จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,618
คุณเชื่อในการดำรงอยู่ของเทพหรือไม่
เป็นคำถามที่ไม่สมควรเกิดขึ้นกับซาทิสฟาย
เทพมีอยู่จริงแน่นอน
ทั่วโลกเต็มไปด้วยร่องรอยเหล่าทวยเทพ
เมื่อราวสิบห้าปีก่อน ใครบางคนเริ่มได้ยินเสียงของรีเบคก้า
ไม่เพียงเท่านั้น โดมิเนี่ยนและยูดาห์ซึ่งถูกเทิดทูนให้เป็นสามเทพร่วมกับรีเบคก้า ก็ยังคอยส่งวิวรณ์มายังเหล่าสาวก
ณ ปัจจุบัน เทพโอเวอร์เกียร์กริดก็กำลังอาศัยร่วมกับมนุษย์
เทวภัณฑ์ของกริด หลอมรวมเข้ากับโลกและสร้างความอัศจรรย์นานัปการ
เป็นเหตุผลว่าทำไมเทพมนุษย์ถึงท่วมท้นไปด้วยความศรัทธา
ผู้คนตระหนักถึงการดำรงอยู่ของเทพ มองว่าเทพคือตัวตนอันยิ่งใหญ่โดยแท้จริง จึงตกเป็นเป้าของความศรัทธาได้ง่าย
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้มนุษย์ตระหนักถึงการมีอยู่ของเทพ คือเทพแห่งผืนแผ่นดิน
คาริออน เทพธรณี คอยปกป้องผืนแผ่นดินจากหายนะในช่วงเวลาวิกฤติเสมอ โดยเฉพาะภัยพิบัติจากฝีมือมนุษย์
สำหรับอารยธรรมของมนุษย์ ผืนดินคือรากฐานสำคัญที่สุด
จึงเป็นธรรมดาที่ผู้คนจะตระหนักถึงการมีอยู่ของคาริออน
แม้แต่สามโบสถ์หลักซึ่งมักตีตราเทพนอกแอสการ์ดว่าพวกนอกรีต ก็ยังให้ความนับถือคาริออน
ผืนดินมักปนเปื้อนมลทินอยู่เสมอ สาเหตุเกิดจากความโลภของผู้คน
และทุกครั้ง คาริออนจะคอยปกป้อง
ไม่ใช่ใครนอกจากคาริออน ที่คอยสมานผืนดินซึ่งถูกทำลายจากการโจมตีอันทรงพลังของอริยดาบ
มีเอกสารมากมายเขียนอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างอริยดาบกับคาริออน
ครอเกล อริยดาบคนปัจจุบัน ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเอกสารเหล่านั้น
ผู้คนส่วนมากจึงจินตนาการว่า คาริออนคือพระแม่ผู้โอบอ้อม หรือไม่ก็บิดาที่ลูกหลานสามารถพึ่งพา
แต่ตัวตนอันยิ่งใหญ่ดังกล่าวกลับ
“…”
ปรบมือและส่งเสียงยินดีหลังจากปิอาโร่ยกระดับตัวเองสำเร็จ
ประหนึ่งว่าคอยจับตามองปิอาโร่เป็นเวลานาน
กริดอึดอัดมากกว่าดีใจ
ปิอาโร่ใกล้ชิดกับเทพตนอื่นมากกว่าเรา… ตั้งแต่เมื่อไร?
