จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,519
มีสามเหตุผลที่ทำให้นรกมีระดับความยากสูงมาก
ประการแรก ดีบัฟ
ในนรก ค่าสถานะและค่าเรี่ยวแรงจะลดลงตลอดเวลาตราบเท่าที่หายใจเข้าออก
ในจุดที่มีแม่น้ำเพลิงโลกันตร์และหมอกพิษ มนุษย์ไม่สามารถดำรงอยู่ได้นานนักเนื่องด้วยความเสียหายต่อเนื่องและอาการตาบอด
สมกับที่เป็นดินแดนแห่งความตายโดยแท้จริง
ประการที่สอง ความหลากหลายของอสูรและสัตว์อสูร
นรกทั้งสามสิบสามขุมมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประเภทของอสูรและสัตว์อสูรจะแตกต่าง
อสูรทุกตัวจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันอยู่แล้ว ส่วนสัตว์อสูรจะแบ่งแยกด้วยเผ่าพันธุ์ ความแตกต่างเหล่านี้จะส่งผลไปถึงรูปแบบการต่อสู้ จึงเป็นเรื่องยากที่จะเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเพื่อรับมือกับศัตรูให้ครบทุกรูปแบบ
แถมยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูแบบใด
ประการที่สาม นรกไม่มีแผนที่
ในทางทฤษฎี นรกมีขนาดเทียบเท่าโลกมนุษย์ แต่เมื่อสัมผัสด้วยตัวเองกลับรู้สึกว่าใหญ่กว่า
สิ่งนี้เกิดจากการไม่มีแผนที่ แถมภูมิประเทศก็ยังซับซ้อน
เป็นเรื่องยากที่จะศึกษาภูมิประเทศของนรกให้แตกฉาน มนุษย์จึงต้องลิ้มรสประสบการณ์คล้ายกับหลงอยู่ในเขาวงกตหรือไม่ก็เดินท่ามกลางทะเลทรายที่ไร้ขอบเขต
แต่ทั้งที่นรกเป็นเช่นนี้
[เลเวลของท่านเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ]
ก็ยังมิอาจสะกดความยอดเยี่ยมของยูร่าและครอเกล
ต้องขอบคุณเลอราเฆ่
เธอเปรียบดังคัมภีร์กลยุทธ์และระบบ GPS ที่มีชีวิต
เลอราเฆ่คือจอมอสูรลำดับสิบซึ่งมีระดับตัวตนสูงและมีข้อมูลของขุมนรกในเชิงลึก มีแม้กระทั่งข้อมูลที่นักล่าอสูรก็ไม่เคยทราบมาก่อน เธอจึงทำหน้าที่นำทางยูร่าและครอเกลได้อย่างฉะฉาน
ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ภายใต้การนำทางของเลอราเฆ่ คนทั้งสองสร้างความสำเร็จครั้งใหญ่ได้มากมาย ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสอง
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะพวกมันพิชิตนรกไปได้ถึงสิบหกขุม
เป็นการพิชิตโดยความหมาย แตกต่างจากการกวาดล้างตามปรกติ
เลอราเฆ่ในปัจจุบันคือผู้ครอบครองนรกทั้งหมดสิบเจ็ดขุม นับรวมขุมที่สิบของเธอด้วย หรือกล่าวได้ว่าเธอครอบครองนรกขุมนรกไปแล้วเกินกว่าครึ่ง
