จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,610



เทวทูตเปรียบดังผู้พิทักษ์และตัวแทนของทวยเทพ


พวกมันคอยพิทักษ์และบังคับใช้กฎที่เทพบัญญัติขึ้น รวมถึงแทรกแซงโลกด้วยตัวเองเพื่อปกป้องเกียรติของเทพ


กระทั่งจุดมุ่งหมายในการดำรงอยู่ ก็เพียงเพื่อประโยชน์ของเทพโดยไม่มีสิ่งอื่นเจือปน


เทวทูตมิอาจเป็นเทพได้ แม้จะได้รับความศรัทธาอย่างล้นหลาม


เฉกเช่นจอมอสูรที่ปกครองนรกด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ไม่มีวันพัฒนาไปเป็น ‘เทพอสูร’ ได้


‘เทวทูต’ กับ ‘อสูร’ ถือเป็นสองสายพันธุ์ที่แตกต่างจากเทพโดยสิ้นเชิง พวกมันมิอาจสั่งสมค่าบารมีเทพ เว้นเสียแต่กรณีพิเศษอย่างสตริโอ้ซึ่งถือกำเนิดจากมวลวิญญาณอาฆาตจำนวนมหาศาล


นั่นคือกฎพื้นฐานสำหรับปกป้องตัวเทพเอง


เมื่อนานมาแล้ว เจ็ดเทวทูตและสามอสูรต้นกำเนิด ถูกสร้างขึ้นโดยรีเบคก้าและยาธาน


บางตัวตนเกิดมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเทพทั่วไป ดังนั้นหากสามารถสั่งสมบารมีเทพได้ เกรงว่าความสมดุลของสวรรค์จะพังทลาย จนทวยเทพส่วนใหญ่ไม่ได้รับความเคารพ


“ยอดเยี่ยมมาก…”


อัครเทวทูตลำดับหนึ่ง ไลฟาเอล


หนึ่งในไม่กี่บุคคลที่คอยตามรับใช้เทพธิดาแห่งแสง แสยะยิ้มกว้าง


วิญญาณช่างตีเหล็กที่ถูกรวบรวมมาเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน


ตัวตนซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นเทวทูต เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ขาดหายไปของเฮ็กเซเทีย มีฝีมือสูงกว่าที่ไลฟาเอลคาดหมายไว้มาก


จริงอยู่ ฝีมือในปัจจุบันอาจยังเทียบชั้นเฮ็กเซเทียไม่ได้ มิได้ใกล้เคียงเทพโอเวอร์เกียร์ด้วยซ้ำ แต่ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยเวลา


ไลฟาเอลพึงพอใจกับผลลัพธ์เป็นอย่างยิ่ง


“เห็นที ท่านเฮ็กเซเทียคงต้องถูกจองจำตลอดกาลเสียแล้ว เพราะเจ้าสามารถทำงานแทนเขาได้อย่างไร้รอยต่อ”


เทวทูตช่างตีเหล็กเกาศีรษะเป็นระยะหลังจากถูกไลฟาเอลชื่นชมไม่ขาดปาก


“ชมกันเกินไปแล้ว เทวทูตอย่างข้าจะเทียบชั้นท่านเฮ็กเซเทียได้อย่างไร”


“ดูข้าเป็นตัวอย่างก็ได้ เทวทูตไม่จำเป็นต้องด้อยกว่าเทพเสมอไป… มีเทวทูตจำนวนไม่น้อยที่ขยับหมั่นเพียรยิ่งกว่าเทพเสียอีก”


“แต่อัครเทวทูตถือเป็นตัวตนพิเศษ…”


“ฮะฮะ! เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ตรงกันข้ามต่างหาก อัครเทวทูตมีข้อจำกัดมากกว่าเทวทูตด้วยซ้ำ… ดูได้จากซาลิเอลที่ถูกขับไล่ อัครเทวทูตถูกสร้างให้ทำตามพระประสงค์ของเทพธิดาเพียงอย่างเดียว ไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักร อีกทั้งยังขาดจินตนาการ จึงไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้… ในบรรดาอัครเทวทูตทั้งหมด มีเพียงข้ากับกาบริเอลเท่านั้นที่พิเศษ… เฉกเช่นข้าและกาบริเอล เจ้าก็เป็นเทวทูตที่พิเศษ มีจินตนาการและความคิดอิสระ”


