จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,593
ข่าวการตายของเบริอาเช่ถือเป็นเรื่องราวใหญ่โตในหมู่มังกร บางตัวถึงกับตกตะลึง
สามอสูรต้นกำเนิด
แม้จะถูกสาป แต่เบริอาเช่ก็เป็นถึงทายาทโดยตรงของยาธาน
กล่าวกันว่า สามอสูรต้นกำเนิดมีลำดับชั้นสูงที่สุดในโลก เป็นรองเพียงมังกรโบราณและมหาเทพ สามารถดื่มด่ำไปกับชีวิตอันเป็นนิรันดร์และได้ครอบครองทุกสิ่งที่ต้องการ
ทว่า เบริอาเช่กลับเลือกความตาย
เพื่อแลกกับการถ่ายทอดพลังให้ทายาท
สิ่งนี้หมายความว่า ความแค้นที่เธอมีต่อบาเอลนั้นยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการ และยังเป็นหลักฐานว่าเบริอาเช่ไม่แข็งแกร่งพอที่จะจัดการกับบาเอลได้ตามลำพัง
‘แมรีโรส’
ผู้สืบทอดอำนาจและเจตจำนงของเบริอาเช่
พลังที่เบริอาเช่คัดสรรให้แมรีโรสใช้จัดการกับบาเอล ย่อมต้องยอดเยี่ยมเหนือสามัญสำนึกของผู้คน
ร่างกายและเวทมนตร์แทบจะไร้ขีดจำกัด เนื่องจากสามารถควบคุมการไหลเวียนของเลือดได้ดังใจนึก แถมยังกลั่นมานาที่ดูดซึมเข้าสู่หัวใจให้กลายเป็นปราณอสูรได้ทันที
ร่างกายและเวทมนตร์ของแมรีโรสเชื่อมต่อกับความคิด
อยู่ในขอบเขตที่สามารถปลดปล่อยพลังได้ด้วยเจตจำนง
ไม่ผิดนักหากจะนำไปเทียบกับ ‘ดาบจิต’
แน่นอนว่าไม่ถึงระดับดาบจิตของมุลเลอร์ เป็นเพียงดาบจิตในระดับทั่วไป
แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะให้การดำรงอยู่ของแมรีโรสใกล้เคียงกับ ‘ตัวตนสัมบูรณ์’ ที่เหนือกว่า ‘สิ่งมีชีวิตก้าวข้าม’ หลายขุม
ฉูด—!
แขนซ้ายครานเบลถูกฉีกออกทั้งยวง
หลังจากเข้าประชิดในพริบตา เธอมองข้ามการป้องกันสัมบูรณ์ด้วยปราณอสูรต้นกำเนิด จากนั้นก็ฉีกเกล็ด เนื้อ และกระดูกออกในคราวเดียวด้วยการระเบิดพละกำลังและเวทมนตร์พร้อมกัน
ครานเบลอ่านสถานการณ์อย่างชาญฉลาด
‘ด้วยสภาพปัจจุบัน หล่อนเป็นคู่ต่อสู้ที่เราไม่มีทางเอาชนะได้’
มันจึงยอมสละแขนหนึ่งข้างโดยไม่ขัดขืน
แมรีโรสย่อมตระหนักได้
“คงรู้ตัวสินะ ว่าบาปที่เจ้าก่อมีโทษถึงตาย”
> บาป? ทายาทโดยตรงของอสูรซึ่งเคยต่อต้านบาเอล มีสิทธิ์ตัดสินบาปของผู้อื่นด้วยหรือ?
พวกมังกร ไม่ว่าหน้าไหนก็เหมือนกันหมด…
แมรีโรสที่อยากโต้เถียง สุดท้ายทำเพียงปิดปากเงียบ
นั่นเพราะเธอคำนึงถึงระดับของครานเบล
สิ่งมีชีวิตที่เป็นเครื่องยืนยันว่ามังกรหักเหมีอยู่จริง
ครานเบลอาจเป็นทายาทโดยตรงของมังกรโบราณ จึงสมควรได้รับความเคารพในระดับที่เหมาะสม
การที่สามีสุดที่รักของเราทำให้เจ้านั่นตกอยู่ในสภาพนี้ได้… ช่างสง่างามเหลือเกิน…
“ฮิฮิ~”
“…?”