เป็นความผิดหวัง เสียหน้า และเสียใจ
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
กริดและปิอาโร่
สองบุรุษผู้เคยพึ่งพาซึ่งกันและกัน
หากปราศจากกริด ปิอาโร่คงใช้ชีวิตอันน่าสมเพชไปจนตาย กระโจนเข้าใส่จักรวรรดิประหนึ่งแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
ในทางกลับกัน หากไม่มีปิอาโร่ อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ก็คงไม่เติบโตรวดเร็วเช่นนี้
เรย์ดันจะมีพัฒนาการช้าลงมากเพราะมิอาจกวาดล้างมอนสเตอร์ทะเลทรายได้หมดจด ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร
และเมื่อไม่มีใครเดินทางมายังเรย์ดัน จำนวนประชากรก็จะไม่เพิ่มขึ้น สิ่งอำนวยความสะดวกภายในเมืองจึงไม่พัฒนา การเพิ่มกำลังทหารก็จะกลายเป็นเรื่องยาก
หากเป็นเช่นนั้น เลิกคิดเรื่องการขยายอำนาจไปได้เลย
แถมยังมีโอกาสสูง ที่จะได้รับผลกระทบร้ายแรงจากการรุกรานของบีเลียล
หากไม่นับเฮลกาโอผู้สูญเสียร่างเนื้อ จอมอสูรตนแรกที่กริดต่อสู้อย่างจริงจังคือบีเลียล
ท่ามกลางศึกสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งในภายหลังทำให้อาณาจักรโอเวอร์เกียร์เติบโตอย่างก้าวกระโดด ชัยชนะของฝ่ายมนุษย์เกิดขึ้นได้เพราะความโดดเด่นและความเสียสละของปิอาโร่
หากมนุษย์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในตอนนั้น
สถานการณ์ของทวีปอาจแตกต่างไปจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิง อิทธิพลของวิหารยาธานจะแผ่ขยายไปทุกหัวระแหง
กริด กษัตริย์แห่งอาณาจักรอ่อนแออย่างโอเวอร์เกียร์ คงต้องทุกข์ทรมานจากความอัปยศที่ต้องก้มจุมพิตปลายเท้าเมอร์เซเดส อัครทูตแห่งจักรวรรดิซาฮารัน ณ ขณะนั้น
แม้ถ้าคิดดูดีๆ มันจะดูเหมือนรางวัลมากกว่าความอัปยศก็เถอะ แต่ว่า…
กริดกับปิอาโร่ต่างคอยค้ำจุนซึ่งกันและกัน
ใช่ชีวิตร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกัน และด้วยเหตุผลดังกล่าว ทั้งสองจึงมาได้ไกลดังในปัจจุบัน
ว่ากันตามตรง พวกมันมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นไม่ต่างจากคู่รัก
กริดไม่ได้คิดส่งเดชในตอนที่ต้องการให้ลูกสาวของปิอาโร่สมรสกับลอร์ด
จริงอยู่ ลูกสาวของปิอาโร่ยังเด็กมาก และแผนคลุมถุงชนได้ถูกพับเก็บไปแล้วเพราะไอรีนไม่เห็นด้วย เธอมองว่าการแต่งงานควรเกิดจากความสมัครใจเด็กของทั้งสองฝ่าย
แต่ถึงอย่างนั้น
กริดยังคงมองปิอาโร่เป็นคนพิเศษ ถึงขนาดต้องการเกี่ยวดองเข้าเป็นครอบครัวเดียวกัน
“ปิอาโร่”
“ขอรับฝ่าบาท”
“ดังที่เคยพูดไปในพิธีสมรสของนาย ฉันจะเคารพทุกคนที่นายมีสายสัมพันธ์ด้วย และช่วยเหลือเท่าที่ช่วยได้ จะพยายามไม่เข้าไปแทรกแซง…”
“…?”
ใบหน้ากริดมืดเข้มประหนึ่งน้ำลึก น้ำเสียงแผ่วเบาราวกับไร้เรี่ยวแรง
ปิอาโร่อดไม่ได้ที่จะสับสน
หลังจากเห็นกริดรีบร้อนวิ่งออกมา ปิอาโร่คาดหวังคำชมเชยในเรื่องที่ตนสามารถบรรลุจุดสูงสุดของการเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แต่ตรงกันข้าม มันกลับได้ยินถ้อยคำสุดพิลึกแทน
ปิอาโร่พยายามวิเคราะห์หาความนัยแฝง แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะยังขาดบารมี
ใครจะไปเข้าใจความนัยแฝงอันล้ำลึกของเทพจักรพรรดิผู้พิชิตเทพสงคราม?