เป็นเช่นนี้ได้เพราะมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูร
เจ้านรกแต่ละตนหมดสิทธิ์ปกป้องบ้านของตัวเองเพราะพวกมันหายตัวไปหรือไม่ก็ถูกเรียกไปทำสงคราม
กองทัพกว่าห้าหมื่นของเลอราเฆ่เข้ายึดครองได้อย่างง่ายดายจนน่าเหลือเชื่อ
แต่แน่นอน หากไม่มียูร่าและครอเกลก็คงทำได้ไม่เร็วขนาดนี้
[ราชาตนใหม่ถือกำเนิด]
[ราชาตนใหม่ถือกำเนิด]
[ราชาตนใหม่ถือกำเนิด…]
บริวารของเลอราเฆ่เข้ายึดครองบัลลังก์ที่ว่างเปล่า
ในฐานะผู้ปกครองนรกทั้งสิบหกขุม เลอราเฆ่มีอำนาจที่จะปิด ‘ประตูมิติ’ ทั้งหมดภายในดินแดนของตัวเอง
นั่นหมายความว่าประตูมิติกว่าครึ่งบนโลกหายไปเพราะเธอ
“ไม่ได้รู้สึกดีแบบนี้นานแล้ว”
“หึหึ… ฉันด้วย”
ครอเกลและยูร่ามีใบหน้าสดใสอย่างเห็นได้ชัด
พวกมันภูมิใจมากที่ความสำเร็จของตนเป็นประโยชน์กับโลกโดยตรง รางวัลตอบแทนที่ไม่เคยได้รับมาก่อนกำลังสร้างความฮึกเหิมและช่วยดึงพลังงานออกมาได้ไม่รู้จบ
“ถัดจากนี้ไป พวกเจ้าต้องระวังตัว”
เลอราเฆ่กล่าวตักเตือนคนทั้งสองที่เผยสีหน้ายิ้มแย้มท่ามกลางประตูมิติที่ทยอยเลือนหาย
อสูรสาวกำลังเดินนำหน้าสุดตามลำพัง
เป็นผลมาจากการแบ่งแยกกำลังรบหลังจากยึดครองนรกขุมใหม่สำเร็จ เธอจำเป็นต้องมีการทิ้งขุนพลส่วนหนึ่งไว้คอยป้องกัน
“ข้าขาดพวกเจ้าไม่ได้… ฝากข้างหลังด้วยนะ”
เลอราเฆ่ปลุกใจยูร่ากับครอเกลด้วยตัวเอง
นั่นเพราะความแข็งแกร่งของพวกมันจำเป็นมากสำหรับแผนคราวนี้
เธอแสดงความเชื่อใจอย่างเปิดเผยโดยมิได้แต่งเติมหรือพูดให้เกินจริง
ยูร่าและครอเกลพยักหน้ารับเงียบงัน
พวกมันมิได้เกิดอคติเพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นจอมอสูร นับตั้งแต่วินาทีที่ลงเรือลำเดียวกัน ครอเกลกับยูร่าก็มองเลอราเฆ่เป็นพวกพ้อง
มองว่าเธอคือตัวตนอันสูงส่งและมีเกียรติ
ในทำนองเดียวกัน เลอราเฆ่ก็มองเห็นแก่นแท้ของตนทั้งสองมาตั้งแต่ต้น
กึก
ฝีก้าวเลอราเฆ่หยุดลง
บานประตูที่ใหญ่ราวกับจะสูงเสียดฟ้าตั้งเด่นตระหง่านตรงหน้าเธอ
ท่ามกลางความมืดมิด คณะเดินทางมาถึงจุดหมายหลังจากฝ่าฟันเส้นทางที่แตกแขนงราวกับตะขาบ
ยูร่าและครอเกลไม่ทราบเลยว่าที่นี่คือที่ใด
ไม่มีข้อมูลแม้แต่กระผีกเดียว
“ที่นี่คือคลังสมบัติที่จอมอสูรลำดับสี่ คามิคินใช้เก็บดวงวิญญาณ… ภายในมีดวงวิญญาณทั้งสิ้น 999 ดวงโดยที่เก้าสิบเก้าดวงเป็นวิญญาณวีรบุรุษ และอีกเก้าดวงเป็นวิญญาณตำนาน… ทุกคนคือเหยื่อที่ถูกคามิคินจับมาขังไว้จนมิอาจข้ามแม่น้ำแห่งการคืนชีพ”
“…!”
