จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,611
“ที่เบ็คส์เนี่ยนะ? ทำไมถึงเร็วขนาดนี้…!”
“บางที พวกมันคงใช้เล่ห์เหลี่ยมบางอย่างที่ได้รับจากดาบศักดิ์สิทธิ์… ตอนนี้เราต้องรีบติดต่อเซส อัลเดียร์ และฮาชิตันให้ส่งกองกำลังไปช่วยสนับสนุน…”
สามโบสถ์หลักต่างหวังพึ่งพาดาบศักดิ์สิทธิ์ในการฟื้นฟูศาสนา
จากบรรดาทั้งหมด หน่วยข่าวกรองที่ต้องตามสืบสาวกรีเบคก้าซึ่งครอบครองดาบศักดิ์สิทธิ์สิบเก้าเล่ม กำลังปั่นป่วนสุดขีด
เบ็คส์
หัวเมืองทางสุดขอบตะวันออกของจักรวรรดิ
หน่วยข่าวกรองเพิ่งได้รับแจ้งข่าวว่า สาวกรีเบคก้าจำนวนหลายพันกำลังรวมตัวที่นั่น
โบสถ์รีเบคก้าเคลื่อนไหวได้รวดเร็วผิดความคาดหมาย หน่วยข่าวกรองอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า พวกตนอาจถูกก่อกวนด้วยข่าวลวงมาตลอด
โชคดีที่บารอนสามคนซึ่งถูกวางตำแหน่งให้โอบล้อมเมืองเบ็คส์ไว้ ทำงานฉับไวและระดมกองทัพหลายหมื่นได้ทันที
แต่เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์กลับไม่ดีขึ้น
เรื่องราวมิได้ดำเนินไปอย่างที่ควร
“ฉันติดต่อกับเซสและอัลเดียร์ไม่ได้ สันนิษฐานว่าสาวกรีเบคก้าที่ไม่ได้ไปรวมตัวในเบ็คส์ ลอบโจมตีเพื่อตัดการสื่อสารทางเวทมนตร์”
“ฮาชิตันส่งกองทัพออกไปเมื่อเช้า มีรายงานว่าพวกเขาปราบกลุ่มกบฏฝั่งตะวันตกของเมืองสำเร็จ แต่คนเหล่านั้นเป็นเพียงชาวเมืองที่ถูกสาวกรีเบคก้าปลุกปั่น…”
สีหน้าของหน่วยข่าวกรองทวีความดำมืด
พวกมันกำลังหัวเสียในเรื่องที่ จักรวรรดิโอเวอร์เกียร์กว้างใหญ่ไพศาลเกินไป
สมัยที่จักรวรรดิยังเป็นเพียงอาณาจักร ดินแดนในความรับผิดชอบของพวกมันค่อนข้างเล็กและง่ายต่อการทำงาน สามารถส่งคนออกไปสืบข่าวในจุดสำคัญของทวีปได้ตลอดเวลา
แต่ปัจจุบัน ลำพังดินแดนของตัวเองก็ยังสืบข่าวได้ไม่ทั่วถึง
เป็นผลจากการผนวกรวมกับดินแดนอันกว้างขวางของซาฮารัน
ไม่สิ หากจะถามถึงสาเหตุที่แท้จริง คำตอบคงเป็นมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรมากกว่า
ผู้คนมากมายล้มตายในสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนที่มีฝีมือสูง จะยิ่งกล้าหาญและอาสาออกรบในแนวหน้า
ไม่เพียงขอบเขตการทำงานจะกว้างขึ้น พวกมันยังสูญเสียพวกพ้องไปมากมาย
ขณะหน่วยข่าวกรองมิอาจเก็บซ่อนความกระวนกระวาย
“พวกนายไม่ต้องสนใจโบสถ์รีเบคก้าแล้ว เตรียมกำลังคนสำหรับฟื้นฟูความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเบ็คส์ เซส และอัลเดียร์ ส่วนคนที่เหลือคอยตามสืบข่าวโบสถ์โดมิเนียนและยูดาห์”
