จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,599



“เป็นยังไงบ้างคะ? ดีขึ้นไหม?”


[นักรบเผ่าวารี ‘ดาลีน่า’ มอบพรแห่งท้องทะเลให้ท่าน]


[ท่านสามารถหายใจใต้น้ำ]


“…”


หลังจากทิ้งตัวลงมาใต้ทะเล ดวงตากริดเบิกกว้างทั้งสองข้าง


พรที่ช่วยให้หายใจใต้น้ำ


แน่นอน สิ่งนี้ไม่จำเป็นสำเร็จกริด


ตราประทับเกรดมิธ <กระดองเต่าดำ> ที่สลักอยู่บนร่างกายกริดประหนึ่งรอยสัก มีคุณสมบัติช่วยให้หายใจใต้น้ำอยู่แล้ว


อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าทึ่งคือการที่นักรบสาวสามารถมอบพรแห่งท้องทะเล


กริดจ้องมองนักรบสาวเผ่าวารีอย่างเงียบงันสักพัก


ใต้ท้องทะเลสีครามสดใสที่แสงแดดเจือจาง ความทรงจำเก่าเริ่มย้อนกลับมาเมื่อดวงตาประสานกับอีกฝ่าย


“หรือว่า… เธอก็อยู่ที่ในไซเรนในตอนนั้นด้วย…?”


“อุก… ฝ่าบาททรงจำได้ด้วย! ใช่ค่ะ ฮิฮิ… เมื่อครั้งยังเด็ก หม่อมฉันมีโอกาสได้ร่วมรบกับฝ่าบาท… อันที่จริง ตอนนั้นยังเด็กมากจนไม่มีแรงแม้แต่จะยกหอกตรีศูล จึงทำได้เพียงคอยโยนเปลือกหอยจากไกลๆ”


“…โตขึ้นมากเลยนะ”


กริดฉีกยิ้มกว้างด้วยใบหน้าอ่อนโยนจนแม้แต่เจ้าตัวก็คาดไม่ถึง


ชายหนุ่มกำลังมีความสุข


เด็กที่เคยปกป้องไว้ ตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ


‘…ถึงขั้นสามารถแจกพรแห่งท้องทะเล’


เดิมที เมื่อราวสิบปีก่อน การแจกพรหายใจใต้น้ำเป็นอภิสิทธิ์ของราชวงศ์เผ่าวารีและนักรบระดับสูงเท่านั้น


แต่ผ่านไปหลายปี นักรบสาวตรงหน้าได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว


ณ ปัจจุบัน ดูเหมือนว่านักรบเผ่าวารีส่วนใหญ่จะมีพรสวรรค์ในการแจกพรแห่งท้องทะเลให้ผู้อื่นได้อย่างอิสระ


“กระหม่อมสวดวิงวอนถึงฝ่าบาททุกวัน… ขอบคุณที่พระองค์ช่วยให้พวกเรายังมีชีวิต ได้หายใจ ได้ว่ายน้ำกับปลา และได้กินอาหารจากสาหร่ายทะเลรสเลิศ”


“…”


จำนวนครั้งที่กริดถูกเผ่าวารีช่วยเหลือ มีมากกว่าที่กริดช่วยเหลืออีกฝ่ายเสียอีก


แต่ทางนั้นกลับเอาแต่ตามชดใช้บุญคุณเก่าอย่างไม่หยุดหย่อน?


ชายหนุ่มทั้งดีใจ อับอาย และรู้สึกผิด


กริดเร่งความเร็วในการว่ายน้ำ


นักรบสาวที่ไล่ตามมา แจ้งข่าวดีเพิ่มเติม


“จริงสิ! เมื่อไม่นานมานี้ องค์ชายลอร์ดมาเยือนไซเรนและได้รับคำชมจากองค์กษัตริย์ว่ามีพรสวรรค์เป็นเลิศ”


‘เพิ่งผ่านไปครูเดียว ตอนนี้ถึงไซเรนแล้วหรือ’


