จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 816
“หายากกว่าที่คิดแฮะ”
ชายหนุ่มกางแผนที่เปิดอ่านหนแล้วหนเล่าตลอดการเดินทางสี่วันที่ผ่านมา
การหาเส้นทางที่ถูกต้องกลายเป็นสิ่งยากจนผิดวิสัย กริดยังคงหาจุดหมายที่ครอเกลระบุไม่พบ
เขาไม่ได้กำลังหลง
กริดคือบุคคลที่มีเซนส์ด้านทิศดีเยี่ยม
ไม่อย่างนั้นคงไม่พบถ้ำสุดเขตแดนเหนือจนกลายเป็นผู้สืบทอดแพ็กม่าได้แน่
“หืม…”
กริดก้มมองแผนที่พลางครุ่นคิด
ครอเกลระบุเป็นคำพูดว่า ป่าชายแดนจะอยู่ระหว่างคาบเกี่ยวของ ‘เขตภูเขาไฟเบลดอน’ และ ‘เขตทะเลทรายลิลตัน’
ใช่แล้ว ป่าชายแดนมิใช่สิ่งที่ถูกทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่
เป็นสาเหตุที่ทำให้กริดหาพบได้ยากกว่าปรกติ
“ถ้ามาทางเขตภูเขาไฟ ให้ตรงไปทางทิศตะวันออก ถ้ามาทางเขตทะเลทราย ให้ตรงไปทางทิศตะวันตก…”
กริดหรี่ตาลง
เขากำลังกระวนกระวายใจเมื่อกำหนดการเริ่มคลาดเคลือนจากตอนแรก
เมอร์เซเดสเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าเคลือบแคลง
“ครอเกลผู้นี้เชื่อถือได้หรือ?”
“หืม? ทำไมกัน?”
“ฉันไม่เชื่อว่า…สภาพแวดล้อมดังกล่าวจะมีผืนป่าอยู่ในจุดกึ่งกลางได้”
หากมันคือคาบเกี่ยวระหว่างดินแดนที่ระอุด้วยลาวาและทะเลทรายซึ่งปราศจากวัชพีช
ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิดที่จะมีผืนป่าตั้งเด่นตระหง่านอยู่ใจกลาง
ในทางสามัญสำนึก ต้นไม้จะเติบโตได้อย่างไรในสภาพแห้งแล้งขนาดนั้น
กริดตอบกลับ
“เขาเป็นคนที่ไว้ใจได้”
ถึงแม้โลกใบนี้จะไม่ได้สวยหรูขนาดทุกสิ่งที่ออกจากปากเพื่อนสนิทคือความจริง
แต่สำหรับคนอย่างครอเกล กริดเลือกที่จะเชื่อมั่น
“เขาเป็นมิตรสหายที่ทระนงในศักดิ์ศรี ไม่มีทางพูดจาเลื่อนลอยไร้มูลเหตุแน่”
“เขาคือ…อริยดาบใช่ไหม?”
“เธอรู้จักหรือ?”
“แน่นอน ชื่อเสียงของชายคนนั้นโด่งดังในจักรวรรดิตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา”
แม้จักรวรรดิจะดูแคลนผู้สืบทอดแพ็กม่า แต่กับอริยดาบแล้วตรงกันข้าม
เสียงของขุนนางภายในเริ่มแตกออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งต้องการให้จักรวรรดิคว้าตัวอริยดาบไว้
ส่วนอีกฝ่ายต้องการให้กำจัดทิ้งอย่างเร่งด่วน
และการตัดสินใจของฮวนเดอร์คือ…
“ซื้อใจเขาให้ได้”
“นั่นสินะ…ไม่แปลกที่องค์จักรพรรดิจะต้องการตัวคนอย่างครอเกล”
กริดเคยได้ยินมาบ้าง ว่าจักรวรรดิชื่นชอบและคอยเอาใจครอเกลเป็นพิเศษ ตรงกันข้ามกับผู้สืบทอดแพ็กม่า
แต่ถึงอย่างนั้น ศักดิ์ศรีของชายหนุ่มก็ไม่ถูกระคายเคืองด้วยเหตุผลเล็กน้อยแค่นี้
เพราะกริดยอมรับว่าผู้สืบทอดแพ็กม่าต่ำต้อยกว่าอริยดาบงั้นหรือ
คำตอบคือไม่ เขาประเมินว่าคลาสของตนมีระดับเทียบเท่าคลาสของครอเกล
แต่เป็นเพราะกริดไม่สนใจเสียงวิจารณ์จากคนไม่รู้จริง
เขามิได้แยแส
“ครอเกลตอบปฏิเสธองค์จักรพรรดิใช่ไหม?”
