคต”
“เหลวไหล!!”
หลังจากการัมถูกซือโหยวหยามเกียรติหลายต่อหลายหน มันเกิดหมดความอดทนด้วยสติอันขาดผึ่ง
จิตสังหารพลันแผ่พุ่งท่วมท้นท้องฟ้า ความเคารพยำเกรงอันน้อยนิดซึ่งเคยมีต่อซือโหยว พลันมลายหายไปจนหมดสิ้น
ทันใดนั้น
“…?”
ซือโหยวหายตัวไปจากประสาทสัมผัสทั้งห้าของการัมโดยสมบูรณ์
เสียงระฆังกังวานอีกครั้ง
เก๊ง—
“เสร็จฉัน!”
การัมสัมผัสถึงตำแหน่งของซือโหยวได้จากต้นเสียงระฆัง จึงรีบตวัดกระบี่อ่อนด้วยวิถีเฉียบคมและแม่นยำ
แต่ปลายดาบยังไม่ทันได้กระทบเป้าหมาย กึ่งกลางหน้าผากการัมกลับถูกนิ้วของซือโหยวกระแทกใส่แผ่วเบา
หน้ากากซือโหยวกระเพื่อมเล็กน้อยอีกครั้ง
“ถ้าเจ้าไม่อยากตาย ก็จงป่าเถื่อนให้มาก”
ฉึบ!
เพียงซือโหยวดันปลายนิ้ว การมองเห็นการัมพลันแตกกระจัดกระจาย
ภาพของนักฟาดฟันเทพผู้ครอบครองพลังสำหรับตัดผ่าเทพออกเป็นสองซีก ภาพของมนุษย์เพศชายผู้น่าสมเพช ต้องตกเป็นเหยื่อการครอบงำของบาเอลเนื่องจากติดหนี้พันธสัญญา และใบหน้าของกริด ผู้จะกลายเป็นเทพแท้จริงในอนาคต ทั้งหมดได้ปรากฏในการมองเห็นการัมชั่วขณะ จนมันเกิดความเจ็บแค้นเหนือพรรณนา
“เจ้ารู้อะไรไหม หากฝึกฝนตัวเองอย่างบ้าคลั่งประหนึ่งสัตว์ป่าพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากกับดักนายพราน บางที เจ้าอาจกลายเป็นเทพแท้จริงขึ้นมาสักวัน และมีพลังมากพอจะดับลมหายใจของข้าสำเร็จ”
เก๊ง—
เมื่อสิ้นเสียงระฆัง ร่างซือโหยวได้อันตรธานหายไปโดยสมบูรณ์
การัมถูกทิ้งไว้ตามลำพังด้วยดวงตาแดงก่ำ
กริด อริยดาบ และผู้ทำพันธสัญญาบาเอล
การัมพลันเกิดความรู้สึกอย่างแรงกล้า
ไม่ว่าอย่างไร ตนก็ต้องทำลายทั้งสามให้จงได้
***
สายตาจ้องมองไปยังเส้นสุดขอบฟ้า
จากนั้นก็เพ่งสมาธิเพื่อคิดว่า ตนต้องการไปยืนในจุดดังกล่าว
[ท่านก้าวข้ามหลักการของห้วงมิติ!]
“…คึ่ก!”
กริดส่งตัวเองมาในจุดเส้นขอบฟ้าเมื่อครู่ แต่เป็นสภาพกลับหัวกลับหางซึ่งเกิดจากผลข้างเคียงขณะใช้งานทักษะ
นี่คือความยอดเยี่ยมของ <ชุนโป>
เมื่อเขียนบทกวีหมายเลข 4 เสร็จ โอกาสใช้ชุนโปสำเร็จจะอยู่ราว 20%
นับเป็นพัฒนาการอันก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับรายละเอียดของชุนโปสมัยยังมีรายละเอียดเขียนระบุไว้ว่า ‘โอกาสแสดงผลน้อยมาก’
‘…ยิ่งย้ายตำแหน่งไกล มานาและค่าเรี่ยวแรงก็ยิ่งสิ้นเปลืองมหาศาล’
แฮ่ก… แฮ่ก!