“ขอรับ… กระหม่อมยังจำได้ดี เป็นเพราะพระกรุณาและการสนับสนุนจากฝ่าบาท ภรรยาเอลฟ์ของกระหม่อมจึงกล้าออกมาเผชิญโลกมนุษย์”
“ใช่แล้ว ฉันไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว… ไม่สิ ฉันเคยเห็นแก่ตัว แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ใช้มันกับนาย”
“ขอรับ กระหม่อมทราบดี แม้ฝ่าบาทในอดีตจะมีนิสัยน่ารังเกียจ แต่ก็ยังถ่อมตนและทำดีต่อกระหม่อมกับนายช่างข่านเสมอ”
“…”
ถึงจะเป็นอดีต แต่ถึงกับพูดว่าน่ารังเกียจต่อหน้าเจ้าตัว…
กริดผู้กระอักกระอ่วน ตัดสินใจเข้าประเด็น
“แล้วทำไมนายถึงทำตัวโลเล แอบติดต่อกับเทพตนอื่นลับหลังฉัน?”
“…หือ?”
“ในเมื่อนายไม่ได้มีนิสัยน่ารังเกียจเหมือนกับฉันในอดีต แล้วทำไมถึงแอบมีสายสัมพันธ์กับเทพตนอื่นนอกจากฉัน?”
“…”
ปิอาโร่ปิดปากเงียบ
การที่มันไม่พูดอะไร ไม่ใช่เพราะเถียงไม่ออก แต่เป็นเพราะไม่เข้าใจคำถาม
กริดเริ่มสังเกตเห็นเมื่อสาย
‘…หรือว่าปิอาโร่จะไม่รู้เรื่องนี้?’
คาริออนต่างหากที่คอยให้กำลังใจอยู่ฝ่ายเดียว
เมื่อลองคิดดูให้ดี นั่นพอจะเป็นไปได้
ปิอาโร่คืออัครสาวกของเรา เทพโอเวอร์เกียร์…
เว้นเสียแต่จะเสียสติ คงไม่มีเทพตนใด ‘อยากได้’ ผู้ส่งสารของเทพอื่นอย่างเปิดเผย
เฉกเช่นกริดในปัจจุบัน มันไม่อยากได้ไลฟาเอลมาเป็นพวก แม้จะทราบดีว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเพียงใด
สันดานเสียก็ส่วนหนึ่ง แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความจงรักภักดีของไลฟาเอล
เป็นการยากที่อัครสาวกจะเปลี่ยนใจไปรับใช้เทพตนอื่น เว้นเสียแต่จะถูกเทพทรยศและทอดทิ้งอย่างซาลิเอล
“อา… ขอแสดงความยินดีด้วย ดยุคปิอาโร่ น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งเมื่อได้เห็นธรรมชาติอันกว้างใหญ่ตอบสนองต่อพลังของท่านดยุค ดูราวกับดาวเคราะห์ทั้งดวงก็มิปาน”
“…”
กริดเปลี่ยนประเด็นไวมาก
เนื่องจากช่ำชองการเล่นบทบาทสมมติเมื่อครั้งสวมหน้ากากหนัง กริดเก่งกาจในการควบคุมสีหน้า สามารถเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นการชื่นชมปิอาโร่ด้วยใบหน้าสงบนิ่งและเคร่งขรึม
นั่นเป็นคำชมจากก้นบึ้ง
หากไม่นับความกระอักกระอ่วน บรรยากาศรอบตัวปิอาโร่อยู่ในระดับไม่ธรรมดา
หากแก่นมานาของบราฮัมขยายที่ตัวออกไปอย่างไร้สิ้นสุด เปรียบได้กับจักรวาล ของปิอาโร่ก็เปรียบดังดาวเคราะห์ ถึงจะไม่ไร้สิ้นสุด แต่ก็อัดแน่นไปด้วยพลังอันเข้มข้นและหลากหลาย
หากโอกาสเอื้ออำนวย ปิอาโร่มีสิทธิ์ได้รับค่าบารมีเทพเช่นกัน
‘…บารมีเทพ?’