ขณะกริดยืนจ้องแมรีโรสด้วยสายตาตกตะลึง อีกฝ่ายหันมายิ้มให้ด้วยสายตาคลั่งรักและลุ่มหลงมากกว่าครั้งใด ภายในใจชายหนุ่มพลันผุดความคิดที่ว่า บางที คราวนี้ตนอาจถูกเธอจับขังไว้ในโลงศพตลอดกาล
> เทพโอเวอร์เกียร์กริดผู้อยู่เหนือกาลเวลาเอ๋ย…
ครานเบลหันมาจ้องกริดเช่นกัน
จากนั้นก็ประกาศเจตจำนงว่าจะไม่ฆ่ากริด
> ในสถานการณ์ปัจจุบัน หากหวังเอาชีวิตเจ้า ข้าเองก็ต้องเตรียมใจตายไว้ด้วยเช่นกัน… เจ้าคิดเช่นไร หากข้าจะยอมถอนคำประกาศที่เคยลั่นวาจาเอาไว้ และพวกเราต่างฝ่ายต่างแยกย้าย?
“…”
หัวใจกริดเริ่มเต้นระรัว
ชายหนุ่มสัมผัสถึงความเคารพที่แฝงมากับคำว่า ‘เจ้าคิดเช่นไร’
ครานเบลเป็นตัวตนอันสูงส่งชนิดที่ไม่ต้องเห็นหัวกริดก็ยังได้
นอกจากนั้น ความนอบน้อมของมันในตอนนี้ไม่ได้มีต้นเหตุจากกริด หากแต่เป็นแมรีโรส
อย่างไรก็ดี ครานเบลกลับถามความเห็นจากกริด มิใช่แมรีโรส เป็นการแสดงออกว่ามันไม่ได้มองข้ามกริด
คล้ายกับกริดเริ่มเข้าใจแล้วว่า เหตุใดครานเบลถึงทำลายเมืองโดยไม่พรากชีวิตชาวเรย์ดัน
‘ครานเบลไม่ดูแคลนผู้อ่อนแอ’
เป็นอุปนิสัยที่ยอดเยี่ยม
เหมือนกับเซนอน
เป็นธรรมดาที่จะได้รับความเคารพ
กริดที่เผยรอยยิ้มเจือจาง หันไปทางแมรีโรส
เธอเดินเข้ามาหาชายหนุ่มพร้อมกับยื่นแขนครานเบลให้
“ในเมื่อเจ้าชดใช้บาปบางส่วนมาแล้ว หลังจากนี้ข้าจะยกหน้าที่ให้สามีสุดที่รักเป็นผู้ตัดสินโทษแทน”
แมรีโรสส่งไม้ต่อ
เธอมองว่าหน้าที่ในการตัดสินความเป็นความตายของครานเบล หนักหนาเกินกำลังตัวเอง
ถึงจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ไม่ยากเย็นหากทุ่มพลังทั้งหมด แต่แมรีโรสกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการสังหารมังกร
มังกรเปรียบดังจอกศักดิ์สิทธิ์บรรจุยาพิษ
การฆ่ามังกรอาจทำให้ตกเป็นเป้าหมายของมังกรโบราณ แมรีโรสที่วางแผนทำสงครามกับบาเอลจึงไม่ต้องการให้เกิดเรื่องเช่นนั้น
เหนือสิ่งอื่นใด
‘รสนิยมของสามีพิเศษกว่าใครเสมอ’
แมรีโรสให้ความสำคัญกับความคิดของกริด
พวกมังกรเสียสติมีดีอย่างไร?