“ถูกต้อง”
“แล้วเธอไม่โกรธเขาหรือ?”
“…”
กริดสัมผัสถึงความเถรตรงและจงรักภักดีของเมอร์เซเดสได้ตั้งแต่แรกพบ
ใครก็ตามที่ขัดใจเจ้านาย เมอร์เซเดสจะมองคนผู้นั้นในแง่ลบทันที
สำหรับศัตรูแล้ว อัศวินนิสัยแบบนี้คือขวากหนามสำคัญที่น่ารำคาญ
แต่สำหรับมิตร ตัวตนของเมอร์เซเดสยอดเยี่ยมจนมิอาจประเมินค่าได้
“เก็บอารมณ์เหล่านั้นไว้ระบายตอนที่เธอพบกับเขาครั้งหน้า ภายในหนึ่งถึงสองปี เธอจะแข็งแกร่งขึ้นจนไม่มีใครในทวีปเทียบเคียงได้แน่”
‘อย่าเพิ่งเบื่อการต่อสู้ไปเสียก่อน’
กริดพิสูจน์มาแล้วหลายครั้ง ว่าการดวลระหว่างสองบุคคลที่แข็งแกร่งจะช่วยส่งเสริมให้คนทั้งคู่พัฒนา
เมื่อเห็นเมอร์เซเดสมีโอกาสเติบโต เขาต้องการให้เธอได้ทดลองดวลกับอริยดาบครอเกลในสภาพเติบโตเต็มวัย
‘การทำแบบนี้จะช่วยพัฒนาครอเกลได้ด้วย’
ตึกตัก!
ตึกตัก!
กริดใจเต้นแรงเมื่อจินตนาการว่าตนจะได้ดวลกับครอเกลในร่างสมบูรณ์
เขาเคยยึดติดกับครอเกลมากเกินไป จนรู้สึกผิดหวังรุนแรงในการแข่งนานาชาติที่เพิ่งจบลงไปไม่นาน
แม้จะเป็นฝ่ายชนะ แต่กริดกลับไม่ถูกเติมเต็มเท่าที่ควร
เหตุผลคือ เขาเอาชนะครอเกลโดยที่ยังไม่ได้แสดงพลังที่แท้จริงด้วยซ้ำ
กริดยังมีลูกไม้ซุกซ่อนอีกมาก
หนึ่งในนั้นคือพลังบีเลียล
ความรู้สึกหลังสู้เสร็จ แตกต่างจากความรู้สึกในงานแข่งปีที่สองโดยสิ้นเชิง
‘มันคือความจริงที่มิอาจปฏิเสธ’
กริดเอาชนะครอเกลได้โดยที่ตนยังออมแรงไว้หลายส่วน แต่เขานำเรื่องนี้ไปป่าวประกาศกับใครไม่ได้
มันไม่เกิดประโยชน์
และคงไม่มีใครคิดเชื่อ
‘แถมยังไม่ใช่เรื่องที่สมควรพูด’
หากพูดออกไป ผู้คนคงคิดว่ากริดทำตัวโอหังหลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว
ทันใดนั้น กริดที่กำลังครุ่นคิดได้ชะงักฝีเท้า
เขากำลังยืนอยู่ในจุดสุดเขตดินแดนลาวา ซึ่งเป็นสุดเขตของดินแดนทะเลทรายด้วยเช่นกัน
และสิ่งที่น่าเหลือเชื่อได้เกิดขึ้น
[ สร้อยคอต้นไม้โลกกำลังมีปฏิกิริยา! ]
กริดรีบนำมันออกมาจากช่องสัมภาระ
[ สร้อยคอต้นไม้โลก ]
เกรด : เลเจนดารี
ความคงทน : 20/22
* เพิ่มพละกำลังและความว่องไว 20% ในดินแดนเอลฟ์
* ฟื้นฟูมานาตามธรรมชาติเพิ่มขึ้น 150% ในดินแดนเอลฟ์
* ความเร็วเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 1.2 เท่าในดินแดนเอลฟ์
ก่อนจะกลายเป็นตำนาน โพเวียคือหญิงสาวที่ถูกรังเกียจจากทั้งมนุษย์และเอลฟ์
สร้อยคอเส้นนี้เป็นของดูต่างหน้าจากต้นไม้โลก เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอ
น้ำหนัก : 50
สร้อยคอที่สร้างจากเปลือกไม้ที่ร้อยถักเข้าด้วยกัน
เป็นไอเท็มดรอปจากอัศวินในตำนานโพเวียบนหมู่เกาะเบเฮ็น
การตอบสนองเช่นนี้หมายความว่า…
อึก…!