กริดเพิ่งตระหนักได้
ถึงเหตุผลที่คาริออนให้ความสนใจปิอาโร่
ไม่ใช่เพราะคิดไม่ซื่อ แต่มันจำเป็น
‘ถ้าปิอาโร่ได้รับบารมีเทพ… พลังเทพของเขาจะมาจากธรรมชาติ หนึ่งในนั้นคือผืนดิน’
กล่าวคือ หากปิอาโร่ได้รับบารมีเทพ ก็จะกลายเป็นตัวตนที่คล้ายกับเทพธรณี
ในสายตาคาริออน เป็นธรรมดาที่เธอจะต้องจับตามอง
“ดยุคปิอาโร่!”
ขณะกริดกำลังครุ่นคิดกับตัวเอง เทศมนตรีแร็บบิตวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าคล้ายกับเกิดเรื่องด่วน
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“เรื่องอะไร…? ฝ่าบาท กระหม่อมขอตัวสักครู่”
ปิอาโร่คำนับและเดินตามแร็บบิตไป
ไม่เพียงจะคอยดูแลกองทัพ ปิอาโร่ยังต้องปกครองภาคการเกษตรกรรม นั่นคือเหตุผลที่กริดกังวลว่า ปิอาโร่อาจไม่มีเวลาทำลูกคนที่สอง
‘ถ้าคนอย่างปิอาโร่ลูกดก อาณาจักรก็จะยิ่งเจริญก้าวหน้า’
แต่ไม่ต้องห่วง ในอีกไม่ช้า นายจะมีเวลาว่างเพิ่มขึ้น…
เพราะลอเอลระบุว่า ตอนนี้กำลังโยกย้ายอำนาจทางทหารมาไว้ในมืออัสโมเฟล
อัสโมเฟลเองก็เติบโตขึ้นมากเช่นกัน
เมื่อไม่นานมานี้ นอกจากทักษะด้านอัศวิน อัสโมเฟลเพิ่งได้รับทักษะ ‘ผู้บัญชาการสงคราม’ ภายใต้ความช่วยเหลือของกิลด์โอเวอร์เกียร์หนึ่ง เมื่อผนวกกับค่าความเป็นผู้นำอันสูงลิบและทักษะในการควบคุมกองทัพ อัตราการพัฒนาจึงก้าวกระโดด
หากเกิดมหาสงครามระหว่างมนุษย์กับอสูรครั้งที่สอง กองทัพซึ่งนำโดยอัสโมเฟลจะกลายเป็นขุมกำลังหลักของจักรวรรดิ
‘เราเองก็ต้องรีบจับอัสโมเฟลแต่งงาน…’
ไม่ใช่แค่อัสโมเฟล แต่ยังรวมถึงบราฮัม ซิก และซาลิเอลที่ต้องรีบแต่งงาน
เด็กมีคุณภาพจะเกิดจากพ่อแม่ฉลาด
แน่นอนว่ามีโอกาสกลายเป็นเด็กเปรต แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีคุณภาพดี
‘พูดถึงเรื่องนี้… เมอร์เซเดสก็ต้องรีบมีลูกเหมือนกัน’
ความคิดซึ่งดำเนินไปยังทิศทางไม่คาดฝัน ทำเอาใบหน้ากริดแดงก่ำ
ชายหนุ่มรู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วร่าง สองมือพัดอากาศปะทะใบหน้า สายตาก้มลงมองปลายเท้า
> สวัสดี
ตัวอักษรเล็กๆ ถูกแกะสลักบนพื้นหิน
นี่มิใช่การเขียน
แต่เปรียบดังการผลงานแกะสลักที่ช่างฝีมือทุ่มเทด้วยชีวิต
‘หมายความว่ายังไง…?’
กริดตกใจและตื่นตัว
ชุดอักษรเหล่านี้เพิ่งเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเมื่อครู่ยังไม่มี
ฝีมือใคร?