ยูร่าและครอเกลต่างดวงตาเบิกกว้าง
พวกมันมักย้อนดูวิดีโอบันทึกภาพมหาสงครามในยามที่ล็อกเอาต์
นักรบวิญญาณสามสิบตนที่คอยเคียงข้างคามิคิน ทุกตนแข็งแกร่งจนน่าทึ่ง
แต่ด้านในกลับมีวิญญาณแบบนั้นกว่าร้อยดวง
แถมยังมีวิญญาณตำนานอีกเก้าดวงซึ่งยังไม่เคยถูกนำไปใช้ในมหาสงคราม
“ไม่ต้องกังวล เป้าหมายของพวกเราไม่ใช่การทำลายดวงวิญญาณ แต่เป็นการทำลาย ‘หัวใจภายนอก’ ของคามิคินที่เชื่อมโยงกับดวงวิญญาณเหล่านั้น… ข้าวางแผนจะบุกเข้าไปรวดเร็วและรีบปิดฉาก”
เลอราเฆ่วางแผนจะล่าถอยทันทีที่บรรลุเป้าหมาย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตำนานไร้พ่ายของเธอจะสิ้นสุดลงที่นี่
เป็นการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
เธอใช้เวลานานกว่าจะตัดสินใจได้หนักแน่น เพราะสิ่งนี้จะกลายเป็นบาดแผลไปชั่วชีวิต
แต่ท้ายที่สุด เลอราเฆ่เลิกลังเล
เธอตระหนักถึงขีดจำกัดของตัวเองอย่างชัดเจน
ต่อให้ดิ้นรนตลอดชีวิตที่เหลืออยู่
ต่อให้กลายเป็นเทพมารหลังจากสั่งสมบารมีเทพ แต่ก็คงไม่มีวันข้ามกำแพงสูงอย่างบาเอลและอาโมแรคสำเร็จ
เลอราเฆ่จึงตัดสินใจว่า เป็นการดีที่สุดหากจะเผชิญความพ่ายแพ้ที่ต้องเกิดขึ้นสักครั้งในอนาคต ในจังหวะที่เหมาะสมที่สุด
จังหวะดังกล่าวคือช่วงเวลานี้
ไม่มีโอกาสใดจะสร้างความเสียหายให้คามิคินได้มากกว่าตอนนี้อีกแล้ว
“คามิคินเป็นหนึ่งในผู้ช่วยอันน้อยนิดของบาเอล หากเราสร้างความพินาศให้คามิคิน บาเอลก็จะอ่อนแอลงมากเช่นกัน”
“ขอถามสักข้อได้ไหม”
“เชิญ อริยดาบ”
“คุณอยากให้นรกเผชิญกับจุดจบ?”
“ฮุฮุ… จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? นรกคือบ้านเกิดของข้า เป็นดินแดนของข้าและบริวาร พวกเราย่อมไม่มีทางอยากให้นรกเผชิญจุดจบ… ข้าทำไปเพราะต้องการล้างแค้นบาเอล ส่วนบริวารของข้าต้องการชำระล้างนรกให้บริสุทธิ์… นรกทุกวันนี้มันบิดเบี้ยวเกินไป”
“นรกเป็นเช่นไรก่อนจะบิดเบี้ยว?”