ลอร์ดผู้ออกผจญภัยเพื่อตามรอยบิดา


ไม่ได้เจอกันหลายเดือน ตอนนี้คงโตขึ้นมาก


‘ต้องอย่างนี้สิลูกพ่อ… อยากเจอเร็วๆ จัง’


ทะเลเบื้องหน้าค่อยๆ มืดลง


กริดและนักรบเผ่าวารีดำดิ่งสู่ก้นทะเลลึกที่เริ่มกลายเป็นสีดำสนิท


“เอานี่ไป”


กริดดึงโล่กลมออกมายื่นให้อีกฝ่าย สิ่งนี้อยู่ในช่องสัมภาระมาตั้งแต่เมื่อครั้งสร้างอุปกรณ์ให้อัศวิน


เนื่องจากมีน้ำหนักเบาและเงื่อนไขการใช้งานต่ำ กริดจึงเก็บไว้ใช้เป็นอาวุธรองในหลายโอกาส


“เอ่อ…?”


นักรบเผ่าวารีสาวรับโล่ไปถือด้วยสีหน้าประหลาดใจ


หัตถ์เทวะจับร่างของเธอหมุน


ทันใดนั้นเอง


ก๊อง!


มอนสเตอร์ฉลามที่โผล่พรวดจากหลังหินใหญ่ว่ายชนกับโล่


นักรบสาวมีไหวพริบยอดเยี่ยม สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ทันที จึงรีบใช้หอกตรีศูลแทงใส่ฉลาม


“สะดวกดีใช่ไหม? ฉันยกให้เป็นของขวัญ”


“อุก…! ห…หามิได้เพคะ! ดิฉันจะมอบให้องค์กษัตริย์และเก็บไว้เป็นสมบัติของแผ่นดิน!”


“แต่ฉันยกให้เธอ ไม่ใช่องค์กษัตริย์”


ขณะจ้องมองทิวทัศน์ใหม่ตรงหน้า กริดฉีกยิ้มกว้างพลางตบบ่านักรบสาว


[เป็นครั้งแรกที่ผู้เล่นค้นพบเมืองโบราณ ‘เบลิโตรีนูซา*’] (*ตอนที่แล้วต้นฉบับพิมพ์ตก)


มหานครสีเขียว


มีทั้งบ้านหลังเล็กเตี้ย ไปจนถึงตึกสูงตระหง่านกว้างขวาง


มีซากแท่นบูชา บันได และซากของสิ่งที่ยากจะคาดเดา


เมืองทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำสีเขียว


หรือว่าตรงนั้นจะเป็นปราสาท?


ยิ่งเข้าใกล้ กริดก็ยิ่งสนใจพื้นที่กว้างขวางอันรกร้าง


ซากแผ่นหินกระจัดกระจายทั่วป้อมปราการ สามารถมองเห็นตัวหนังสือและภาพวาดที่ไม่คุ้นเคย ผ่านรอยแยกของตะไคร่น้ำที่ถูกปลากิน


[ของรางวัลการค้นพบ ‘เบลิโตรีนูซา’ ครั้งแรก ระบบจะทำการถอดรหัส <แผ่นศิลาเบลิโตรีนูซา> ให้ท่าน]


ชิ้ง!


ทันทีที่หน้าต่างแจ้งเตือนแสดงขึ้น ซากแผ่นหินที่กระจัดกระจายพลันเปล่งแสง


แสงรวมตัวกันในจุดหนึ่งในลักษณะประกอบเข้าด้วยกัน


เกิดเป็นศิลาหินแผ่นยักษ์ สูงตระหง่านประหนึ่งกำแพงวัง


บนแผ่นศิลาเป็นภาพของคนยักษ์โบราณโตเต็มวัย ซึ่งแทบไม่หลงเหลือแล้วในปัจจุบัน กำลังยืนเด่นสง่า


‘พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว… ไม่สิ พระอาทิตย์สามดวง?’