มหาเสนาบดีลอเอลเดินเข้ามาในห้องโดยไม่ให้สุ้มเสียง ตามด้วยออกคำสั่ง
ความกลมเกลียวในหมู่สาวกโดมิเนียนและยูดาห์นั้นเปราะบางกว่ารีเบคก้ามาก เต็มไปด้วยช่องโหว่ สายลับจึงลอบแทรกซึมเข้าไปได้ตั้งแต่ต้น
สมาชิกหน่วยข่าวกรองต่างพยักหน้ารับ แต่สีหน้ายังคงดำมืด
เศษซากสาวกรีเบคก้า กลุ่มที่ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์มากถึงสิบเก้าเล่ม
ท่านมหาเสนาบดีคงมองว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งจนไม่สามารถเอาชนะได้… จึงออกคำสั่งให้ดูเชิงไปก่อน…
แต่ความจริงแล้วตรงกันข้าม
“องค์เทพจักรพรรดิเดินทางไปถึงเบ็คส์แล้ว”
“อึก…”
ในเบ็คส์ไม่มีวาร์ปเกต
จากบรรดาเหล่าอัครสาวก ผู้ที่สามารถไปถึงเบ็คส์ได้ในเวลาอันสั้น มีเพียงมหาจอมเวทบราฮัมคนเดียว แต่ในบางกรณี สาวกรีเบคก้าอาจกางข่ายปิดกั้นเวทมนตร์ ส่งผลให้เวทเคลื่อนย้ายมิติของบราฮัมใช้การไม่ได้
เดิมที หน่วยข่าวกรองล้วนคิดเห็นตรงกันว่า อีกไม่นานเบ็คส์คงตั้งตัวเป็นอิสระ กลายเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของโบสถ์รีเบคก้าใหม่
ได้แต่ภาวนาให้ฝ่ายของตนเผชิญความสูญเสียน้อยที่สุด
ทว่า กลับต้องผิดคาด กริดรุดหน้าไปยังจุดเกิดเหตุด้วยตัวเอง
ตัวตนซึ่งสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วทัดเทียมบราฮัม ด้วยสมรรถภาพร่างกายล้วนๆ โดยไม่มีเวทมนตร์ช่วยเหลือ
และคงเหมือนทุกที องค์เทพจักรพรรดิน่าจะช่วยเบ็คส์เอาไว้ได้
สีหน้าของบรรดาหน่วยข่าวกรองเริ่มกลับมาสดใส
แต่สีหน้าของนักวางกลยุทธ์กลับยังไม่ผ่อนคลาย
“จากข้อมูลที่เราได้รับ ผู้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งทัดเทียมเหนือมนุษย์ แน่นอนว่าฉันไม่สงสัยในฝีมือขององค์เทพจักรพรรดิ… แต่ท่านจะรับมือกับเหนือมนุษย์สิบเก้าคนตามลำพังได้จริงหรือ”
“เรื่องนั้น…”
ลอเอลไม่ตอบส่งเดช
เพราะนั่นก็เป็นสิ่งที่มันกังวลเช่นกัน
จริงอยู่ ในช่วยที่หายหน้าหายตาไป ดูเหมือนว่ากริดจะพัฒนาขึ้นมากด้วยทักษะการขี่มังกร (?) … แถมยังเพิ่งสร้างเกราะกับอาวุธมังกรใหม่ แต่ไม่ว่าจะแข็งแกร่งสักเพียงใด ในซาทิสฟายก็มีข้อจำกัดของสิ่งที่หนึ่งบุคคลสามารถกระทำ…
อย่างไรก็ดี กริดคือคนที่สั่งสมระดับตัวตนและบารมีเทพอย่างต่อเนื่อง ทำลายกำแพงขีดกำจัดได้หนแล้วหนเล่า ไม่ว่าจะค่า ‘ความเร็วโจมตี’ หรือ ‘ความเร็วการเคลื่อนที่’ กริดได้พัฒนาร่างกายจนอยู่เหนือขอบเขตของผู้เล่นไปไกล
เทียบกับการพบกันครั้งล่าสุด ลอเอลกล้าพูดว่ากริดแข็งแกร่งขึ้นจากเดิมมาก
แต่จะถึงขั้นรับมือกับดาบศักดิ์สิทธิ์สิบเก้าเล่มได้เชียวหรือ?
เมื่อคำนึงถึงพลังของดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ดาเมี่ยนเคยใช้ นั่นอาจไม่ใช่เรื่องง่าย
ไม่เพียงเท่านั้น ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่สามโบสถ์หลักได้รับในคราวนี้ ยังเป็นสิ่งที่ลอกเลียนแบบจากผลงานในอดีตของกริด
ดาบศักดิ์สิทธิ์มีพื้นฐานเป็นพลังเทพ เมื่อผนวกเข้ากับคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมที่กริดออกแบบ นั่นอาจทำให้ดาบศักดิ์สิทธิ์ใหม่ แข็งแกร่งยิ่งกว่าอาวุธรุ่นใหม่ของกริดอยู่เล็กน้อย…
‘ในกรณีเลวร้าย ทักษะอัญเชิญอัศวินอาจถูกผนึก’
เทพในโลกซาทิสฟายคือตัวตนที่มิอาจคาดเดา แม้จะมีท่าทีเฉยชาและแทบไม่ช่วยเหลือมนุษย์ แต่ก็เก่งกาจด้านการขัดจังหวะในเวลาสำคัญ
โดยเฉพาะรีเบคก้าที่ปกครองทวยเทพทั้งหมด หล่อนเอาแต่สงบนิ่งมาตลอดจนยากจะคาดเดาความคิด
เป็นธรรมดาที่ลอเอลจะกังวลเกี่ยวกับการแทรกแซงจากปัจจัยไม่คาดฝัน
อย่างไรก็ดี มันไม่ได้ลดทอนคุณค่าในตัวกริด
เทพโอเวอร์เกียร์ก็เป็นตัวตนที่คาดเดาไม่ได้เช่นกัน
และในเมื่อยากจะคาดเดาทั้งสองฝั่ง ลอเอลขอเชื่อมั่นในตัวกริด
***
“ทำไมกัน…”
วินเทอร์ผู้ถูกช่วงชิงดาบศักดิ์สิทธิ์ พึมพำด้วยสีหน้าเหม่อลอย
หนึ่งในรากฐานสำคัญของกริด พรแห่งแสง
เมื่อนานมาแล้ว
กริดเคยจัดการกับสันตะปาปาชั่วเดรวิโก้ และได้รับรางวัลเป็นพรแห่งแสงจากเทพธิดาจวบจนปัจจุบัน
แม้หลังจากนั้นจะฟาดฟันเทวทูตจนแหลกละเอียด กวาดล้างสามโบสถ์หลักอย่างโหดเหี้ยม บั่นทอนอำนาจของเทพธิดาและทำลายชื่อเสียงของสวรรค์ แต่แทนที่ดาบศักดิ์สิทธิ์จะปฏิเสธกริด มันกลับส่องแสงและเปล่งประกายยิ่งกว่าเก่า
แสงสว่างที่แผ่ออกมา เจิดจ้ากว่าเมื่อครั้งอยู่ในมือวินเทอร์ ผู้กราบไหว้บูชารีเบคก้าตั้งแต่ยังเล็ก
วินเทอร์มิอาจทำใจยอมรับภาพตรงหน้า
ภายในใจรู้สึกราวกับตนถูกเทพธิดาปฏิเสธ มันสะอื้นด้วยความเสียใจที่ถูกหักหลัง
“ฮึก…”
วินเทอร์ผู้สูญเสียแรงจูงใจ รู้สึกราวกับโลกทั้งใบแตกสลาย
มันมิอาจขยับเขยื้อนร่างกาย เพราะกริดยังคงจับข้อมือไว้แน่น
แขนของมังกรเพลิงอิฟริต
เกราะแขนที่คลุมตั้งแต่หัวไหลถึงปลายนิ้ว สร้างจากเกล็ดแผ่นเล็กทั้งหมด 286 ชิ้น
พวกมันหดกลับ สลับพองตัวตลอดเวลาราวกับกำลังหายใจเข้าออก
เกล็ดเหล่านี้ตอบสนองตามการเคลื่อนไหวของข้อต่อและกล้ามเนื้อผู้สวม คอยสร้างวงจรเวทมนตร์ที่มีเฉพาะในหัวใจมังกร
หนึ่งในคุณสมบัติพื้นฐานก็คือ ‘เพิ่มแรงบีบขึ้นอย่างมาก’
ยิ่งผนวกเข้ากับระดับตัวตนที่สั่งสม กริดซึ่งนำหน้าผู้เล่นทั่วไปอยู่หลายปี ยิ่งเร่งความเร็วทิ้งห่างมากกว่าเดิม
ไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า <พลังของผู้ไม่รู้จักความพ่ายแพ้> ของจอมอสูรลำดับสิบเก้า ซาลอส ถูกนำมาใส่ไว้ในแขนของมังกรเพลิงอิฟริต
“อั่ก…!”