ต้องขอบคุณที่ชีวิตก่อนเคยเป็นมนุษย์


ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะขึ้นสวรรค์ แต่ฝีมือสมัยมนุษย์ก็ยังไม่เลือนหาย


ทักษะระดับตำนาน


แถมยังถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วจากพรของเทพธิดาและกาบริเอล ส่งผลให้ฝีมือสูงส่งกว่าที่เคยเป็นมา…


ไลฟาเอลกลืนคำพูดสุดท้ายลงคอ ตามด้วยยกมุมปาก


เทวทูตช่างตีเหล็กเผยสีหน้าสับสน เนื่องจากไลฟาเอลไม่ยอมอธิบายว่าเหตุใดตนถึงพิเศษ จึงทำได้เพียงเกาศีรษะด้วยความงุนงง


ปัจจุบัน สมาธิของมันกำลังจดจ่ออยู่กับความรู้สึกบนปลายนิ้ว


ความรู้สึกที่ถือกำเนิดหลังจากลงมือสร้างอาวุธ ตามพิมพ์เขียวในเศษเสี้ยวความทรงจำที่ล่องลอย


ความรู้สึกเหล่านี้ เปี่ยมไปด้วยความคะนึงหาและความอบอุ่น


***


ผู้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้นจากทั่วทุกมุมทวีป


ลอเอลถึงกับเตรียมส่งอัครสาวกไปกำราบ นั่นหมายความว่า สถานการณ์ปัจจุบันถูกประเมินให้อยู่ในระดับน่ากังวล


แต่นั่นเป็นเพียงการคำนวณในกรณีเลวร้ายที่สุด


ลอเอลมิได้หวาดกลัวภัยคุกคามจากสามโบสถ์หลักมากนัก เพียงกังวลว่า การที่เศษเดนของสามโบสถ์หลักมีดาบศักดิ์สิทธิ์เป็นสัญลักษณ์รวมใจ จำนวนสมาชิกกลุ่มต่อต้านเทพโอเวอร์เกียร์อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต


ถ้าพวกมันมีแค่หลักสิบหรือหลักร้อย จะมีเหตุผลใดให้ต้องเกรงกลัว?


กริดเองก็เข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี


ชายหนุ่มมิได้กังวลมากนัก เพียงมองว่าเป็นโอกาสดีสำหรับทดสอบชุดเกราะและอาวุธมังกร


นอกจากนั้น กริดยังไม่อยากรบกวนเวลาฝึกส่วนตัวของเหล่าอัครสาวก


แม้แต่ตอนนี้ เมอร์เซเดสคงกำลังแกว่งดาบอย่างเอาเป็นเอาตาย…


เธอคือต้นแบบของอัศวินทั่วโลก จึงไม่คิดหยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว


‘หรือไม่ก็กำลังนั่งสมาธิเพื่อนึกทบทวนปณิธานอัศวิน…’


ขณะจินตนาการภาพเมอร์เซเดสผู้สง่างาม นั่งคุกเข่ารับแสงแดดในยามเช้า กริดอมยิ้มอย่างมีความสุข


ชายหนุ่มภูมิใจในตัวเมอร์เซเดสมาก แต่ขณะเดียวกันก็แอบกังวลกับงานอดิเรกแปลกๆ ของเธอ


“จะไปแล้วหรือ?”