ส่วนบนของแผ่นศิลามีภาพพระอาทิตย์สามดวงถูกแกะสลักไว้


แต่ละดวงมีขนาดต่างกัน ดวงหนึ่งเล็กเป็นพิเศษ กริดจึงเข้าใจว่าเป็นดวงดาว แต่เมื่อลองมองอย่างใกล้ชิด มันพบว่ารูปร่างของทุกดวงนั้นเหมือนกันหมด


ใต้ภาพมีข้อความที่ชวนให้ตกตะลึงเขียนไว้


- ในเมื่อบรรพชนของเราเคยเหยียบดวงจันทร์ เราจะเหยียบดวงอาทิตย์


“…?”


เหยียบดวงจันทร์?


คนยักษ์โบราณสร้างยานอวกาศสำเร็จแล้ว?


‘ไม่สิ ถ้ามียานอวกาศจริง คงไม่พูดเรื่องไร้สาระอย่างการไปเหยียบดวงอาทิตย์’


ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ในคำกล่าวอาจหมายถึงสวรรค์


ขณะกริดกำลังครุ่นคิด


[เนื่องจากท่านได้รับความรู้โบราณบางส่วน ค่า EXP ของทักษะทุกชนิดจะเพิ่มขึ้น 30%]


[<เทคนิคการต่อสู้ของกริดที่พรรณนาจุดจบของเทพสงคราม> เลเวลอัป!]


[<ซัดหอก> เลเวลอัป!]


[<ประสานเวท (ยกระดับ) > เลเวลอัป!]


[<สเปรย์ (ยกระดับ) > เลเวลอัป!]


[<การชกผสมผสาน> เลเวลอัป!]


[<พลิกโลกา> เลเวลอัป!]



..


ท่ามกลางรางวัลอันล้นหลาม ไฟโวล์ฟอธิบายเสริม


“เมื่อนานมาแล้ว… ในสมัยที่ยังมีพระอาทิตย์สามดวง เทพบนแอสการ์ดมีจำนวนมากกว่าในปัจจุบัน… พวกเขาอาจจดจำว่านั่นคือช่วงเวลาอันแสนสงบสุข แต่สำหรับเรา เทพในตอนนั้นแทรกแซงโลกกึ่งกลางได้ง่ายเกินไป”


เสียงของไฟโวล์ฟที่พยายามเค้นความทรงจำเก่า เริ่มทุ้มต่ำและหม่นหมอง


“วันดีคืนดี เพื่อนบ้านหรือภรรยาของเราจะหายตัวไปอย่างกะทันหัน และกลับมาพร้อมกับเด็กในท้องที่เป็นลูกของเทพ หรือบางครั้งฝูงแกะก็กลายเป็นฝูงวัวยักษ์กะทันหัน เหยียบย่ำเด็กเลี้ยงแกะจนตาย…”


“เทพลงมายังโลกกึ่งกลางเพื่อทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้?”


“สมัยนั้นมีเทพมากเกินไป เฉกเช่นหมูดาวบนท้องฟ้าที่มีดาวอยู่ทุกชนิด… ปัญหาเกิดขึ้นเพราะพวกเขาเบื่อหน่ายและนึกสนุกอยากกลั่นแกล้งมนุษย์ ครึ่งเทพที่ถือกำเนิดในหมู่มนุษย์จึงเริ่มตำหนิเทพที่ไม่ให้เกียรติเผ่าพันธุ์ บางตนคิดแก้แค้น… เทพบางตนมองการแก้แค้นอันน่าสมเพชของครึ่งเทพเป็นเรื่องสนุกสนาน บางตนปั่นหัวครึ่งเทพโดยอ้างว่าจะช่วยมอบพลังให้… สถานการณ์ดังกล่าวดันไปกระตุ้นความสนใจจากมังกร จนมีเทพบางส่วนเริ่มถูกมังกรล่า”


“หืม…?”


“กฎระเบียบพังทลายทันที อำนาจของเทพเริ่มเสื่อมถอย ในทางกลับกัน ครึ่งเทพที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้น และเมื่อมวลมนุษย์หันมาศรัทธาครึ่งเทพแทน เทพระดับสูงบางตนก็เริ่มไม่พอใจ…”


“ในตอนนั้น เทพแอสการ์ดแบ่งฝักฝ่ายและทำสงครามกันเอง เป็นเวลาเดียวกับที่เจ็ดมารถือกำเนิด?”


