จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,610
เทวทูตเปรียบดังผู้พิทักษ์และตัวแทนของทวยเทพ
พวกมันคอยพิทักษ์และบังคับใช้กฎที่เทพบัญญัติขึ้น รวมถึงแทรกแซงโลกด้วยตัวเองเพื่อปกป้องเกียรติของเทพ
กระทั่งจุดมุ่งหมายในการดำรงอยู่ ก็เพียงเพื่อประโยชน์ของเทพโดยไม่มีสิ่งอื่นเจือปน
เทวทูตมิอาจเป็นเทพได้ แม้จะได้รับความศรัทธาอย่างล้นหลาม
เฉกเช่นจอมอสูรที่ปกครองนรกด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ไม่มีวันพัฒนาไปเป็น ‘เทพอสูร’ ได้
‘เทวทูต’ กับ ‘อสูร’ ถือเป็นสองสายพันธุ์ที่แตกต่างจากเทพโดยสิ้นเชิง พวกมันมิอาจสั่งสมค่าบารมีเทพ เว้นเสียแต่กรณีพิเศษอย่างสตริโอ้ซึ่งถือกำเนิดจากมวลวิญญาณอาฆาตจำนวนมหาศาล
นั่นคือกฎพื้นฐานสำหรับปกป้องตัวเทพเอง
เมื่อนานมาแล้ว เจ็ดเทวทูตและสามอสูรต้นกำเนิด ถูกสร้างขึ้นโดยรีเบคก้าและยาธาน
บางตัวตนเกิดมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเทพทั่วไป ดังนั้นหากสามารถสั่งสมบารมีเทพได้ เกรงว่าความสมดุลของสวรรค์จะพังทลาย จนทวยเทพส่วนใหญ่ไม่ได้รับความเคารพ
“ยอดเยี่ยมมาก…”
อัครเทวทูตลำดับหนึ่ง ไลฟาเอล
หนึ่งในไม่กี่บุคคลที่คอยตามรับใช้เทพธิดาแห่งแสง แสยะยิ้มกว้าง
วิญญาณช่างตีเหล็กที่ถูกรวบรวมมาเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน
ตัวตนซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นเทวทูต เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ขาดหายไปของเฮ็กเซเทีย มีฝีมือสูงกว่าที่ไลฟาเอลคาดหมายไว้มาก
จริงอยู่ ฝีมือในปัจจุบันอาจยังเทียบชั้นเฮ็กเซเทียไม่ได้ มิได้ใกล้เคียงเทพโอเวอร์เกียร์ด้วยซ้ำ แต่ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยเวลา
ไลฟาเอลพึงพอใจกับผลลัพธ์เป็นอย่างยิ่ง
“เห็นที ท่านเฮ็กเซเทียคงต้องถูกจองจำตลอดกาลเสียแล้ว เพราะเจ้าสามารถทำงานแทนเขาได้อย่างไร้รอยต่อ”
เทวทูตช่างตีเหล็กเกาศีรษะเป็นระยะหลังจากถูกไลฟาเอลชื่นชมไม่ขาดปาก
“ชมกันเกินไปแล้ว เทวทูตอย่างข้าจะเทียบชั้นท่านเฮ็กเซเทียได้อย่างไร”
“ดูข้าเป็นตัวอย่างก็ได้ เทวทูตไม่จำเป็นต้องด้อยกว่าเทพเสมอไป… มีเทวทูตจำนวนไม่น้อยที่ขยับหมั่นเพียรยิ่งกว่าเทพเสียอีก”
“แต่อัครเทวทูตถือเป็นตัวตนพิเศษ…”