เทวภัณฑ์ใหม่ของเทพโอเวอร์เกียร์


หลังจากชำเลืองมองดาบสีใสซึ่งงดงามราวกับเกล็ดครานเบลด้วยสายตาชื่นชม บีบันถามแกมผิดหวัง


ท่าทีของสภาคนอื่นก็ไม่ต่างกัน


เสียงทุบค้อนใสกังวานของกริดซึ่งดังเป็นฉากหลังตลอดทั้งวัน โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ที่คอยเต้นตามจังหวะค้อน หัตถ์เทวะที่ช่วยบีบันทำความสะอาดหอคอย แรนดี้ผู้เรียนรู้วิชาแปลกๆ ได้รวดเร็ว โนเอะและเนเฟลิน่าที่เอาแต่เล่นซน


กลุ่มก้อนของกริดที่อาศัยอยู่ในหอคอยมานานจนกลายเป็นส่วนหนึ่ง การขาดหายไปย่อมทำให้ทุกคนรู้สึกใจหาย


เพื่อรักษาสันติภาพของโลก เหล่าสภาหอคอยต้องโดดเดี่ยวมานานหลายร้อยปี


ทุกคนเชื่อมาตลอดว่า พวกตนชาชินกับความเดียวดายแล้ว


แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด


เหล่าสภาที่ตระหนักถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว ต่างเกิดความยินดีเล็กๆ ภายในใจ


เพราะสิ่งนี้ช่วยยืนยันว่า พวกตนยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลือ


กริดก็เช่นกัน


ชายหนุ่มเคารพนับถือหัวจิตหัวใจของเหล่าสภาที่ยอมเสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อปกป้องโลกแม้ตัวเองต้องโดดเดี่ยว


การได้อยู่ร่วมกับกลุ่มคนที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกยินดี


“แล้วฉันจะกลับมา”


“…”


ไม่ใช่การบอกลา


กริดประกาศการกลับมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสุขุมประหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่


ท่าทีดังกล่าวสร้างความสุขให้กับเหล่าสภาเป็นอย่างมาก


“ตกลง… ไปดีมาดีนะ”


ทุกคนเดินมาส่งชายหนุ่มด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม


คนเหล่านี้คือพวกพ้องและครอบครัวคนสำคัญ ผู้คอยปกป้องมนุษย์บนผืนแผ่นดินที่กริดปกครอง


‘บ้านหลังที่สองของเรา…?’


การได้มีคนสำคัญในชีวิตเพิ่มขึ้น ถือเป็นเรื่องดีเสมอ


คิดถึงตรงนี้ กริดเดินแยกตัวออกจากกลุ่ม


“แล้วเจอกัน”


***


อัครเทวทูตลำดับสาม มิคาเอล


เทวทูตตนที่สี่ที่เคยปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าสาวกรีเบคก้า


ตรงข้ามกับคำนิยามในพระคัมภีร์ มิคาเอลปราศจากเมตตา แถมยังเปี่ยมไปด้วยความรุนแรง


ทว่า สาวกของโบสถ์ไม่กล้าตั้งคำถามส่งเดช


การได้เห็นตัวอย่างจากเทวทูตเพียงไม่กี่ตน แล้วนำไปตัดสินเทวทูตกับเทพทั้งหมด ถือเป็นบาปร้ายแรง


แน่นอน สาวกจำนวนไม่น้อยผิดหวังในพฤติกรรมของมิคาเอลจนเลิกนับถือศาสนา แต่ก็เป็นเพราะคนเหล่านั้นมีศรัทธาไม่แรงกล้าต่างหาก


ยังเหลือสาวกของรีเบคก้าอีกนับพัน ที่ยังศรัทธาในตัวรีเบคก้าและเหล่าเทวทูต


ขณะซ่อนตัวอยู่ตามซอกมุมทวีป ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นดินแดนของจักรวรรดิโอเวอร์เกียร์ พวกมันมองเห็นโอกาส


ทุกคนอดทนรออย่างใจเย็น โดยเชื่อว่าเทพธิดาจะส่งวิวรณ์มาถึงเหล่าสาวกเดนตายผู้ไม่เคยเปลี่ยนความศรัทธา


และในท้ายที่สุด รีเบคก้าไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง


พระองค์ส่งไลฟาเอล อัครเทวทูตที่เปรียบดังร่างอวตารของพระองค์ ลงมายังโลกกึ่งกลางและแจกจ่ายศาสตราศักดิ์สิทธิ์


เป็นเวลาเดียวกับที่แขนขาข้างสำคัญของกริดกำลังโลดแล่นอยู่ในนรก


ไลฟาเอลเพียงมอบอาวุธให้โดยไม่กล่าวคำใด แต่สาวกของโบสถ์ล้วนตีความตรงกันว่า นี่คือโอกาสในการกอบกู้ชื่อเสียงของเทพธิดาและปลุกระดมเหล่าสาวกที่หลับใหลให้ตื่นขึ้น