“ถูกต้อง”


มนุษย์ที่ศรัทธาครึ่งเทพทยอยถูกฟ้าผ่าตาย


ครึ่งเทพที่สูญเสียเหล่าผู้ศรัทธา ย่อมเสื่อมอำนาจลงอย่างรวดเร็ว


ทุกครั้งที่เทพสวรรค์ทำสงครามกันเอง คลื่นยักษ์มักซัดถล่มเมืองพร้อมกับภูเขาไฟระเบิด


ท่ามกลางความวุ่นวาย มีเพียงมนุษย์ที่คร่ำครวญ


ในเวลานั้น คนยักษ์ทรงปัญญาเลือกยืนหยัดเคียงข้างมนุษย์


พวกมันสนับสนุนมนุษย์ด้วยอาวุธทันสมัย และผลของการกระทำต้องแลกมาด้วยราคาแสนแพง


อาณาจักรคนยักษ์ทั้งหมดถูกฝังจมก้นทะเล


นับแต่นั้นเป็นต้นมา มนุษย์ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว


เมื่อมิอาจพึ่งพาเทพ ครึ่งเทพ หรือคนยักษ์ มนุษย์ไม่มีทางเลือกนอกจากพึ่งพาทักษะและปัญญาของตัวเองเพื่อเอาตัวรอด


เทพบางตนริษยาในเรื่องนี้


เหล่าอสูรที่ถูกสนับสนุนโดยเทพข้างต้น ค่อยๆ คลานขึ้นมาจากนรก


เจ็ดนักบุญที่คอยต่อสู้เคียงข้างเทพ เริ่มสังเกตเห็นความน่ารังเกียจของเทพ จึงตัดสินใจเปลี่ยนมายืนข้างมนุษย์แทน


สงครามเกิดขึ้นอีกครั้งและจบลง


เจ็ดนักบุญถูกป้ายสีให้เป็นเจ็ดมาร


จนกระทั่งปัจจุบัน


กฎระเบียบของโลกที่ถูกฟื้นฟู มีเสถียรภาพมากกว่ายุคสมัยใดในอดีต


เทพเริ่มมีอิทธิพลน้อยลง แตกต่างจากเมื่อครั้งเคยแบ่งฝักฝ่ายฆ่าฟันกันเอง จนต้องทำสัญญาสงบศึกกับมังกรด้วยความอับอาย


ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากคนยักษ์และเจ็ดมารในครั้งนั้น รวมถึงการหันกลับมาศรัทธาในตัวเทพ มนุษย์ยุคใหม่ที่ลืมเลือนบาดแผลในอดีต เริ่มเจริญก้าวหน้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สามารถยืนหยัดด้วยตัวเองและให้กำเนิดตำนานมากมาย


ศูนย์กลางของตำนานเหล่านั้นคือกริดและกิลด์โอเวอร์เกียร์


กล่าวคือ หากพิจารณาจากจุดยืน ไม่ใช่เรื่องยากที่กริดจะสร้างอิทธิพลต่อโลก


มนุษยชาติในยุคปัจจุบันกำลังแข็งแกร่งถึงขีดสุด


ไฟโวล์ฟมันใจในเรื่องนี้มาก


จึงกล้าพากริดมาค้นหาเมืองที่ถูกฝังอยู่ใต้ทะเล


โดยไม่เกรงกลัวว่า การกอบกู้เมืองกลับมา จะทำให้เทพสวรรค์เกิดความไม่พอใจ


“ย้อนกลับไปในตอนที่สงครามระหว่างเทพสองฝ่ายกำลังปะทุดุเดือด พวกเราเหล่าคนยักษ์ที่เกรงว่าโลกจะถูกทำลาย ตัดสินใจส่งคนขึ้นไปบนสวรรค์ เพื่อหวังหยุดยั้งสงครามโดยการถวายบรรณาการเป็นของวิเศษที่พวกเราสร้าง… แต่น่าเสียดาย สิ่งมีชีวิตก้าวข้ามเหล่านั้นมีสามัญสำนึกแตกต่างจากพวกเรามากเกินไป”