“ฮะฮะ! เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ตรงกันข้ามต่างหาก อัครเทวทูตมีข้อจำกัดมากกว่าเทวทูตด้วยซ้ำ… ดูได้จากซาลิเอลที่ถูกขับไล่ อัครเทวทูตถูกสร้างให้ทำตามพระประสงค์ของเทพธิดาเพียงอย่างเดียว ไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักร อีกทั้งยังขาดจินตนาการ จึงไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้… ในบรรดาอัครเทวทูตทั้งหมด มีเพียงข้ากับกาบริเอลเท่านั้นที่พิเศษ… เฉกเช่นข้าและกาบริเอล เจ้าก็เป็นเทวทูตที่พิเศษ มีจินตนาการและความคิดอิสระ”
ต้องขอบคุณที่ชีวิตก่อนเคยเป็นมนุษย์
ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะขึ้นสวรรค์ แต่ฝีมือสมัยมนุษย์ก็ยังไม่เลือนหาย
ทักษะระดับตำนาน
แถมยังถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วจากพรของเทพธิดาและกาบริเอล ส่งผลให้ฝีมือสูงส่งกว่าที่เคยเป็นมา…
ไลฟาเอลกลืนคำพูดสุดท้ายลงคอ ตามด้วยยกมุมปาก
เทวทูตช่างตีเหล็กเผยสีหน้าสับสน เนื่องจากไลฟาเอลไม่ยอมอธิบายว่าเหตุใดตนถึงพิเศษ จึงทำได้เพียงเกาศีรษะด้วยความงุนงง
ปัจจุบัน สมาธิของมันกำลังจดจ่ออยู่กับความรู้สึกบนปลายนิ้ว
ความรู้สึกที่ถือกำเนิดหลังจากลงมือสร้างอาวุธ ตามพิมพ์เขียวในเศษเสี้ยวความทรงจำที่ล่องลอย
ความรู้สึกเหล่านี้ เปี่ยมไปด้วยความคะนึงหาและความอบอุ่น
***
ผู้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้นจากทั่วทุกมุมทวีป
ลอเอลถึงกับเตรียมส่งอัครสาวกไปกำราบ นั่นหมายความว่า สถานการณ์ปัจจุบันถูกประเมินให้อยู่ในระดับน่ากังวล
แต่นั่นเป็นเพียงการคำนวณในกรณีเลวร้ายที่สุด
ลอเอลมิได้หวาดกลัวภัยคุกคามจากสามโบสถ์หลักมากนัก เพียงกังวลว่า การที่เศษเดนของสามโบสถ์หลักมีดาบศักดิ์สิทธิ์เป็นสัญลักษณ์รวมใจ จำนวนสมาชิกกลุ่มต่อต้านเทพโอเวอร์เกียร์อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต
ถ้าพวกมันมีแค่หลักสิบหรือหลักร้อย จะมีเหตุผลใดให้ต้องเกรงกลัว?
กริดเองก็เข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี
ชายหนุ่มมิได้กังวลมากนัก เพียงมองว่าเป็นโอกาสดีสำหรับทดสอบชุดเกราะและอาวุธมังกร
นอกจากนั้น กริดยังไม่อยากรบกวนเวลาฝึกส่วนตัวของเหล่าอัครสาวก
แม้แต่ตอนนี้ เมอร์เซเดสคงกำลังแกว่งดาบอย่างเอาเป็นเอาตาย…
เธอคือต้นแบบของอัศวินทั่วโลก จึงไม่คิดหยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว
‘หรือไม่ก็กำลังนั่งสมาธิเพื่อนึกทบทวนปณิธานอัศวิน…’
ขณะจินตนาการภาพเมอร์เซเดสผู้สง่างาม นั่งคุกเข่ารับแสงแดดในยามเช้า กริดอมยิ้มอย่างมีความสุข
ชายหนุ่มภูมิใจในตัวเมอร์เซเดสมาก แต่ขณะเดียวกันก็แอบกังวลกับงานอดิเรกแปลกๆ ของเธอ
“จะไปแล้วหรือ?”