“อา… เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่ทราบ แค่เคยฟังมาจากใครบางคน… ข้าเกิดมามันก็บิดเบี้ยวเช่นนี้อยู่แล้ว”
“เข้าใจแล้ว…”
ครอเกลไม่ชวนคุยเพิ่มเติม
การทำแบบนั้นไม่มีความหมาย
เมื่อพิจารณาจากท่าทีของเลอราเฆ่ ดูเหมือนว่าตนยังไม่บรรลุเงื่อนไขในการได้รับข้อมูลต้นกำเนิดแห่งนรก
“ลำพังค่าความสัมพันธ์ยังไม่พอ… บางทีอาจต้องทำภารกิจลับบางอย่าง”
ครอเกลมองไปทางยูร่าพลางผงกศีรษะ
คล้ายกับเธอตอบกลับมาว่า สักวันหนึ่งฉันจะเปิดเผยความจริงของนรกให้ได้
ครอเกลยิ้มขื่นขม
“ถ้าเป็นกริดคงทำได้แน่… แต่คนที่จะยืนเคียงข้างเขาคือเธอ ไม่ใช่ฉัน”
ระหว่างมหาสงครามมนุษย์กับอสูร ครอเกลพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น มันหมกตัวอยู่ในนรกก่อนที่มหาสงครามจะเริ่มขึ้นเสียอีก ในภายหลังยังได้รับความช่วยเหลือจากเลอราเฆ่
เลเวลปัจจุบันของครอเกลคือ 469
มีสี่สมญานามใหม่เพิ่มเข้ามา
ครอเกลซึ่งเติบโตด้วยความเร็วที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่คาดฝัน เริ่มนึกทบทวนความทรงจำเก่า
มันเคยสัญญาว่าจะทวงตำแหน่ง ‘หัวแถว’ มาจากกริดที่เลเวลห้าร้าย
แต่เป็นอีกครั้งที่มันต้องอับอาย
หลังจากได้ชมวิดีโอที่กริดดวลกับอีโก้ของบาเอลตามลำพัง ครอเกลตระหนักได้ทันทีว่าช่องว่างไม่ได้ลดลงเลยสักนิด แถมยังอาจกว้างขึ้นไปอีก
‘น่าละอายใจเกินกว่าจะเรียกตัวเองว่าเป็นคู่แข่ง’
ครอเกลนับถือกริดให้เป็นคู่แข่งเมื่อนานมาแล้ว
แต่หลังจากจบการแข่งซาทิสฟายนานาชาติครั้งที่สี่ ครอเกลเกิดลางสังหรณ์ว่าตนอาจไม่มีวันไล่ตามกริดทันตลอดชีวิต
แต่แน่นอน มันไม่เคยแสดงออกมา
นั่นเพราะกริดเองก็นับถือตนเป็นคู่แข่ง
ทุกครั้งที่ได้เห็นสายตาคาดหวังของกริด ครอเกลไม่กล้าสารภาพออกไปว่าตนไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นคู่แข่งอีกแล้ว
เพราะนั่นจะเป็นการผลักให้กริดต้องเดียวดาย
ความเดียวดายของผู้ที่ยืนบนจุดสูงสุด มีเพียงผู้ที่เคยยืนมาก่อนเท่านั้นจึงจะเข้าใจ
แต่ปัจจุบัน มันไม่ต้องกังวลอีกต่อไป
เพราะโลกนี้ยังมียูร่า
ในสักวัน เธอจะกลายเป็นตัวตนที่ตอบสนองความคาดหวังของกริดได้
“ฉันยืนเคียงข้างยองวูเสมอ”
ครอเกลไม่ใช่คนเดียวที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดระหว่างมหาสงคราม
อย่างน้อยก็ในขุมนรก มัน ‘ไม่มีวัน’ เอาชนะยูร่าได้แน่นอน
ความแข็งแกร่งของเธอเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ยูร่าพัฒนาและขัดเกลาฝีมือการใช้ดาบซึ่งเคยเป็นจุดอ่อนเมื่อเทียบกับการยิง นอกจากนั้นอาศัยความพยายามและประสบการณ์ ชดเชยผลข้างเคียงด้านลบภายในนรกด้วยบัฟหรือทักษะ
“ไปกันเถอะ”
แอ๊ด~
ประตูบานยักษ์เปิดออกหลังจากเลอราเฆ่ลงมือ
ทันใดนั้นเอง ร่างประหลาดหนึ่งเคลื่อนไหวท่ามกลางความมืด
“ “หือ… เลอราเฆ่? ข่าวลือบ้าๆ นั่นเป็นความจริงสินะ” ”
“หมอนี่เจ้าเล่ห์มาก อย่าหลงเชื่อคำพูดหรือการกระทำของอีกฝ่ายเด็ดขาด”
“ “ข้ามาที่นี่เพราะได้ยินว่าการเตรียมดวงวิญญาณเกิดความล่าช้า… แต่กลับกลายเป็นเรื่องดีเสียได้ เจ้าคือเป้าหมายการระบายโทสะชั้นเลิศ” ”
“เลอราเฆ่ เจ้ายังแก้แค้นให้ข้าไม่สำเร็จอีกหรือ ช่างเป็นเด็กไม่ได้ความ”
“ยูร่า… ปู่ไม่เชื่อใจใครนอกจากเจ้า… นี่ไม่ใช่เวลามัวทำแบบนี้”
“คุณเป็นลูกชายของฉัน? หมายความว่ายังไง? เอาลูกชายของฉันไปซ่อนไว้ที่ไหน? บอกมานะ! กรี๊ดดดด!! บอกมาเร็วเข้า!!”