คำจารึกบนแผ่นศิลา


ดูเหมือนว่า คำสาบานที่จะขึ้นไปเหยียบดวงอาทิตย์ ไม่สิ เหยียบสวรรค์ จะกลายเป็นจริงในภายหลัง


“อย่างไรก็ดี พวกเราไปไม่ถึงสวรรค์ในครั้งแรก เพราะแม้แต่เครื่องบินลำใหญ่และแข็งแรงที่สุดที่พวกเราอุทิศเวลาทั้งชีวิตเพื่อสร้างขึ้นมา ก็ยังมิอาจทนต่อความร้อนของเหล่าดวงอาทิตย์… ความหวังของพวกเรากลายเป็นหมัน สลายไปในพริบตาจนน่าใจหาย”


“…”


“ขณะกำลังท้อแท้ เทพตนหนึ่งปรากฏกายต่อหน้าพวกเรา ท่านคือราชามหาดารา เทพผู้คอยเอาใจใส่มนุษย์มาช้านาน พระองค์ทำการยิงศรเพื่อดับพระอาทิตย์ดวงใหญ่ที่สุด และเมื่อเหลือดวงอาทิตย์เพียงสอง พวกเราจึงขึ้นไปเหยียบสวรรค์สำเร็จ… แต่ก็เท่านั้น เหล่าเทพไม่คิดเจรจา แถมยังมองคนยักษ์ที่ร่วมมือกับมนุษย์ คือขวากหนามที่อาจทิ่มแทงในวันข้างหน้า จึงทำการฝังอารยธรรมคนยักษ์ลงใต้ทะเล นั่นคือสิ่งที่ข้าเผชิญ”


“ราชามหาดารา…”


ย้อนกลับไปในตอนที่กริดเยือนอาณาจักรฮวานพร้อมกับซิกและไรเดอร์ส ไม่สิ ซีบาล


กริดได้พบกับเหล่าเทพตกสวรรค์ หนึ่งในนั้นคือราชาซอบยอล (อนุดารา)


บุตรแห่งฮานึล มหาเทพแห่งต้นกำเนิด


ไม่เหมือนสามซา ซอบยอลมีบุคลิกค่อนข้างอ่อนโยน


เป็นหนึ่งในตัวตนที่ซิกโค้งคำนับอย่างนอบน้อม


“แล้วตอนนี้ราชามหาดาราอยู่ที่ใด?”


ถ้าราชามหาดารา (แดบยอล) ต่อสู้เพื่อมวลมนุษย์ ก็มีแนวโน้มว่าราชาซอบยอลจะมีนิสัยคล้ายกัน


เป็นไปได้ไหมที่จะให้รายแรก เกลี้ยกล่อมรายหลังให้มาอยู่ฝ่ายเดียวกัน?


ขณะกริดเริ่มมีความหวัง ไฟโวล์ฟตอกกลับด้วยความจริงอันโหดร้าย


“อยู่ในนรก”


“…อะไรนะ?”


“เพื่อแลกกับการช่วยเรา พระองค์ต้องจ่ายราคาแพง… ในเวลานั้น เทพสวรรค์ส่วนใหญ่ร่วมมือกันจัดการพระองค์… เมื่อย้อนนึกถึงภาพที่เหล่าเทพซึ่งควรทำตัวสูงสง่า ต่างปรี่เข้าหาราชามหาดาราอย่างบ้าคลั่ง… จุดจบของพระองค์น่าสยดสยองจนอาจเก็บไปฝันร้ายหลังจากความตาย”


“เทพสวรรค์ส่วนใหญ่ร่วมมือกัน? ฮานึลกับราชาซอบยอลด้วยหรือ?”


“ข้าจำหน้าเทพทุกตนไม่ได้ แต่คิดว่าเป็นเช่นนั้น… เพราะไม่มีเทพตนใดเลยที่ปกป้องราชามหาดารา ดูเหมือนว่าพฤติกรรมของพระองค์จะถูกมองว่าเป็นการล้ำเส้น สวรรค์จึงลงทัณฑ์เพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง”


“…ไอ้พวกน่ารังเกียจ”


เพราะทำเพื่อมนุษย์และโลก เทพจึงถูกกราบไหว้บูชา


นั่นคือแก่นแท้


ไม่เพียงเหล่าคนยักษ์ที่ไปเหยียบแอสการ์ดเพื่อขอความเมตตาจะถูกฝังอยู่ในทะเล แม้แต่เทพที่คอยช่วยเหลือก็ยังถูกส่งลงนรก?