กริดหายใจกระเส่าหลังจากสูญมานาและค่าเรี่ยวแรงไปถึงครึ่งหนึ่งในพริบตา
แต่นี่เป็นเพียงขอบเขตการใช้พลังในรูปแบบ ‘สุดระยะทาง’ เท่านั้น
หากเคลื่อนย้ายตัวเองภายใน 5 เนตร ผู้ใช้งานจะเสียมานาเพียง 2,000 หน่วย และไม่สูญเสียค่าเรี่ยวแรงแม้แต่นิดเดียว
อย่างไรก็ตาม หากขยับไปไกลกว่าห้าเมตรเมื่อไร ทักษะชุนโปจะสูบมานาอย่างบ้าคลั่งตามระยะทางประหนึ่งแท็กซี่มิเตอร์ แต่ปัญญาดังกล่าวจะถูกแก้ไขเมื่อกริดยกระดับตัวตน
“หืม…”
คิดไปเองรึเปล่านะ?
ยิ่งตนเหน็ดเหนื่อยเจียนตายมากเท่าไร หัวใจฟินิกซ์แดงแลจะมีความสุขมากเท่านั้น
ขณะสัมผัสได้ชัดเจนว่าค่าเรี่ยวแรงฟื้นฟูในปริมาณมหาศาลทุกครั้งเมื่อหัวใจฟินิกซ์แดงเต้นโครมคราม กริดแหงนหน้ามองหอคอยสูงตระหง่าน
มันเดินทางมาถึงคาราสึแล้ว
ด้วยเวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น
แม้ส่วนใหญ่จะต้องยกความดีความชอบให้ <ชุนโป> แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สมญานามใหม่แกะกล่องอย่าง <ผู้พิทักษ์แห่งดินแดนอดีตเทพ> เองก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน
<ผู้พิทักษ์แห่งดินแดนอดีตเทพ>
เมื่ออยู่ในดินแดนอดีตเทพ ค่าพลังจิตจะเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า เสริมทักษะการปรับตัวในทุกสภาพพื้นผิวให้กลายเป็น 100%
การปรับตัวในทุกพื้นผิวถือเป็นทักษะแสนสำคัญสำหรับใครหลายคน
ผู้คนจะเคลื่อนไหวได้ช้าลงหากต้องเคลื่อนไหวไปบนสภาพภูมิประเทศอันหลากหลาย แต่ถ้ามีค่าดังกล่าว 100% เต็ม ผลข้างเคียงข้างต้นก็จะไม่เกิดขึ้น
“รอบเมืองอื่นๆ ก็คงเป็นดินแดนของอดีตเทพเหมือนกันกระมัง”
กระบี่มังกรคราม หอกเสือขาว และอัญมณีเต่าดำ รอบเมืองซึ่งผนึกสมบัติวิเศษเหล่านี้คงถูกจัดให้เป็นดินแดนอดีตเทพ…
กริดอมยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อตระหนักว่าตนยังสามารถใช้พลังสุดโกงในการช่วงชิงลมหายใจสัตว์เทพอื่นมาครอบครอง
“แต่ว่า…”
ชายหนุ่มระเบิดพลัง <ประกายอัสนี> จากรองเท้ามังกรคราม, ลอยสูงขึ้นไปด้านบนทีละนิดพร้อมกับขมวดคิ้ว
เมืองคาราสึเงียบสงบกว่าในจินตนาการ
‘นึกว่าเจ้าบ้าการัมจะแวะเข้ามาเสียอีก…’
แต่กริดยังไม่นิ่งนอนใจ
‘คนอย่างการัมเป็นพวกบ้าดีเดือด คำไหนคำนั้นมาตลอดไม่ใช่หรือ?’
มันเคยบอกว่าจะแวะมาลงโทษกษัตริย์โช
เป็นเหตุผลว่าทำไม กริดไม่มัวเสียเวลาค้นหน้าศาลเจ้าฟินิกซ์แดง แต่ตัดสินใจตรงดิ่งมายังคาราสึในทันที
ว่ากันตามตรง เพื่อเป็นการปกป้องชีวิตตัวเองและไม่ให้ตายครบจำนวนครั้ง ตัวกริดก็ไม่ต้องการจะเฉียดใกล้การัมสักเท่าไร แต่เมื่อตระหนักว่ากลุ่มคนผู้คอยช่วยเหลือตนอย่างลับๆ กำลังประสบความเดือดร้อน มันยอมกัดฟันแวะเข้ามาสำรวจความเป็นไปอย่างใกล้ชิด
‘ถ้าประเมินว่าเราเสียเวลาในกระท่อมฟินิกซ์แดงพอสมควร การัมต้องเดินทางมาถึงกรุงคาราสึก่อนเราแน่นอน’
แล้วเหตุใดคาราสึถึงได้เงียบสงบเช่นนี้…?