“พวกเราต้องทุกข์ทรมานมานานหลายปี! ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนกับหนูท่อโดยไม่มีทางเลือก! ต้องทนดูโบสถ์ถูกย่ำยีโดยเทพโอเวอร์เกียร์ เทพเสียสติที่อ้างว่าเข้าใจมนุษย์มากที่สุด… แต่หลังจากนี้ ทุกสิ่งจะเปลี่ยนไป”


ชูรี นักบวชอาวุโสของโบสถ์รีเบคก้า


ทันทีที่มันตะโกน พาลาดินสิบห้าคนเดินขึ้นไปบนเวทีอย่างพร้อมเพรียง


ทุกคนล้วนเป็นผู้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์


จากบรรดาผู้ได้รับเลือกจากเทพธิดาจำนวนสิบเก้าคน เกือบทั้งหมดกำลังรวมตัวกัน


แสงสว่างจากดาบศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบห้าเล่ม อัดแน่นไปด้วยพลังเทพที่ดูคล้ายไอเย็นเยือกแข็ง


บรรยากาศน่าเกรงขามและสูงส่งยิ่งกว่าในยุคของเครย์เชอร์ ช่วงเวลาที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นยุคทองของศาสนารีเบคก้า


เหล่าสาวกต่างพากันส่งเสียงเชียร์ บ้างหลั่งน้ำตานองหน้า บ้างพึมพำบางสิ่งคล้ายสวดวิงวอน


ท่ามกลางผู้จำนวนคนหลายร้อย เกิดเป็นบรรยากาศประหนึ่งความแค้นที่ถูกกดขี่ตลอดหลายปีได้รับการปลดปล่อย


ชูรีส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนสงบ ตามด้วยกล่าว


“แม้พี่น้องทุกคนจะยังไม่ได้มารวมตัวกัน แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะประกาศให้โลกรับรู้ถึงการกลับมาของพวกเรา… ใครจะกล้าหยุดยั้งพวกเราที่ถือครองเหล่าศาสตราศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งองค์เทพธิดาประทานให้ด้วยตัวเอง!!”


“เฮ—!”


“พวกเราคือทายาทที่องค์รีเบคก้าทรงห่วงใยเป็นพิเศษ! ศรัทธาของเราคือแสงสว่างที่จะฟื้นฟูศาสนาให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง! นักรบแห่งดาบศักดิ์สิทธิ์ทุกคนจะคอยปกป้องเรา!!”


“เฮ—!!”


ณ วิหารเทพโอเวอร์เกียร์ชายขอบจักรวรรดิ


เสียงตะโกนของเหล่าสาวกรีเบคก้าที่ใช้กำลังยึดครองวิหาร ทยอยดังขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป


ไทยมุงที่มารวมตัวกันหลังจากได้ยินข่าวลือ พยายามเพ่งมองเข้าไปจากระยะไกล


“ดาบศักดิ์สิทธิ์… เหมือนกับที่ดาเมี่ยนเคยใช้ใช่ไหม?”


“ไม่เหมือน ได้ยินว่ามีรูปร่างหลากหลาย แต่ทุกคนยืนยันตรงกันว่าไม่ใช่ของปลอม ทุกเล่มมีพลังมากกว่าหรือเทียบเท่าดาบศักดิ์สิทธิ์”


“มีอาวุธระดับสัตว์ประหลาดแบบนั้นมากถึงสิบเก้าชนิด… แถมยังถือกำเนิดในชั่วข้ามคืน? ถ้าศาสนารีเบคก้าฟื้นฟูกลับมาไม่ได้ก็แปลกแล้ว”


ไทยมุงเฝ้ามองด้วยท่าทีสงบนิ่ง


เป็นท่าทีที่แตกต่างจากชาวเมืองทั่วไป ซึ่งมักเอาแต่หลบซ่อนเพราะกลัวว่าความวุ่นวายจะนำมาซึ่งหายนะ