เทวภัณฑ์ใหม่ของเทพโอเวอร์เกียร์
หลังจากชำเลืองมองดาบสีใสซึ่งงดงามราวกับเกล็ดครานเบลด้วยสายตาชื่นชม บีบันถามแกมผิดหวัง
ท่าทีของสภาคนอื่นก็ไม่ต่างกัน
เสียงทุบค้อนใสกังวานของกริดซึ่งดังเป็นฉากหลังตลอดทั้งวัน โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ที่คอยเต้นตามจังหวะค้อน หัตถ์เทวะที่ช่วยบีบันทำความสะอาดหอคอย แรนดี้ผู้เรียนรู้วิชาแปลกๆ ได้รวดเร็ว โนเอะและเนเฟลิน่าที่เอาแต่เล่นซน
กลุ่มก้อนของกริดที่อาศัยอยู่ในหอคอยมานานจนกลายเป็นส่วนหนึ่ง การขาดหายไปย่อมทำให้ทุกคนรู้สึกใจหาย
เพื่อรักษาสันติภาพของโลก เหล่าสภาหอคอยต้องโดดเดี่ยวมานานหลายร้อยปี
ทุกคนเชื่อมาตลอดว่า พวกตนชาชินกับความเดียวดายแล้ว
แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด
เหล่าสภาที่ตระหนักถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว ต่างเกิดความยินดีเล็กๆ ภายในใจ
เพราะสิ่งนี้ช่วยยืนยันว่า พวกตนยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลือ
กริดก็เช่นกัน
ชายหนุ่มเคารพนับถือหัวจิตหัวใจของเหล่าสภาที่ยอมเสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อปกป้องโลกแม้ตัวเองต้องโดดเดี่ยว
การได้อยู่ร่วมกับกลุ่มคนที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกยินดี
“แล้วฉันจะกลับมา”
“…”
ไม่ใช่การบอกลา
กริดประกาศการกลับมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสุขุมประหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่
ท่าทีดังกล่าวสร้างความสุขให้กับเหล่าสภาเป็นอย่างมาก
“ตกลง… ไปดีมาดีนะ”
ทุกคนเดินมาส่งชายหนุ่มด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
คนเหล่านี้คือพวกพ้องและครอบครัวคนสำคัญ ผู้คอยปกป้องมนุษย์บนผืนแผ่นดินที่กริดปกครอง
‘บ้านหลังที่สองของเรา…?’
การได้มีคนสำคัญในชีวิตเพิ่มขึ้น ถือเป็นเรื่องดีเสมอ
คิดถึงตรงนี้ กริดเดินแยกตัวออกจากกลุ่ม
“แล้วเจอกัน”
***
อัครเทวทูตลำดับสาม มิคาเอล
เทวทูตตนที่สี่ที่เคยปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าสาวกรีเบคก้า
ตรงข้ามกับคำนิยามในพระคัมภีร์ มิคาเอลปราศจากเมตตา แถมยังเปี่ยมไปด้วยความรุนแรง
ทว่า สาวกของโบสถ์ไม่กล้าตั้งคำถามส่งเดช
การได้เห็นตัวอย่างจากเทวทูตเพียงไม่กี่ตน แล้วนำไปตัดสินเทวทูตกับเทพทั้งหมด ถือเป็นบาปร้ายแรง
แน่นอน สาวกจำนวนไม่น้อยผิดหวังในพฤติกรรมของมิคาเอลจนเลิกนับถือศาสนา แต่ก็เป็นเพราะคนเหล่านั้นมีศรัทธาไม่แรงกล้าต่างหาก
ยังเหลือสาวกของรีเบคก้าอีกนับพัน ที่ยังศรัทธาในตัวรีเบคก้าและเหล่าเทวทูต
ขณะซ่อนตัวอยู่ตามซอกมุมทวีป ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นดินแดนของจักรวรรดิโอเวอร์เกียร์ พวกมันมองเห็นโอกาส