ในท้ายที่สุด วินเทอร์ผู้หมดแรงจะขัดขืน ส่งเสียงครางต่ำพร้อมกับทิ้งตัวคุกเข่า
ข้อมือของมัน ถูกกริดบีบด้วยพละกำลังอันน่าสะพรึง
กระดูกและกล้ามเนื้อแหลกละเอียด ผิวหนังตั้งแต่ข้อศอกลงไปทยอยกลายเป็นเนื้อตาย
“ใครมอบสิ่งนี้ให้นาย?”
“ท…ท่านหัวหน้าอัครเทวทูต…”
“ฉันขอนะ”
เทคนิคการตีเหล็กของกริดยังด้อยกว่าเฮ็กเซเทีย
เพราะเทพโอเวอร์เกียร์มิใช่เทพแห่งการตีเหล็ก
เทพโอเวอร์เกียร์อาจมีพลังตีเหล็กเป็นส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะกริดสามารถทั้งสร้าง ควบคุม และช่วงชิงวัตถุมาเป็นของตน
อย่างไรก็ดี พลังในการช่วงชิงจะคงสภาพเพียงชั่วคราว
หากหวังยึดครองดาบศักดิ์สิทธิ์ของวินเทอร์โดยสมบูรณ์ กริดต้องฆ่าวินเทอร์ทิ้ง และยังต้องหวังให้ดาบศักดิ์สิทธิ์ ‘ดรอป’ หลังจากอีกฝ่ายเสียชีวิต
หรือไม่ก็
“ต...ตามสบาย…”
[วินเทอร์ พาลาดินแห่งโบสถ์รีเบคก้า มอบ <ดาบศักดิ์สิทธิ์> ให้ท่าน]
ใช้วิธีแย่งชิง
ไม่สิ ใช้การแลกเปลี่ยนสิทธิ์ถือครองไอเท็มตามปรกติ
“ฮ…ฮึก…”
วินเทอร์ที่ยกดาบให้กริด ได้รับอิสระกลับคืนมา
มันเซถอยหลังเล็กน้อย ก้มหน้าลงประหนึ่งคนบาป ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากริด
ความสูงสง่าและน่าเกรงขามในยามถือดาบศักดิ์สิทธิ์
นี่น่ะหรือ ผู้ถูกเลือกโดยแสง…
วินเทอร์ที่ปฏิเสธกริดมาตลอด ในที่สุดก็กระจ่าง
เทพโอเวอร์เกียร์มีศักดิ์ทัดเทียมเทพสวรรค์
ทั้งที่แสดงตัวต่อต้านเทพธิดา แต่เทพธิดากลับมิได้ลงทัณฑ์
แล้วมนุษย์ธรรมดามีสิทธิ์อะไรไปตำหนิหรือต่อต้าน?