กริดลองทำตามสัญชาตญาณ
เขาตัดสินใจสวมสร้อยคอต้นไม้โลก
ทันใดนั้น
[ ค่าพละกำลังและความว่องไวเพิ่มขึ้น 20% ]
[ มานาฟื้นฟูตามธรรมชาติเร็วขึ้น 150% ]
[ ความเร็วเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 1.2 เท่า ]
“นั่นไง…!”
กริดตระหนักถึงความจริงได้สองข้อ
ประการแรก
เขากำลังอยู่ในเขตป่าชายแดน
แต่การที่มองไม่เห็นผืนป่าเป็นเพราะเสาเวทมนตร์ลวงตาบดบังไว้
ประการที่สอง ป่าชายแดนแห่งนี้คือป่าที่มีต้นไม้โลกตั้งอยู่
ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ…
ดินแดนของเอลฟ์!
“ถ้าทำลายเวทมนตร์ลวงตาได้ล่ะก็…!”
…แต่ด้วยวิธีใดกัน?
ครอเกลระบุไว้เพียงพิกัดของป่า มิได้พูดถึงวิธีการทำลายเสาเวทมนตร์ลวงตา
‘ทำไมครอเกลถึงไม่บอกเรา?’
อยากแกล้งกัน? หรือเป็นบททดสอบ?
นั่นไม่ใช่แน่
ครอเกลบอกพิกัดของป่าชายแดนเพราะเขาต้องการตอบแทนกริดด้วยเจตนาบริสุทธิ์
ไม่มีทางปกปิดข้อมูลสำคัญที่ตัวเองรู้เอาไว้
“หรือว่า…”
เสาเวทมนตร์ลวงตาจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าครั้งที่ครอเกลเคยมาเยือน
นั่นมีโอกาสเป็นไปได้มาก เพราะกริดเคยได้ยินจากสติกส์ว่าเอลฟ์เกลียดเผ่าพันธุ์มนุษย์
“เข้าใจแล้ว พวกเอลฟ์คงถูกรบกวนจากครอเกลในคราวก่อน จึงเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของเสาเวทมนตร์ลวงตา”
กริดมั่นใจข้อเท็จจริงนี้
ปัญหาในปัจจุบันคือการคลายเวทมนตร์ลวงตาให้ได้
“พื้นฐานในการคลายเวทมนตร์ลวงตาคือ…”
มีสองวิธีที่นิยมใช้
หนึ่งคือต้องจับหลักการทำงานของเสาลวงตาให้ได้
ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือใช้เวทมนตร์ที่มีระดับสูงกว่า เพื่อสยบให้คาถาลวงตาเสื่อมลง
และเมื่อกริดไม่มีเวทมนตร์สำหรับคลายคาถาลวงตา
ตัวเลือกเดียวที่เหลือคือข้อแรก
เขาต้องใช้สมองขบคิดหาหลักการทำงานของมัน
“คว…เอ่อ…”
ขณะกำลังจะสบถ กริดพลันนึกได้ว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
การพ่นถ้อยคำหยาบคายต่อหน้าสาวสวยที่เพิ่งมาเป็นลูกน้องคงไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก
“เฮ่อ…”
กริดกลับยิ่งเครียดมากกว่าเดิมเมื่อไม่ได้ตะโกนด่าออกไปอย่างสุดเสียง
ขณะกำลังขมวดคิ้วหน้าบูดบึ้ง เมอร์เซเดสได้เอ่ยปากถาม
“มีสิ่งใดให้ฉันช่วยไหม?”