ทุกคนอดทนรออย่างใจเย็น โดยเชื่อว่าเทพธิดาจะส่งวิวรณ์มาถึงเหล่าสาวกเดนตายผู้ไม่เคยเปลี่ยนความศรัทธา
และในท้ายที่สุด รีเบคก้าไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง
พระองค์ส่งไลฟาเอล อัครเทวทูตที่เปรียบดังร่างอวตารของพระองค์ ลงมายังโลกกึ่งกลางและแจกจ่ายศาสตราศักดิ์สิทธิ์
เป็นเวลาเดียวกับที่แขนขาข้างสำคัญของกริดกำลังโลดแล่นอยู่ในนรก
ไลฟาเอลเพียงมอบอาวุธให้โดยไม่กล่าวคำใด แต่สาวกของโบสถ์ล้วนตีความตรงกันว่า นี่คือโอกาสในการกอบกู้ชื่อเสียงของเทพธิดาและปลุกระดมเหล่าสาวกที่หลับใหลให้ตื่นขึ้น
“พวกเราต้องทุกข์ทรมานมานานหลายปี! ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนกับหนูท่อโดยไม่มีทางเลือก! ต้องทนดูโบสถ์ถูกย่ำยีโดยเทพโอเวอร์เกียร์ เทพเสียสติที่อ้างว่าเข้าใจมนุษย์มากที่สุด… แต่หลังจากนี้ ทุกสิ่งจะเปลี่ยนไป”
ชูรี นักบวชอาวุโสของโบสถ์รีเบคก้า
ทันทีที่มันตะโกน พาลาดินสิบห้าคนเดินขึ้นไปบนเวทีอย่างพร้อมเพรียง
ทุกคนล้วนเป็นผู้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์
จากบรรดาผู้ได้รับเลือกจากเทพธิดาจำนวนสิบเก้าคน เกือบทั้งหมดกำลังรวมตัวกัน
แสงสว่างจากดาบศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบห้าเล่ม อัดแน่นไปด้วยพลังเทพที่ดูคล้ายไอเย็นเยือกแข็ง
บรรยากาศน่าเกรงขามและสูงส่งยิ่งกว่าในยุคของเครย์เชอร์ ช่วงเวลาที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นยุคทองของศาสนารีเบคก้า
เหล่าสาวกต่างพากันส่งเสียงเชียร์ บ้างหลั่งน้ำตานองหน้า บ้างพึมพำบางสิ่งคล้ายสวดวิงวอน
ท่ามกลางผู้จำนวนคนหลายร้อย เกิดเป็นบรรยากาศประหนึ่งความแค้นที่ถูกกดขี่ตลอดหลายปีได้รับการปลดปล่อย
ชูรีส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนสงบ ตามด้วยกล่าว
“แม้พี่น้องทุกคนจะยังไม่ได้มารวมตัวกัน แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะประกาศให้โลกรับรู้ถึงการกลับมาของพวกเรา… ใครจะกล้าหยุดยั้งพวกเราที่ถือครองเหล่าศาสตราศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งองค์เทพธิดาประทานให้ด้วยตัวเอง!!”
“เฮ—!”
“พวกเราคือทายาทที่องค์รีเบคก้าทรงห่วงใยเป็นพิเศษ! ศรัทธาของเราคือแสงสว่างที่จะฟื้นฟูศาสนาให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง! นักรบแห่งดาบศักดิ์สิทธิ์ทุกคนจะคอยปกป้องเรา!!”
“เฮ—!!”
ณ วิหารเทพโอเวอร์เกียร์ชายขอบจักรวรรดิ
เสียงตะโกนของเหล่าสาวกรีเบคก้าที่ใช้กำลังยึดครองวิหาร ทยอยดังขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
ไทยมุงที่มารวมตัวกันหลังจากได้ยินข่าวลือ พยายามเพ่งมองเข้าไปจากระยะไกล
“ดาบศักดิ์สิทธิ์… เหมือนกับที่ดาเมี่ยนเคยใช้ใช่ไหม?”