ท้ายที่สุด วินเทอร์คุกเข่าลงและเตรียมสวดวิงวอน
แต่ทันใดนั้น มันส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
ลูกศรแสงดอกยักษ์พุ่งปักกลางหลังจนวินเทอร์ล้มทรุด
“เป็นถึงผู้ถูกเลือกโดยดาบศักดิ์สิทธิ์ กลับยอมจำนนต่อพลังกระจ้อยร่อย”
“…”
สายตากริดหันไปยังทิศทางการยิงของลูกศร
ณ ทางเข้าวิหารเทพโอเวอร์เกียร์ที่พังถล่มไปกว่าครึ่ง
สาวกรีเบคก้านับพันกำลังกรูกันออกมา
นำหน้าโดยผู้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสี่
ดาบนักล่าชั้นเลิศ ความผิดพลาด ดาบอัสนีฯ หนามแห่งความเคียดแค้น (แฟลมเบิร์จ) ดาบกริด วิญญาณดาบ และอีกมาก
รูปลักษณ์อันคุ้นตาของดาบศักดิ์สิทธิ์ ทยอยปรากฏขึ้นทีละหนึ่ง
นอกจากนั้นยังมีธนูที่เหมือนกับคันศรฟีนิกซ์แดง
คันธนูที่เปล่งปลั่งพร้อมด้วยศรพลังเทพ ปัจจุบันกำลังเล็งมาทางกริด
“กล้าหลอกลวงนักรบแห่งดาบศักดิ์สิทธิ์เชียวหรือ… ด้วยความชั่วช้าระดับนี้ แกน่าจะถูกเรียกว่าเทพอสูรมากกว่านะ”
ผู้ตะโกนคือนักบวชนามชูรี ซึ่งกำลังหลบหลังผู้ถือดาบศักดิ์สิทธิ์
พวกมันยังมองไม่เห็นดาบศักดิ์สิทธิ์ในมือกริด เนื่องจากถูกร่างวินเทอร์ที่ล้มลงบังไว้
เพียงไม่นาน ร่างวินเทอร์กลายเป็นละอองแสงสีเทา
“…!”
สาวกรีเบคก้านับพัน รวมถึงชูรี ได้เห็นเต็มสองตา
ภาพของดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งประกายจากมือกริด
อาวุธรูปทรงมีดสั้นกำลังส่องสว่างยิ่งดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มใด ทั้งที่ขนาดของมันเล็กที่สุด
สว่างเสียจนดาบศักดิ์สิทธิ์อีกสิบสี่เล่มหม่นหมองถนัดตา
คำนิยามที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ดาบในมือกริดกำลัง ‘ลุกโชน’
ขณะเดียวกัน พาลาดินเจ้าของดาบศักดิ์สิทธิ์อีกสี่เล่มรุดมาถึงจุดเกิดเหตุทันเวลา
ส่งผลให้ฝั่งโบสถ์รีเบคก้ามีดาบศักดิ์สิทธิ์รวมทั้งสิ้นสิบแปดชนิด
แต่ก็เปล่าประโยชน์
แสงสว่างในมือกริด สุกใสและเจิดจ้ายิ่งกว่าอาวุธทั้งสิบแปดชนิดรวมกัน
สว่างราวกับจะขับไล่เงามืดทั้งหมดบนโลก
มิหนำซ้ำ เกล็ดบนเกราะแขนและเกราะกางเกงของกริด ยังคอยสะท้อนแสงจากดาบทุกทิศจนระยิบระยับยิ่งกว่าเก่า
ไม่มีใครกล้าปรามาสว่านี่เป็นเพียงแสงสว่างทั่วไป
ดูราวกับเป็น
เขตแดนศักดิ์สิทธิ์
ดินแดนที่ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงล้ำ และมิอาจล่วงล้ำ
“ฮ…แฮ่ก… แฮ่ก…!”
“โอ้…! เหตุใดพลังเทพถึงได้ท่วมท้นเช่นนี้!”
เศษซากสาวกรีเบคก้าคือกลุ่มคนที่ถูกเทพธิดาทอดทิ้งมาตลอด กระทั่งเกือบถูกอัครเทวทูตฆ่าตายก็เคยมาแล้ว
แต่ทุกคนเป็นพวกคลั่งศาสนา จึงยังคงปรารถนาที่จะฟื้นฟูโบสถ์รีเบคก้าให้รุ่งเรือง
กริดรู้จักคนพวกนี้ดี
ชายหนุ่มเคยกระทบกระทั่งกับโบสถ์รีเบคก้าหลายหน และทุกครั้งจะรู้สึกสงสารกลุ่มสาวกที่ได้รับความเดือดร้อน
จวบจนปัจจุบัน กริดไม่เคยอยากทำร้ายพวกมัน แต่ก็ไม่ได้เห็นอกเห็นใจ
“เหตุใดเทพโอเวอร์เกียร์ถึงใช้เขตแดนศักดิ์สิทธิ์ได้? พระองค์เป็นร่างอวตารของเทพธิดาหรือ?”