เหตุใดกริดถึงเอาแต่จ้องมองครานเบลด้วยสายตาโปรดปราน ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นต้นเหตุทำให้กริดเกือบต้องตาย
เธอไม่อยากฆ่าครานเบลและทำให้กริดโกรธ
หากสร้างความเกลียดชังต่อกริด พิธีสมรสของเธอก็จะยิ่งยืดเยื้อ และนั่นจะทำให้แผนการผนวกรวมเผ่าพันธุ์ไม่ลุล่วงเสียที
“ตกลง… แต่มีเงื่อนไข”
การเสนอเงื่อนไขของกริด ทำเอาแมรีโรสหวนนึกถึงวันเก่าๆ
วันที่กริดช่วยปลดผนึกให้เธอ และอ้างความชอบธรรมดังกล่าวเพื่อแลกกับการไว้ชีวิต
เธอดีใจที่เห็นอีกฝ่ายสง่าผ่าเผยขึ้นในทุกกระเบียดนิ้ว
ดวงตาที่ส่องประกายบริสุทธิ์ของแมรีโรส เปรียบดังดวงดาวสุกสกาวไร้สี
> เงื่อนไข?
“ฉันอยากให้นายรับปากว่าจะไม่แก้แค้นในภายหลัง”
> ข้ารับปาก… การแก้แค้นต้องเกิดจากความเกลียดชัง แต่ข้าชื่นชอบเจ้า จึงไม่คิดแก้แค้นเจ้า
เป็นอีกครั้งที่กริดเห็นรอยยิ้มของมังกร
การแสดงอารมณ์ที่มังกรทำไปโดยไม่เข้าใจ
ในวินาทีนี้ ครานเบลกำลังทำสีหน้าแบบเดียวกับอิฟริต
แต่สุดท้ายก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
> ข้าขอรับปากว่า พวกเราจะไม่ได้พบกันอีกเป็นหนที่สอง
ครานเบลไม่เปิดโอกาสให้แม้แต่จะกล่าวคำอำลา
เกล็ดสีเงินโปร่งใส สะท้อนกับแสงที่ส่องลงมาจากช่องว่างบนเพดานจนเกิดประกาย ก่อนจะอันตรธานหายไปโดยสมบูรณ์
ดูเหมือนว่า มังกรสีเงินจะมีจุดแข็งเป็นการซ่อนตัว
> พวกเราก็ต้องกลับเช่นกัน
> เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสู้กับเจ้า
บาสก์และมังกรที่เหลือต่างทยอยกลับ
ดูเหมือนว่าไม่มีใครคิดจะสู้ต่อ
นี่มิไม่ใช่เรื่องราวน้ำเน่าอย่างความผูกพันหลังจากร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่
แต่เป็นเพราะพวกมันอ่านสายตาแมรีโรสออก
ในช่วงเวลาที่เธอเป็นอิสระจากคำสาปเกียจคร้าน เกรงว่าคงมีเพียงมังกรโบราณเท่านั้นที่สามารถอาละวาดได้ตามใจชอบ
“มีทางรักษาไหม…?”
ด้วยสายตากังวล กริดมองไปทางมังกรตัวสุดท้ายที่หมดสภาพจนไม่สามารถหนีกลับ
เซนอน
ลมหายใจรวยระริน เกล็ดตามร่างกายส่วนใหญ่ถูกทำลายขณะปกป้องกริด ผิวหนังไหม้เกรียม กระดูกหักทิ่มแทงออกมาหลายจุด โชคดีที่ส่วนเขาบนหน้าผากยังคงสมบูรณ์
ผู้คนเริ่มส่งเสียงอื้ออึง
พวกมันยังไม่เข้าใจสถานการณ์ดีนัก
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น
ในแถบชนบท ตำนานของมังกรไม่ต่างอะไรกับตำนานทวยเทพ คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นมังกรตัวเป็นๆ มาก่อน
แต่ในวันนี้
ชาวเรย์ดันได้เห็นมังกรมากถึงห้าตัวพร้อมกัน ภายในใจจึงผุดคำถามว่า
ทำไมพวกมันถึงสู้กันที่นี่ และทำไมถึงหนีกลับไปเงียบๆ?