ชายหนุ่มหมวดคิ้วไตร่ตรอง
“ต้องเป็นกับดักแน่…”
มีเหตุผลว่าทำไมกริดถึงต้องหวาดระแวงในตัวการัมเป็นพิเศษ นั่นเพราะบทเรียนจากสมัยเคยถูกการัมหลอกล่อด้วยภารกิจช่างตีเหล็กทั่วโลกมาแล้วหนหนึ่ง
“…ไม่สมเหตุสมผล”
จะเป็นกับดักจริงหรือ?
ด้วยสภาพอันน่าสมเพชเช่นนั้น มันจะกล้าย่างกรายเข้าไปในเมือง, วางกับดัก และรอซุ่มโจมตีเรา?
ไม่มีทาง
กริดรู้จักอุปนิสัยของการัมมากพอควร
ยิ่งศัตรูอ่อนแอ การัมก็ยิ่งมองราวกับเป็นเพียงมดปลวกด้อยค่า หรือไม่ก็หนอนแมลง
จิตใจอันคับแคบซึ่งสามารถฆ่าได้แม้กระทั่งผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก คนอย่างการัมไม่มีทางปล่อยให้ชาวบ้านได้เป็นสภาพสุดอนาถาของตัวเอง
เหนือสิ่งอื่นใด การัมสามารถหาพิกัดของตนพบในพริบตา จะมัวเสียเวลาวางกับดักเพื่อรอจัดการเราไปทำไม?
กริดยังคงไม่ลืมว่า จุดอ่อนสำคัญของการัมคือความโอหังเสียดฟ้า
ยิ่งศัตรูอ่อนแอ มันก็ยิ่งผยองใส่
และด้วยสภาพก่อนฆ่าเรา มันไม่มีทางกล้าเปิดเผยตัวตนให้ชาวเมืองเห็นแน่!
‘…หมอนั่นกลัวเสียหน้ายิ่งกว่ากลัวตาย’
คงรีบเผ่นกลับอาณาจักรฮวานเป็นอันดับแรกเพื่อตั้งหลัก ก่อนจะกลับมาอีกครั้งหลังจากจัดเตรียมร่างกายและเสื้อผ้าของตัวเองเรียบร้อย
เมื่อได้ข้อสรุป กริดเร่งความเร็วสูงสุดโดยไม่มัวเสียเวลา มุ่งหน้าไปยังใจกลางกรุงคาราสึซึ่งมีปราสาทหลังใหญ่ของกษัตริย์โชตั้งอยู่
“แกเป็นใคร!!”
“ศัตรู!!”
ความท้าทายเริ่มขึ้นทันที
แผ่นยันต์จำนวนมากรอบวังหลวง ได้สร้างม่านบาเรียตรวจจับและแสดงผลเมื่อผู้บุกรุกย่างกรายเข้าไปในอาณาเขต ไม่เพียงเท่านั้น มันยังคอยปลดปล่อยเวทมนตร์บางชนิดใส่เป้าหมาย
‘ระดับสูงพอสมควร’
สมกับเป็นหนึ่งในสี่อาณาจักร
ระบบป้องกันภัยรอบปราสาท ทัดเทียมกับปราสาทโอเวอร์เกียร์เลยทีเดียว
แต่ก็เท่านั้น
โดยไม่มัวชื่นชมให้เสียเวลา กริดเคลื่อนตัวหลบการโจมตีนานับชนิดของทหาร นักรบ นักพรต และพลธนูไปตลอดทาง จนกระทั่งถึงห้องทรงงานของกษัตริย์แห่งโช
“เซียนหรือ?”