“เหลวไหล! ไม่มีทางที่ร่างอวตารของเทพธิดาจะทำลายศาสนาตัวเอง!”
“นั่นอาจเป็นบททดสอบจากพระองค์ก็ได้…”
“ถ้าเทพโอเวอร์เกียร์คือร่างอวตารของเทพธิดาจริง ท่านหัวหน้าอัครเทวทูตคงไม่ส่งดาบศักดิ์สิทธิ์มาให้เรารับมือ…”
“หัวหน้าอัครเทวทูตไม่เคยแจ้งว่า ดาบศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มีไว้เพื่อจัดการกับเทพโอเวอร์เกียร์! ถ้าลองคิดอีกมุมหนึ่ง บางทีเทพโอเวอร์เกียร์อาจเป็นผู้ส่งอาวุธเหล่านี้ลงมา เพื่อแสดงตนว่าเป็นร่างอวตารขององค์เทพธิดา!”
“หุบปาก! ลืมไปแล้วหรือว่าเทพโอเวอร์เกียร์สังหารอัครเทวทูตด้วยความโหดเหี้ยมเพียงใด?”
เหล่าคนคลั่งศาสนาเริ่มแตกกลุ่ม
ทั้งสองฝ่ายต่างศรัทธาในแนวคิดของตนอย่างแรงกล้า ไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร
แต่ก็เปล่าประโยชน์
ทุกคนได้ตายไปแล้ว
“เจ้าพวกน่ารังเกียจ ข้าจะไม่ทนดูอีกต่อไป”
เทพเสด็จเยือน
เทพสงครามเซราทุล
ทันทีที่มันปรากฏกายบนท้องฟ้าและร่อนลง ร่างของสาวกรีเบคก้าด้านล่างทุกคนพลันระเบิด
ดาบศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบแปดชนิดที่สูญเสียเจ้าของ ลอยขึ้นไปในอากาศและเต้นรำไปพร้อมกับหนวดสีขาวที่พัดกระพือ จนกระทั่งจะลอยค้างอยู่ในตำแหน่ง
แม้การปรากฏกายของเทพสงครามจะทำให้โลกสั่นสะเทือน แต่กริดยังคงสงบนิ่งท่ามกลางตึกรามบ้านช่องที่พังถล่ม
“ข้าอยากฆ่าเจ้ามาตลอด”
คราวก่อนอาจถูกฮายาเตะขัดขวาง แต่ตอนนี้ไม่มีฮายาเตะ
“ข้าจะฆ่าเจ้าจนกว่าระดับตัวตนจะสึกกร่อนและสูญสลาย”
ความทรงจำเมื่อครั้งเวนิสนำคัมภีร์เคล็ดวิชาดาบคู่มาคืน ยังคงตราตรึงอยู่ในใจเซราทุล ความอัปยศดังกล่าวถูกสลักลงบนก้นบึ้งหัวใจ
และในวินาทีนี้ พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นจิตสังหารอันท่วมท้น
“ไม่มีวันใดเหมาะไปกว่าวันนี้อีกแล้ว”
อยู่มาวันหนึ่ง ไลฟาเอลเล่าให้ฟังว่า
มันได้ครอบครองดวงวิญญาณของมนุษย์ที่เทพโอเวอร์เกียร์เคยรักและผูกพัน
ไลฟาเอลยังแนะนำด้วยว่า หากต้องการให้เทพโอเวอร์เกียร์ลิ้มรสความเจ็บปวดและสิ้นหวังแสนสาหัส ห้ามฆ่าทิ้งเฉยๆ แต่ต้องทำลายความทรงจำอันมีค่าไปพร้อมกัน
เซราทุลเห็นด้วย
หลังจากรอให้เทวทูตตนดังกล่าว พัฒนาฝีมือจนสามารถสร้างดาบศักดิ์สิทธิ์จากเศษเสี้ยวความทรงจำ เซราทุลตัดสินใจลงมือ
แค่คิดก็สนุกแล้ว
สีม่วง
สีออร่าที่ห่อหุ้มตัวตนอันโง่เขลา ผู้ไม่เอะใจเลยว่าใครเป็นคนสร้างดาบศักดิ์สิทธิ์
เซราทุลวางแผนแทงดาบศักดิ์สิทธิ์ทะลวงร่างเทพโอเวอร์เกียร์ให้ตายคาที่
ท่ามกลางสีหน้าอันเจ็บปวดของอีกฝ่าย มันจะกระซิบข้างหูว่า ใครกันที่เป็นผู้สร้างดาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งข้าใช้สังหารเจ้า
หลังจากจ้องมองเซราทุลอย่างเงียบงันสักพัก กริดเปิดปากเป็นครั้งแรก
“มาคนเดียว?”