“ฉันต้องการทำลายเวทมนตร์ลวงตา แต่ฉันไม่รู้วิธีทำมัน…”
เมอร์เซเดสพลันหรี่ตาลง
เธอไม่ชอบใจเลยสักนิดที่เจ้านายของตนไม่ยอมออกปากขอความช่วยเหลือ
“ฉันจะป่นมันให้เป็นผงเอง”
เมอร์เซเดสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ
“เอ๋?”
ป่นเวทมนตร์ลวงตา...?
กริดไม่เข้าใจความหมาย
เขาทำได้เพียงยืนสับสัน
“หากพลังทางกายภาพของฉันสูงกว่าผู้ร่ายมนตร์ลวงตาสามเท่า ฉันสามารถทำลายภาพลวงตาทิ้งได้ด้วยพละกำลัง มาลองดูสักตั้งว่าใครจะแน่กว่ากัน!”
ซู่ววววว—
เมอร์เซเดสชักดาบพลางรวบรวมปราณอัศวินสีเงินปริมาณมหาศาลไว้ที่คมดาบ
จากนั้นก็ฟาดฟันใส่ความว่างเปล่าตรงหน้า
ห้วงมิติโดยรอบถูกแบ่งออกเป็นสองซีกโดยสมบูรณ์
ราวกับดาบผ่ามิติของครอเกลถูกฉายซ้ำตรงหน้ากริด
ทั้งท้องฟ้า ทะเลทราย ผืนลาวา และผืนปฐพี
ทุกสรรพสิ่งถูกแบ่งออกเป็นสองซีกในแนวนอนอย่างเท่าเทียม
ทันใดนั้น ภาพลวงตาของทะเลทรายและภูเขาไฟได้หายไปราวกับเป็นเรื่องโกหก
ปรากฏเป็นผืนป่าเขียวชอุ่มแทนที่ในจุดเดิมของทะเลทรายและภูเขาไฟ
ขนาดของป่ากว้างใหญ่เกินกว่าจะกะเกณฑ์ด้วยตาเปล่า
ราวกับมีอาณาจักรลับซ่อนอยู่ภายใน
“…สุดยอด”
กริดทึ่งกับวิชาดาบของเมอร์เซเดส มิใช่ความใหญ่โตของผืนป่า
ขณะเดียวกัน เวทมนตร์ของเอลฟ์ก็สามารถสร้างภาพลวงตาเสมือนจริงจนน่าทึ่ง
จนถึงเมื่อครู่ กริดเคยคิดว่าบรรยากาศร้อนระอุจากทะเลทรายและลาวาคือเรื่องจริง
แต่ตอนนี้มันกลับหายไปโดยสมบูรณ์
สายลมเย็นสบายพัดผ่านจนชุ่มปอด
กริดหันไปถามเมอร์เซเดส
“นี่คือเวทมนตร์จากภูติธาตุงั้นหรือ…ฉันเคยได้ยิน แต่ไม่เคยเห็นกับตามาก่อน”
“คิดว่าเป็นเช่นนั้น เผ่าเอลฟ์หยิบยืมพลังจากภูติไฟเพื่อสร้างเขตภูเขาไฟ และใช้พลังจากภูติดินเพื่อสร้างเขตทะเลทราย เป็นเวทลวงตาเสมือนจริงระดับสูงจนยากที่มนุษย์จะแยกแยะ”
“ภูติธาตุ…เธอเคยเห็นมาก่อนรึเปล่า?”