ไทยมุงเหล่านี้เป็นกลางโดยแท้จริง ดังที่เห็นได้จากสายตาไม่แยแสขณะเหล่านักบวชโอเวอร์เกียร์ถูกสังหารหรือจับเป็นเชลย


ทางสาวกรีเบคก้าก็ไม่คิดลงมือปิดปาก เพราะพวกมันต้องการสร้างความชอบธรรมเพื่อรวบรวมสมาชิกเพิ่ม


อย่างไรก็ดี ความรู้สึกของบางคนในกลุ่มไทยมุง ค่อนไปทางไม่พอใจ


“แต่พวกแอสการ์ดก็เจ้าเล่ห์ชะมัด… ถ้าส่งดาบศักดิ์สิทธิ์มาในช่วงมหาสงครามกับอสูร ผู้คนก็คงไม่ต้องล้มตาย… ส่งมาทำซากอะไรตอนนี้? ฉวยโอกาสในจังหวะที่โอเวอร์เกียร์กำลังทุ่มความสนใจไปยังลิฟต์นรก?”


“ในช่วงสงครามอาจยังไม่มีดาบศักดิ์สิทธิ์ก็ได้… แต่ความคิดของนายมีเหตุผล ดังที่กริดกล่าวอ้าง ดูเหมือนว่าในท้ายที่สุด มนุษย์จะต้องทำสงครามกับสวรรค์”


ไทยมุงซึ่งกำลังสนทนาหน้านิ่ง คือกลุ่มแรงเกอร์ที่มีชื่อเสียง อาจไม่ใช่ไฮแรงเกอร์ แต่ทุกคนล้วนมั่นใจในฝีมือระดับนานาชาติของตน ต่อให้บทสนทนาฟังไม่เข้าหูใคร แต่การรับมือหรือหลบหนีก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น


นอกจากนั้น เนื่องจากศาสนารีเบคก้ากำลังเร่งฟื้นฟูตัวเอง บรรดาสาวกจึงไม่น่าจะก่อความวุ่นวายให้ศาสนาเสื่อมเสียชื่อเสียง


แต่กลับต้องผิดคาด กลุ่มสาวกรีเบคก้าที่ปะปนอยู่ในฝูงชน แผดเสียงตะโกนทันที


“ไอ้พวกนอกรีต!”


“พวกมันบังอาจดูแคลนเทพสวรรค์!!”


“ให้ตายสิ…”


“พวกคลั่งศาสนามักเดาใจยากเสมอ”


กลุ่มแรงเกอร์ขมวดคิ้วพร้อมกับก้าวถอยหลัง


พวกมันจ้องไปทางสาวกรีเบคก้าที่ปะปนอยู่ในฝูงชน พลางร่ายบัฟปกคลุมร่างกายตัวเอง


นี่ไม่ใช่เจตนาต่อสู้ พวกมันทราบดีว่าการหนีคือทางออกที่ฉลาดที่สุด


น่าเสียดาย สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไร


ผู้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งซึ่งวิ่งออกมาหลังจากได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ตามประกบติดกลุ่มแรงเกอร์ไม่ห่าง


ชื่อของมันคือวินเทอร์


ความเร็วของชายผู้ถือดาบศักดิ์สิทธิ์ที่อัดแน่นด้วยพลังเทพ เหนือกว่าขีดจำกัดของแรงเกอร์พอสมควร


เรียกได้ว่าทัดเทียมกับเหนือมนุษย์ขั้นต้น


“ไอ้แม่เย…”


ก่อนที่ถ้อยคำสบถหยาบคายจะจบลง ร่างแรงเกอร์สลายกลายเป็นละอองสีเทา


แสงสว่างที่ฟันผ่านร่างแรงเกอร์มิได้จางหาย ยังลอยค้างอยู่กลางอากาศก่อนจะก่อตัวเป็นวงแหวน


วงแหวนลอยเข้าไปมัดร่างกายเหล่าไทยมุงซึ่งพากันเผยสีหน้าตกตะลึง


“อะไร? พวกเราเกี่ยวอะไรด้วย?”