ขณะกำลังฉงน ตัวหนังสือบนพื้นหินเลือนหายไป อักษรใหม่ถูกแกะสลักเพิ่มเติม
> ฉันคาริออน
“…หือ”
เทพธรณีผู้ยิ่งใหญ่
แตกต่างจากเทพสวรรค์ คาริออนไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง สนใจเพียงการดูแลผืนดิน
ลำพังความรับผิดชอบในหน้าที่ของเธอ ก็มากพอจะทำให้ผู้คนเคารพยกย่อง
แต่เหตุผลที่คาริออนได้รับการเชิดชูมากเป็นพิเศษ เพราะสิ่งที่เธอคอยดูแลมีประโยชน์ต่อทุกคนบนโลก อาจทัดเทียมได้กับต้นไม้โลกผู้คอยค้ำจุนผืนฟ้าเลยทีเดียว
แต่ขอเดาว่า เธอคงไม่ได้เรียนวิธีเว้นวรรคมา
‘นึกว่ากำลังไล่เราเสียอีก…’
ขณะกริดส่ายหน้า คาริออนอธิบาย
> ข้าเว้นวรรคเป็น
“…?”
> แต่ยิ่งเขียนยาวก็ยิ่งเจ็บ
“…”
เป็นลายมือที่สวยมาก
ไม่ใช่ว่าฉันเว้นวรรคไม่ได้ แต่ฉันไม่ทำ เพราะไม่อยากสนทนาแบบมีมารยาท
ข้อความสั้นๆ ของคาริออนอัดแน่นไปด้วยความหมาย
กริดผู้พยายามมองในแง่บวก ถามกลับไปอย่างสงสัย
“…เปล่งเสียงออกมาไม่ได้หรือ”
> ตอนนี้ไม่ได้
“…”
กริดขมวดคิ้ว
แม้จะพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ แต่วิธีสื่อสารของเธอน่ารำคาญเกินไป
กริดรู้สึกหงุดหงิดเมื่อคู่สนทนาพูดคุยกับตนด้วยภาษาคล้ายกับนักเลงคีย์บอร์ดชั้นประถม
แต่ในทางกลับกัน ชายหนุ่มรู้สึกสงสาร
ต้องจิตใจอ่อนโยนเพียงใด ถึงไม่กล้าเขียนยาวเพราะกลัวว่าผืนดินจะเจ็บ…
การฝ่าโลกเป็นสองซีกแต่ละครั้งของครอเกล จะสร้างความเจ็บปวดให้เธอมากเพียงใด?
‘ในตอนที่เซราทุลทำลายผืนดินจนแตกเป็นหมื่นแขนง เธอไม่สลบไปเลยหรือ?’
ย้อนกลับไปในกระแสเวลาแห่งเทพสงคราม
กริดสัมผัสถึงการดิ้นรนของคาริออน
ไม่เพียงจะชื่นชมในฝีมือของคาริออน ผู้สามารถสมานผืนดินซึ่งแหลกละเอียดให้กลับเป็นปรกติ กริดยังรู้สึกขอบคุณมาก
หากคาริออนไม่ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ คงมีผู้คนล้มตายไปไม่น้อย
หวนนึกถึงผลลัพธ์ด้านบวกในช่วงเวลาดังกล่าว กริดระงับความโกรธที่มีต่อคาริออน พลางซักถามด้วยเสียงที่ฟังดูเป็นมิตรมากที่สุด
“แล้ว… มาหาฉันทำไม? ถ้าคิดจะมาชิงตัวปิอาโร่ไป… ฉันขอปฏิเสธ”
> หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าข้าจะชิงตัวเขาไปข้าทำให้เจ้าคิดแบบนั้นหรือ
“ถ้าจะเขียนยาวขนาดนี้ ช่วยเว้นวรรคหน่อยเถอะ”
กริดอดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญ
ในฐานะชาวเกาหลีผู้เรียนเขียนอ่านอักษรฮันกึลซึ่งประดิษฐ์โดยพระเจ้าเซจง ชายหนุ่มอ่อนไหวต่อการเว้นวรรคมาก
เป็นปัญหาที่อยู่คนละระดับโดยสิ้นเชิง กับการอ่านพบคำผิดในนิยายออนไลน์
> ข้าขอโทษ
เว้นวรรคไม่ได้ แต่เขียนพร่ำเพ้อไร้สาระได้?
กริดเริ่มสังเกตเห็น
คาริออนเองก็ไม่ปรกติ
ทันใดนั้น คาริออนเปิดเผยธุระของตน
> ช่วยข้าด้วย
เฮ้ยยยยยย คาริออนน้อนต้องเป็นสาวสวยแน่นวล
ReplyDelete