“ไม่เหมือน ได้ยินว่ามีรูปร่างหลากหลาย แต่ทุกคนยืนยันตรงกันว่าไม่ใช่ของปลอม ทุกเล่มมีพลังมากกว่าหรือเทียบเท่าดาบศักดิ์สิทธิ์”
“มีอาวุธระดับสัตว์ประหลาดแบบนั้นมากถึงสิบเก้าชนิด… แถมยังถือกำเนิดในชั่วข้ามคืน? ถ้าศาสนารีเบคก้าฟื้นฟูกลับมาไม่ได้ก็แปลกแล้ว”
ไทยมุงเฝ้ามองด้วยท่าทีสงบนิ่ง
เป็นท่าทีที่แตกต่างจากชาวเมืองทั่วไป ซึ่งมักเอาแต่หลบซ่อนเพราะกลัวว่าความวุ่นวายจะนำมาซึ่งหายนะ
ไทยมุงเหล่านี้เป็นกลางโดยแท้จริง ดังที่เห็นได้จากสายตาไม่แยแสขณะเหล่านักบวชโอเวอร์เกียร์ถูกสังหารหรือจับเป็นเชลย
ทางสาวกรีเบคก้าก็ไม่คิดลงมือปิดปาก เพราะพวกมันต้องการสร้างความชอบธรรมเพื่อรวบรวมสมาชิกเพิ่ม
อย่างไรก็ดี ความรู้สึกของบางคนในกลุ่มไทยมุง ค่อนไปทางไม่พอใจ
“แต่พวกแอสการ์ดก็เจ้าเล่ห์ชะมัด… ถ้าส่งดาบศักดิ์สิทธิ์มาในช่วงมหาสงครามกับอสูร ผู้คนก็คงไม่ต้องล้มตาย… ส่งมาทำซากอะไรตอนนี้? ฉวยโอกาสในจังหวะที่โอเวอร์เกียร์กำลังทุ่มความสนใจไปยังลิฟต์นรก?”
“ในช่วงสงครามอาจยังไม่มีดาบศักดิ์สิทธิ์ก็ได้… แต่ความคิดของนายมีเหตุผล ดังที่กริดกล่าวอ้าง ดูเหมือนว่าในท้ายที่สุด มนุษย์จะต้องทำสงครามกับสวรรค์”
ไทยมุงซึ่งกำลังสนทนาหน้านิ่ง คือกลุ่มแรงเกอร์ที่มีชื่อเสียง อาจไม่ใช่ไฮแรงเกอร์ แต่ทุกคนล้วนมั่นใจในฝีมือระดับนานาชาติของตน ต่อให้บทสนทนาฟังไม่เข้าหูใคร แต่การรับมือหรือหลบหนีก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น
นอกจากนั้น เนื่องจากศาสนารีเบคก้ากำลังเร่งฟื้นฟูตัวเอง บรรดาสาวกจึงไม่น่าจะก่อความวุ่นวายให้ศาสนาเสื่อมเสียชื่อเสียง
แต่กลับต้องผิดคาด กลุ่มสาวกรีเบคก้าที่ปะปนอยู่ในฝูงชน แผดเสียงตะโกนทันที
“ไอ้พวกนอกรีต!”
“พวกมันบังอาจดูแคลนเทพสวรรค์!!”
“ให้ตายสิ…”
“พวกคลั่งศาสนามักเดาใจยากเสมอ”
กลุ่มแรงเกอร์ขมวดคิ้วพร้อมกับก้าวถอยหลัง
พวกมันจ้องไปทางสาวกรีเบคก้าที่ปะปนอยู่ในฝูงชน พลางร่ายบัฟปกคลุมร่างกายตัวเอง
นี่ไม่ใช่เจตนาต่อสู้ พวกมันทราบดีว่าการหนีคือทางออกที่ฉลาดที่สุด
น่าเสียดาย สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไร
ผู้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งซึ่งวิ่งออกมาหลังจากได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ตามประกบติดกลุ่มแรงเกอร์ไม่ห่าง
ชื่อของมันคือวินเทอร์
ความเร็วของชายผู้ถือดาบศักดิ์สิทธิ์ที่อัดแน่นด้วยพลังเทพ เหนือกว่าขีดจำกัดของแรงเกอร์พอสมควร
เรียกได้ว่าทัดเทียมกับเหนือมนุษย์ขั้นต้น
“ไอ้แม่เย…”
ก่อนที่ถ้อยคำสบถหยาบคายจะจบลง ร่างแรงเกอร์สลายกลายเป็นละอองสีเทา
แสงสว่างที่ฟันผ่านร่างแรงเกอร์มิได้จางหาย ยังลอยค้างอยู่กลางอากาศก่อนจะก่อตัวเป็นวงแหวน
วงแหวนลอยเข้าไปมัดร่างกายเหล่าไทยมุงซึ่งพากันเผยสีหน้าตกตะลึง
“อะไร? พวกเราเกี่ยวอะไรด้วย?”