อย่างไรก็ดี ไม่มีที่ชาวเมืองจะทางทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ได้ ภายในหัวจึงคิดได้เพียงว่า ฝ่าบาทของตนทำเรื่องที่สุดยอดลงไปอีกครั้ง
ไม่มีชาวเมืองคนใดรับรู้ว่า เซนอนคือตัวการที่ทำให้เรย์ดันกลายเป็นเถ้าถ่าน
เพราะคนธรรมดาไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างมังกร
ในสายตาพวกมัน มังกรทุกตัวแทบจะเหมือนกันหมด อาจแตกต่างในด้านขนาด แต่ก็ยากที่จะบอกได้ว่าใครคือผู้โจมตีเรย์ดัน
“มังกรไม่ตายง่ายๆ อยู่แล้ว อีกไม่นานก็คงฟื้นตัว”
แมรีโรสคือผู้ช่วยชีวิตชาวเมืองเรย์ดันจากการโจมตีของเซนอน
และยังเห็นกับตาตัวเองว่า พลังของเซนอนทำให้เรย์ดันกลายเป็นเถ้าถ่าน
แต่เธอไม่ได้บอกเรื่องนี้กับกริด
เพราะอยากรู้ว่าเซนอนจะมีท่าทีเช่นไร
ปัจจุบัน แมรีโรสกำลังถือตรวนเวทมนตร์ที่พันธนาการเซนอนอยู่
หลังจากได้สติกลับมา หากเซนอนคิดจะหลอกลวงกริด เธอจะตัดแขนขามันทิ้งทันที
พวกขยะรกโลกที่หลอกใช้ความใจดีของผู้อื่น… อยู่ไปก็ไร้ค่า…
> …
ผ่านไปไม่นาน
เซนอนลืมตาขึ้น
ดังที่แมรีโรสกล่าว มังกรมีความเร็วในการฟื้นตัวอันน่าทึ่ง
กระดูกที่หักและทิ่มทะลุเนื้อออกมา ผสานกลับคืนสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
ผิวหนังที่ไหม้เกรียมเริ่มกลับมาเปล่งปลั่งอีกครั้ง
‘ยังกับมิคาเอล…’
แต่มิคาเอลสามารถฟื้นตัวได้อย่างน่าทึ่ง ‘ขณะต่อสู้’ ส่วนมังกรจะไม่ทำเช่นนั้นในการต่อสู้ อาจเป็นเพราะพวกมันมีนิสัยชอบการทำลาย จึงมุ่งเน้นพลังเวทไปที่การโจมตีเป็นส่วนใหญ่
ขณะกริดกำลังชื่นชม เกล็ดแข็งที่บางกว่าปรกติทยอยงอกปกคลุมร่างเซนอน ดูเหมือนว่าสำหรับมังกร เกล็ดที่เปรียบดังชุดเกราะจะต้องใช้เวลาสักพักเพื่อฟื้นฟูให้กลับคืนสภาพเดิม
“ปกป้องฉันทำไม? เสียสติไปแล้วหรือ”
กริดถามด้วยสีหน้ากังวลที่มิอาจเก็บซ่อน
กระจกตากลมโตทั้งสองข้างของเซนอนกำลังสะท้อนภาพชายหนุ่ม
กริดชื่นชอบเซนอนมาก เพราะอีกฝ่ายทั้งยอมให้ขึ้นขี่ด้วยร่างกายที่บาดเจ็บ แถมยังช่วยปกป้องจากสายฟ้าในวินาทีสุดท้ายโดยไม่ห่วงความเป็นความตายของตัวเอง
> …
ดวงตาอันอบอุ่นของกริด ทำเอาเซนอนผุดอารมณ์ที่ตนไม่คุ้นเคย
หัวใจเกิดความระคายเคืองทันที
ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บ แต่มันกลับปวดแปลบอย่างบอกไม่ถูก
เซนอนหวนนึกถึงบางสิ่ง
ฉากที่ชาวเมืองกลายเป็นเถ้าถ่านขณะพยายามปกป้องซึ่งกันและกัน
มันเกิดความสงสัยว่า ความรู้สึกของชาวเมืองในตอนนั้น อาจเหมือนกับความเจ็บปวดแปลกประหลาดที่ตนกำลังเผชิญ
ความรู้สึกผิดเอ่อล้นในใจเซนอนทันที
การทำร้ายมนุษย์
พฤติกรรมที่ไม่เคยมองว่าสลักสำคัญ กลับกลายเป็นความรู้สึกคล้ายกับตราบาป