มีสิ่งใดบ้างที่พวกมันทำเพื่อมนุษย์และโลก?


‘เรียกว่าปรสิตน่าจะเหมาะกว่า’


“ข้าแค่เล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง เพราะคิดว่าเจ้าน่าจะมีคำถามเกี่ยวกับแผ่นศิลา… อย่าเปลืองอารมณ์เคียดแค้นกับเหตุการณ์เมื่อพันปีก่อนเลย เจ้าจะมีแต่เสียกับเสีย”


“…ตกลง”


เหล็กแสงจันทร์


กริดที่ตระหนักถึงจุดประสงค์หลัก พยายามข่มโทสะไม่ให้ปะทุ


ผ่านไปสักพัก


จิตใจชายหนุ่มต้องเผชิญความตึงเครียดอีกครั้ง


> พบผู้บุกรุก


> จำแนกเป้าหมาย… เทพ


“หือ…?”


“อ๊ะ! จริงสิ ข้าไม่คิดว่ามันจะอยู่ที่นี่ นึกว่าหลังจากข้าตายไป มันจะถูกย้ายไปที่อื่น”


> เปิดใช้งานซีเควนซ์เทพสังหาร


ดวงตาของรูปปั้นหินยักษ์ที่ปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำ พลันส่องแสงสีฟ้าสว่าง


วรูม!


กระแสน้ำปั่นป่วนทันทีที่รูปปั้นยักษ์ขยับร่างกาย


เกิดเป็นวังวนอันน่าสะพรึงซึ่งดูดกลืนทุกสิ่งเข้าไป


ตะไคร่น้ำที่ปกคลุมผิวกาย กระจัดกระจายออกไปทุกทิศ


“จักรกลเวทมนตร์ ทราวก้า”


ยักษ์สูงแปดเมตร


อาวุธของมันซึ่งเริ่มขยับอีกครั้งในรอบกว่าพันปี มีสีแดงก่ำดุจดังโลหิต


“มีเพียงจักรกลเวทมนตร์รุ่นนี้เท่านั้นที่ถืออาวุธอันงดงาม… อาวุธที่เป็นโครงการวิจัยสุดท้ายของคนยักษ์”


เปรี้ยง!


ร่างกริดพุ่งขึ้นมายังผิวน้ำซึ่งอยู่ห่างจากจุดเดิมกว่าหนึ่งกิโลเมตร


ด้วยเวลาเพียงไม่กี่วินาที


แสงจันทร์ปกคลุมร่างกายอันเปียกปอนของกริด ผู้ถูกจักรกลเวทมนตร์ทราวก้าถีบกลับขึ้นมายังผิวน้ำอีกครั้ง


ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว


‘ตึงมือแน่นอน…’


หัตถ์เทวะสามสิบข้างกระจายออกไปทุกทิศเพื่อสร้างประสาทสัมผัสเทียม


กริดเบี่ยงตัวหลบตอร์ปิโดที่พุ่งทะลุผิวน้ำตามมา ตามด้วยการก็หมุนร่างกายประหนึ่งควงสว่าน


เคร้ง—!


เกราะไหล่ของทราวก้าที่ดูคล้ายหัวมังกร ปะทะเข้ากับดาบหนักกูเซล


“ในบางเวลา ไรเดอร์สก็ไม่มีประโยชน์สินะ”


[คำเตือน เป้าหมายมีระดับสูงมาก]


ในวินาทีนี้ พลังเทพของกริดเข้มข้นขึ้นจากเดิมหลายเท่า


โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับก่อนเขียนมหากาพย์บทที่สิบเจ็ด


ประหนึ่งดวงตะวันกำลังแผดเผาท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไร้สี


______________

ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,059   ★ ★ จบบริบูรณ์  ★ ★

ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ


Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00