“พวกเราไม่เกี่ยวกับคนพวกนั้น…”
“ไอ้พวกรีเบคก้า! เสียสติกันไปหมดแล้วหรือ?”
“ช…ช่วยด้วย!”
ผู้คนเริ่มถูกวงแหวนรัดแน่น
วินเทอร์ไม่แม้แต่จะมองหน้า เพียงแหงนศีรษะไปยังท้องฟ้าในจุดห่างไกลและกล่าว
“หยุดตรงนั้นแหละ… ถ้าทำอะไรโง่ๆ ฉันเชือดเจ้าพวกนี้ทิ้งแน่”
ไทยมุงพากันประหลาดใจ
เมื่อคำนึงว่าผู้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจเหนือมนุษย์ อีกฝ่ายคงไม่ใช่คนบ้าที่พูดคนเดียว แต่น่าจะสนทนากับบางตัวตนที่อยู่ไกลกว่าระยะสายตา
ศึกใหญ่กำลังจะเริ่มต้น และพวกเราคือตัวประกัน…
ขณะไทยมุงกำลังตระหนกกับวิกฤติ
ท่วงทำนองอันไพเราะเริ่มถูกบรรเลง
เป็นบทเพลงที่ผู้เล่นไม่มีทางลืม
เพลงธีมประจำตัวเทพโอเวอร์เกียร์กริด
“…!”
วินเทอร์ ผู้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์ เผยสีหน้าตกตะลึงทันใด
เมื่อครู่เทพโอเวอร์เกียร์ยังอยู่ไกลขนาดนั้น แล้วทำไมเพียงพริบตาเดียวถึงมาโผล่ในระยะประชิด?
เป็นความเร็วที่ไม่ก่อให้เกิดภาพตกค้าง กระทั่งอำนาจเหนือมนุษย์ที่ดาบศักดิ์สิทธิ์มอบให้ ก็ยังไม่ช่วยให้วินเทอร์มองเห็นความเคลื่อนไหว
ได้แต่นึกสงสัยว่า อีกฝ่ายคงใช้พลังบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการข้ามมิติ
วินเทอร์แกว่งดาบเข้าใส่อย่างดุดัน
ในเวลาเดียวกัน วงแหวนแห่งแสงได้ตอบสนองต่อความคิดวินเทอร์ ค่อยๆ รัดร่างผู้คนแน่นขึ้น
แต่ก็เปล่าประโยชน์
มือของกริดที่หุ้มด้วยเกล็ดขนาดเล็กจำนวนหลายร้อย คว้าข้อมือวินเทอร์พร้อมกับหักทิ้งในพริบตา
เมื่อวินเทอร์ผู้กำลังแหกปากกรีดร้อง ปล่อยดาบศักดิ์สิทธิ์ให้หลุดมือ วงแหวนแห่งแสงที่รัดพันร่างกายผู้คนพลันสลายตัว
“คนที่สร้างมันขึ้นมา… มีเจตนาอะไรกันแน่”
ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ร่วงหล่น ถูกกริดคว้าไว้ด้วยสีหน้าดำมืด
เมื่อนานมาแล้ว
กริดเคยสร้าง <มีดสั้นในอุดมคติ> ขึ้นมาในการแข่งที่มีโรงตีเหล็กของข่านเป็นเดิมพัน
และดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มดังกล่าว มีรูปทรงคล้ายมีดสั้นในอุดมคติมาก
กริดผู้รู้สึกว่าความทรงจำอันมีค่าระหว่างตนกับข่านถูกทำให้มัวหมอง เป็นธรรมดาที่จะหัวเสีย
ดาบศักดิ์สิทธิ์มิได้ปฏิเสธกริด มันยอมให้ถือแต่โดยดี
ตรงกันข้าม คมดาบยิ่งแผ่แสงสว่างเปล่งปลั่งกว่าเก่า ฉากดังกล่าวทำให้วินเทอร์หมดกำลังใจจะสู้ทันที
ก็ดาบนั่นข่านเป็นสร้าง น่าสงสารกริดมาก อีพวกสวรรค์เฮ็งซวยเอ้ย
ReplyDelete