ชายคนหนึ่งกำลังยืนกอดอกอย่างสง่างาม มันกล่าวทักทายกริดด้วยน้ำเสียงสุขุม
ดวงตาอันลุ่มลึกใต้มงกุฎสีทองอร่าม ชวนให้หลงใหลและน่าเคารพยำเกรงเหนือคำบรรยาย
รอบตัวกษัตริย์เต็มไปด้วยนักรบองครักษ์มากมาย ยังมีกลุ่มจอมเวทนักพรตซ่อนตัวหลังผ้าม่าน ขณะเดียวกัน กริดชำเลืองนับจำนวนบุคคลในเงามืดซึ่งรอคอยจังหวะซุ่มโจมตี
“ถ้ายอมจำนนแต่โดยดี ฉันจะไม่ฆ่าใคร”
แน่นอน กริดยังไม่เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของกษัตริย์โชละเอียดนัก
อาจมียังบันลอบแฝงตัวในกลุ่มองครักษ์สักคนสองคนเพื่อคอยจับตามองพฤติกรรมการทรยศของกษัตริย์
ไม่ว่าสถานการณ์รอบข้างจะเป็นเช่นไร แต่กริดตัดสินใจจะถอดหน้ากากหนังเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้ากษัตริย์โชสองต่อสองเท่านั้น
“ใครจะยอมปล่อยให้ทำแบบนั้น!!”
กลุ่มนักรบองครักษ์พลันเดือดดาลและปรี่เข้าใส่กริดราวกับคนเสียสติ
บุคคลในเงามืดคอยซัดอาวุธขัดจังหวะเป็นระลอก นักพรตหลังม่านคอยสร้างคำสาปกัดกร่อนจิตใจกริด บางส่วนสร้างบัฟเสริมความห้าวหาญและพลังกำลังให้เหล่านักรบ
สมกับเป็นหน่วยหัวกะทิ
เลเวลของทุกคนคงไม่ต่ำกว่า 400
แถมยังมีอยู่หนึ่งคน กริดไม่สามารถระบุตำแหน่งได้แม่นยำแม้จะใช้ประสาทสัมผัสของเหนือมนุษย์ช่วยตรวจจับ ลักษณะคล้ายกับนักลอบสังหารในตำนานผู้คอยเป็นเงารับใช้ใกล้ชิดกับกษัตริย์โช
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดรวมกันกลับยังมิอาจเทียบการัมเพียงคนเดียว
กริดตัดสินใจเปิดใช้งาน <อักขระแห่งความตะกละ> ด้วยสีหน้าขื่นขม
“เขตแดนพายุโทสะเทพ”
ชื่อใหม่ของ <เขตแดนพายุสายฟ้าอสูร>
อาศัยหัวใจฟินิกซ์แดงเป็นแกนกลาง รวมถึงเปลวเพลิงอันร้อนแรงจากดยุคแห่งไฟ พลังชนิดใหม่จึงไม่ต้องพึ่งพาดินฟ้าอากาศเหมือนเมื่อก่อน แถมยังมีอำนาจทำลายล้างเพิ่มขึ้นมาก
พรึ่บ—!
“…!?”
เหล่านักรบต่างผงะเมื่อได้เห็นพายุเปลวเพลิงอันร้อนแรงพวยพุ่ง ถึงพวกมันจะเป็นนักรบเอกแห่งอาณาจักรและได้รับบัฟกล้าหาญ แต่กลับไม่มีแม้แต่คนเดียวกล้าฝ่าดงเปลวเพลิงร้อนระอุผ่านเข้าไปโจมตี
สิ่งนี้มิใช่ความกลัว
แต่เป็นความประหลาดใจ
“พ…เพลิงฟินิกซ์แดง!”
กษัตริย์โชส่งเสียงอุทาน
ในวินาทีนี้ มันทราบทันทีว่าผู้บุกรุกวังหลวงคือผู้มาโปรดตามคำทำนายโบราณของบ้านเมือง
เก๊ง~ เก๊ง~ เก๊ง~
เสียงระฆังกังวานจากกำแพงห่างไกล
เป็นระฆังบอกเวลาสำหรับชาวเมืองคาราสี
และยังเป็นระฆังเริ่มต้นศักราชใหม่ของเมืองต้องสาปซึ่งหยุดพัฒนามานานกว่าร้อยปี
ขอบคุณครับ😊🙏
ReplyDelete