> ขอโทษ… มังกรที่ทำลายเมืองและประชาชนของเจ้า… ไม่ใช่ใครนอกจากข้า
“…”
สีหน้ากริดแข็งทื่อทันที
แต่ก็เพียงครู่เดียว
ชายหนุ่มทราบดี มังกรส่วนใหญ่มองมนุษย์เช่นไร
มดปลวก
ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้
มังกรไม่เคยรู้สึกอะไรกับมนุษย์ ไม่มีทั้งความเมตตา โกรธแค้น หรือเจตนาฆ่า
แต่ในวินาทีนี้ เซนอนกลับแสดงสีหน้าคล้ายโศกเศร้าและเสียใจปะปนกัน
มิใช่เพียงเพราะรู้สึกผิดต่อกริด แต่ส่วนหนึ่งเกิดจากความรู้สึกแปลกประหลาดที่ก่อตัวในใจขณะนึกถึงการทำร้ายมนุษย์
กริดเกิดลางสังหรณ์
การแสดงออกของเซนอนในวินาทีนี้ จะต้องกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอนาคต
“ถ้าเสียใจจริงๆ ล่ะก็ ช่วยรับผิดชอบชาวเมืองที่ต้องสูญเสียบ้านและครอบครัวไปเพราะนายด้วย”
> …ด้วยความเต็มใจ
แสงสว่างสาดส่องจากด้านบน ฉาบลงบนตัวกริดและมังกร
ดวงตากลมโตที่เอาแต่ก้มต่ำโดยไม่กล้าสู้หน้ากริด และกริดที่คอยลูบไล้จมูกมังกรอย่างเงียบงัน
[เทพโอเวอร์เกียร์กริดเขียนมหากาพย์บทที่สิบเจ็ด]
[ทุกสิ่งเริ่มต้นจากคำสารภาพของมังกรผู้เอาแต่ก้มหน้า]
***
เหตุผลที่ครานเบลถูกเรียกว่ามังกรพรางตา เพราะยากที่จะมีใครมองเห็นด้วยตาเปล่า
มังกรเงิน ครานเบล คือเจ้าแห่งการบิดเบือน
มันสามารถบิดเบือนและปกปิดรูปลักษณ์ของตน หรือแม้กระทั่งปรากฏการณ์และแนวคิดเชิงนามธรรม
> แค่ก…!
ในการต่อสู้ที่ผ่านมา ครานเบลมิได้ซ่อนตัว เพราะมันประเมินว่าเทพโอเวอร์เกียร์เป็นศัตรูที่ตนมิอาจเอาชนะได้ในสถานะพรางตัว
มันจึงบิดเบือนสิ่งอื่นที่ไม่ใช่รูปลักษณ์
หลอดพลังชีวิต
กล่าวคือ มันสร้างข้อมูลลวง
ย้อนกลับไปในตอนที่ถูกกริดฟันด้วยท่าของเทพสงครามซือโหยว
ศีรษะครานเบลถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก อาการค่อนข้างสาหัส ถึงจะไม่ใช่บาดแผลที่ทำให้ตาย แต่ก็ไม่ได้สบายๆ เหมือนที่ตาเห็น
ครานเบลครุ่นคิด
หากกริดตระหนักถึงสภาพที่แท้จริงของตนได้ล่ะก็
ป่านนี้คงจะภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
ศึกหนนี้นับว่าสาหัสเอาเรื่อง…
ทันใดนั้น มันได้ยินเรื่องราวลอยมาตามสายลม
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคำสารภาพของเซนอน และเรื่องราวที่เทพโอเวอร์เกียร์ให้อภัยตน
ครานเบลบินข้ามผืนทะเลทรายด้วยความระมัดระวังเป็นที่สุด
ร่องรอยเป็นทางยาวในทิศทางที่มันบินผ่านมา แท้จริงแล้วไม่ใช่เงา หากแต่เป็นเลือด
เป็นอีกครั้งที่ครานเบลรู้สึกขอบคุณหอแห่งปัญหา ที่คอยกีดขวางการแทรกแซงของมังกรตัวอื่นอยู่ห่างๆ
______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,059 ★ ★ จบบริบูรณ์ ★ ★
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ
Comments
Post a Comment