เทพบนแอสการ์ดมิอาจเคลื่อนไหวบนโลกกึ่งกลางได้อย่างอิสระ
อย่างไรก็ดี หากมีเทวทูตสามตนทำ ‘ตรีเอกานุภาพ’ ข้อจำกัดของเทพจะลดลงหลายระดับ นั่นคือสาเหตุที่ชายหนุ่มหวาดระแวงตรีเอกานุภาพเป็นพิเศษ
ดวงตาเซราทุลที่เคยวาดเป็นเส้นโค้ง เริ่มเบิกกว้าง
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม? อย่าบอกนะว่า… เจ้าคิดว่าตัวเองเอาชนะข้าได้? เทพจอมปลอม มนุษย์ผู้ไม่มีสิทธิ์ขึ้นสวรรค์อย่างเจ้าเนี่ยนะ?”
“…”
กริดไม่ตอบโต้ เพียงเพ่งสมาธิ
ศัตรูที่ฮายาเตะเอาชนะได้ตามลำพัง
อย่างน้อย เทพสงครามเซราทุลที่ลงมาเยือนโลกมนุษย์ ก็คงมีระดับไม่สูงไปกว่าบาเอลหรือไลฟาเอล
กริดซึ่งมีเป้าหมายจะปราบบาเอล ย่อมไม่หวั่นไหวต่อศัตรูตรงหน้า
ต้องสู้และเอาชนะให้ได้
จะได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า กริดพร้อมแล้วที่จะท้าทายบาเอล
“บางทีแกอาจไม่ทราบ แต่ฉันไม่ได้นับถือเทพสงคราม… เอกเทพแล้วยังไง? คิดว่าเทพหน้าใหม่เป็นแค่ไก่อ่อนเหมือนกันหมด?”
อันที่จริง การเผชิญหน้ากับเซราทุลไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำยั่วยุให้เปลืองน้ำลาย
ลำพังความเงียบงันก็มากพอจะทำให้อีกฝ่ายสูญเสียความเยือกเย็น
การดำรงอยู่ของเซราทุลขาดเสถียรภาพ เกิดจากความรู้สึกต่ำต้อยเมื่อได้ทราบว่าตนเป็นเพียงของปลอม
“นี่เจ้า… เด็กอมมือที่ไม่กี่วันก่อนยังไม่กล้าสบตาเทพโดยตรง ได้มังกรให้ท้ายเข้าหน่อยก็หลงตัวเองแล้วหรือ? ก็ดี… แบบนี้ดีแล้ว ข้าจะยิ่งมีความสุขในยามที่เห็นใบหน้าอันสิ้นหวังของเจ้า”
“ฉุนเฉียวจังนะ… ช่วงนี้รีเบคก้ายังมองแกด้วยสายตาสมเพชอยู่ไหม?”
หลังจากเตรียมตัวเสร็จ กริดเริ่มต่อปากต่อคำ
โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย นั่นคือสิ่งที่ฮายาเตะเคยกล่าวกับเซราทุล
และมันได้ผล
เซราทุลถลึงตาพร้อมกับเปิดฉากโจมตี
ดาบศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบแปดชนิดที่ลอยอยู่รอบตัว พรั่งพรูใส่กริดประหนึ่งแม่น้ำแห่งแสงสายใหญ่
ผู้คนที่ยังมีชีวิตรอดต่างสูญเสียการมองเห็นชั่วคราว
เขี้ยวกูเซล และแขนครานเบล
ศาสตรามังกรทั้งสองเล่ม สะบั้นแสงสว่างออกเป็นสองซีก
______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,059 ★ ★ จบบริบูรณ์ ★ ★
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ
Comments
Post a Comment