“ไม่ค่ะ”
“อา…”
เมื่อกริดหันไปมอง เขากำลังเห็นแสงอาทิตย์ลอดผ่านใบไม้ส่องกระทบใบหน้าเมอร์เซเดสอย่างเจิดจ้า
ฉากตรงหน้างดงามเหนือคำบรรยาย
ทางด้านเมอร์เซเดสก็คิดแบบเดียวกัน
เธอรู้สึกทึ่งกับสุดยอดบรรยากาศที่อัดแน่นด้วยความสดชื่นของธรรมชาติ
‘นั่นสินะ…’
พวกเขาค้นพบดินแดนเอลฟ์ที่ถูกตัดขาดจากโลกมนุษย์มานานหลายร้อยปี
คงเป็นการยากที่จะไม่แสดงอาการหากได้เห็นธรรมชาติอันงดงามเหล่านี้
กริดเฝ้ามองท่าทีน่ารักน่าเอ็นดูของเมอร์เซเดสขณะที่เธอกำลังดื่มด่ำสภาพแวดล้อมอย่างมีความสุข
เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
‘ไม่มีข้อความระบบแจ้งว่าเราได้ค้นพบป่าเป็นคนแรก คงมีใครสักคนเคยมาเยือนที่นี่ก่อนแล้ว’
และคนผู้นั่นไม่ใช่ครอเกล
ครอเกลไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่คือป่าเอลฟ์ เขายังเรียกมันด้วยชื่อป่าชายแดนอยู่เลย
“ครอเกลค้นพบป่าเป็นคนแรกแต่ไม่ได้เข้ามาสำรวจ…หรือเขามาถึงช้ากว่าผู้เล่นคนอื่น? และหากเป็นอย่างหลัง โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่นัก”
ยากที่กริดจะทำใจเชื่อว่ามีบุคคลที่สามารถนำหน้าครอเกลอยู่หนึ่งก้าว
หมอนั่นเป็นใครกันนะ?
แต่ช่างเถอะ
กริดนั่งลงพลางนำเตาหลอมขนาดพกพาออกมาตั้ง จากนั้นก็ใส่ฟืนไม้ฟอสฟอรัสขาวลงไป
ที่ด้านข้าง เขานำทั่งเหล็กออกมาวาง พร้อมกับถังน้ำขนาดใหญ่สำหรับทำให้โลหะเย็นตัว
“…”
เมอร์เซเดสหมดคำพูดกับภาพตรงหน้า
กริดแปรเปลี่ยนให้ผืนป่าเขียวขจีให้กลายเป็นโรงเหล็กขนาดย่อม
“ฝ่าบาท นี่คือโอกาสอันดีที่จะได้ทำความรู้จักเผ่าเอลฟ์ พวกเราควรออกตามหาชาวเอลฟ์ก่อนดีไหม?”
ใครหลายคนถึงกับคิดว่าเผ่าพันธุ์เอลฟ์เป็นเพียงตัวตนในเทพนิยาย
สิ่งนี้พิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า เอลฟ์ตัดขาดจากโลกมนุษย์มานานเพียงใดแล้ว
เมื่อโอกาสได้พบเอลฟ์อยู่แค่เอื้อม แม้แต่คนเงียบขรึมอย่างเมอร์เซเดสก็ยังกระตือรือร้นที่จะพบเอลฟ์ให้ดี
ทว่า กริดกลับเฉยชาอย่างผิดวิสัย
“ฉันเห็นหน้าเอลฟ์จนเบื่อแล้ว”
“เอ๋?”
กริดเห็นหน้าเอลฟ์จนเบื่อ?
เมอร์เซเดสไม่เข้าใจในสิ่งที่กริดพูด
“แถมยังเป็นไฮเอลฟ์ เขาคือจอมปราชสติกส์ เธอไม่รู้หรอกหรือว่าผู้อำนวยการโรงเรียนหลวงเป็นไฮเอลฟ์? ทางจักรวรรดิก็ไม่ได้รู้ไปซะทุกเรื่องสินะ”
“…จริงด้วย”
เมอร์เซเดสเพิ่งตระหนักได้
เธอลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนเสียสนิท
ราวห้าวันที่แล้ว
ขณะกริดเพิ่งกลับถึงไรนฮาร์ท
“ฝ่าบาท!”
สติกส์รีบเข้าเฝ้ากริดทันที
“ได้โปรดเพิ่มจำนวนอาจารย์ในโรงเรียนหลวงด้วย! ตัวผมต้องสอนสิบสองคาบต่อหนึ่งวัน! สิบสองเชียวนะ! ผมไม่เหลือเวลาพักผ่อนแล้ว!”