“พวกเราไม่เกี่ยวกับคนพวกนั้น…”


“ไอ้พวกรีเบคก้า! เสียสติกันไปหมดแล้วหรือ?”


“ช…ช่วยด้วย!”


ผู้คนเริ่มถูกวงแหวนรัดแน่น


วินเทอร์ไม่แม้แต่จะมองหน้า เพียงแหงนศีรษะไปยังท้องฟ้าในจุดห่างไกลและกล่าว


“หยุดตรงนั้นแหละ… ถ้าทำอะไรโง่ๆ ฉันเชือดเจ้าพวกนี้ทิ้งแน่”


ไทยมุงพากันประหลาดใจ


เมื่อคำนึงว่าผู้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจเหนือมนุษย์ อีกฝ่ายคงไม่ใช่คนบ้าที่พูดคนเดียว แต่น่าจะสนทนากับบางตัวตนที่อยู่ไกลกว่าระยะสายตา


ศึกใหญ่กำลังจะเริ่มต้น และพวกเราคือตัวประกัน…


ขณะไทยมุงกำลังตระหนกกับวิกฤติ


ท่วงทำนองอันไพเราะเริ่มถูกบรรเลง


เป็นบทเพลงที่ผู้เล่นไม่มีทางลืม


เพลงธีมประจำตัวเทพโอเวอร์เกียร์กริด


“…!”


วินเทอร์ ผู้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์ เผยสีหน้าตกตะลึงทันใด


เมื่อครู่เทพโอเวอร์เกียร์ยังอยู่ไกลขนาดนั้น แล้วทำไมเพียงพริบตาเดียวถึงมาโผล่ในระยะประชิด?


เป็นความเร็วที่ไม่ก่อให้เกิดภาพตกค้าง กระทั่งอำนาจเหนือมนุษย์ที่ดาบศักดิ์สิทธิ์มอบให้ ก็ยังไม่ช่วยให้วินเทอร์มองเห็นความเคลื่อนไหว


ได้แต่นึกสงสัยว่า อีกฝ่ายคงใช้พลังบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการข้ามมิติ


วินเทอร์แกว่งดาบเข้าใส่อย่างดุดัน


ในเวลาเดียวกัน วงแหวนแห่งแสงได้ตอบสนองต่อความคิดวินเทอร์ ค่อยๆ รัดร่างผู้คนแน่นขึ้น


แต่ก็เปล่าประโยชน์


มือของกริดที่หุ้มด้วยเกล็ดขนาดเล็กจำนวนหลายร้อย คว้าข้อมือวินเทอร์พร้อมกับหักทิ้งในพริบตา


เมื่อวินเทอร์ผู้กำลังแหกปากกรีดร้อง ปล่อยดาบศักดิ์สิทธิ์ให้หลุดมือ วงแหวนแห่งแสงที่รัดพันร่างกายผู้คนพลันสลายตัว


“คนที่สร้างมันขึ้นมา… มีเจตนาอะไรกันแน่”


ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ร่วงหล่น ถูกกริดคว้าไว้ด้วยสีหน้าดำมืด


เมื่อนานมาแล้ว


กริดเคยสร้าง <มีดสั้นในอุดมคติ> ขึ้นมาในการแข่งที่มีโรงตีเหล็กของข่านเป็นเดิมพัน


และดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มดังกล่าว มีรูปทรงคล้ายมีดสั้นในอุดมคติมาก


กริดผู้รู้สึกว่าความทรงจำอันมีค่าระหว่างตนกับข่านถูกทำให้มัวหมอง เป็นธรรมดาที่จะหัวเสีย


ดาบศักดิ์สิทธิ์มิได้ปฏิเสธกริด มันยอมให้ถือแต่โดยดี


ตรงกันข้าม คมดาบยิ่งแผ่แสงสว่างเปล่งปลั่งกว่าเก่า ฉากดังกล่าวทำให้วินเทอร์หมดกำลังใจจะสู้ทันที


______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,059   ★ ★ จบบริบูรณ์  ★ ★
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ

Comments

  1. ก็ดาบนั่นข่านเป็นสร้าง น่าสงสารกริดมาก อีพวกสวรรค์เฮ็งซวยเอ้ย

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00