“เข้าใจแล้ว ไปแจ้งกับเทศมนตรีแร็บบิทได้เลย”
“ไม่ได้! เขานั่นแหละปัญหา! เทศมนตรีกล่าวว่า เขาไม่สามารถเพิ่มจำนวนอาจารย์ได้เพราะอาณาจักรไม่มีเงินพอสำหรับจ่ายค่าแรง เขากำลังใช้แรงงานผมเยี่ยงทาสเพียงเพื่อประหยัดรายจ่ายอาณาจักร!”
สติกส์โพล่งขึ้นด้วยสีหน้าเรียกร้องความยุติธรรม
ท่าทีของสติกส์น่าสมเพชไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปที่ถูกเอาเปรียบ
สิ่งนี้ทำให้เมอร์เซเดสหลงลืมว่าชายคนนั้นเป็นถึงไฮเอลฟ์และจอมปราชญ์
“…เข้าใจแล้ว”
เมอร์เซเดสพยักหน้าเมื่อภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับเข้ามา
“นี่คือเหตุผลที่คุณไม่ต้องการพบชาวเอลฟ์สินะ”
“ถึงต่อให้พบเอลฟ์ในป่าแห่งนี้ พวกเขาก็คงเป็นเอลฟ์เพศชายเหมือนเดิม”
“เอลฟ์ชาย?”
“ฮะฮะ! ช่างมันเถอะ…มาเริ่มงานของเราดีกว่า”
กริดถกแขนเสื้อพลางยื่นน้ำผึ้งภูเขาราคาแสนแพงให้เมอร์เซเดส
จากนั้นก็กำค้อนเหล็กในมือแน่น
“ฉันจะตีเหล็ก ส่วนเธอกินน้ำผึ้งพวกนี้เพื่อล่อหมีหมาป่าออกมา”
นี่คือภารกิจแรกในฐานะอัศวินประจำกายกริด แต่เธอกลับรู้สึกไม่พึงพอใจอย่างน่าประหลาด
“ค่ะ…”
เมอร์เซเดสตอบอย่างไม่มีกะจิตกะใจ
ขณะกำลังชักดาบ ลูกธนูปริศนาได้พุ่งแหวกอากาศตรงมาทางกริดด้วยความเร็วสูง
เธอใช้ดาบในมือฟันขาดออกเป็นสองซีกอย่างแม่นยำ
“ใครกันที่กล้าเสียมารยาท!”
เมอร์เซเดสหรี่ตาพร้อมกับหันมองไปยังทิศทางที่ลูกธนูถูกยิงมา
เธอได้เห็นเอลฟ์กลุ่มหนึ่งกำลังจ้องกริดด้วยสายตาอาฆาตแค้น
เอลฟ์สาวผมขาวนามว่าเบเนียลูได้โพล่งขึ้นอย่างเดือดดาล
“พวกเราเกลียดแก…! มนุษย์โสโครกสมควรสูญพันธ์ไปให้หมด!!”
“เอาจริงดิ…”
เจอหน้ากันครั้งแรกก็พูดเรื่องสูญพันธ์เลยเนี่ยนะ?
การก่อไฟในป่ามันเป็นความผิดร้ายแรงขนาดนั้นเลยรึไง?
แต่เมื่อกริดลองคิดดูให้ดี
‘เอ่อ…มันก็ร้ายแรงอยู่’
แต่เขาคงไม่มีทางทราบ…
สาเหตุที่เอลฟ์เกลียดมนุษย์มิได้มาจากกริดและเมอร์เซเดสแม้แต่น้อย
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 5 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,238
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
ขอบคุณมากครับ 😊👍
ReplyDeleteขอบคุณครับ ที่เอลฟ์เกลียดคือ นักค่ากำไร เคีย นี้เดาเอา 🙏😅 จำชื่อตัวละครไม่ได้ จำได้แต่ตัวเอก
ReplyDeleteป๋าเอลฟ์ก็บทประมาณนี้แหล่คับ
Delete