ใบหน้ายูร่าและครอเกลพลันแข็งทื่อ
นั่นเพราะคนที่ไม่ควรจะโผล่ในซาทิสฟายกำลังลอยอยู่ตรงหน้า
‘เป็นภาพหลอนที่สร้างจากการอ่านความทรงจำ? ถ้าเป็นแบบนั้นจริง พวกเขากำลังละเมิดพ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิ์ความเป็นส่วนตัว… ไม่สิ เราไม่เห็นบาดแผลทางใจของยูร่า คงเป็นภาพหลอนเฉพาะบุคคล’
‘สำหรับทีมงานเกม พวกเขาคงเห็นภาพที่ถูกเซนเซอร์ไว้’
แต่ไม่ว่ายังไง เรื่องนี้ก็ควรนำไปปรึกษาทนาย
ขณะยูร่าและครอเกลกำลังคิดนอกเรื่องอย่างจริงจัง
[เหล่าดวงวิญญาณต่างเบิกเนตร]
[ดวงวิญญาณของตำนานโบราณ ‘คาล’ ปรากฏตัว]
[ดวงวิญญาณของตำนานโบราณ ‘ฮัคเซ่น’ ปรากฏตัว]
[ดวงวิญญาณของตำนานโบราณ ‘ซีดาน’ ปรากฏตัว]
[ดวงวิญญาณของตำนานโบราณ ‘อลีชา’ ปรากฏตัว]
[ดวงวิญญาณของตำนานโบราณ ‘ไฟโวล์ฟ’ ปรากฏตัว]
[ดวงวิญญาณของตำนานรุ่นก่อน ‘กิส’ ปรากฏตัว]
[ดวงวิญญาณของตำนานรุ่นก่อน ‘ครูเกอร์’ ปรากฏตัว]
[ดวงวิญญาณของตำนานรุ่นก่อน ‘อเล็กซ์’ ปรากฏตัว]
[ดวงวิญญาณของตำนานรุ่นก่อน ‘โพเวีย’ ปรากฏตัว]
สิ่งมีชีวิตทรงพลังลอยขึ้นจากพื้นดินและล้อมคณะเดินทางไว้จากทุกด้าน
เลอราเฆ่ผู้กำลังแข็งทื่อจากการเผชิญหน้าดวงวิญญาณเบริอาเช่ กัดฟันแผดเสียง
“ไม่ต้องไปกลัว… แค่มองตรงไปข้างหน้าและวิ่งก็พอ”
“ตกลง”
สามบุคคลที่สร้างมิตรภาพมาร่วมกัน
พวกมันเชื่อใจกัน พึ่งพากัน และช่วยกันก้าวไปข้างหน้า
***
ดาเมี่ยนเคยเข้าถึงข้อมูลจำนวนมากสมัยยังเป็นสันตะปาปา ดังนั้นหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิหารยาธาน ความรู้ของมันค่อนข้างแน่น
ด้วยเหตุผลดังกล่าว สวาปามจกบัลเผ็ดจึงมีข้อมูลความเคลื่อนไหวของวิหารยาธานค่อนข้างละเอียด ทำให้สร้างดันเจี้ยนกักขังพวกมันได้ในตำแหน่งที่แม่นยำ
“ในที่สุดก็จับเจ้าได้”
‘บัดซบ’
ขณะสวาปามจกบัลเผ็ดเดินไปตามดันเจี้ยนที่ตนออกแบบ
ตัวมันที่เคยล่อลวงให้สาวกยาธานจำนวนมากเข้ามาติดกับ ปัจจุบันกำลังเผชิญเหตุการณ์วิกฤติเสียเอง
ข้ารับใช้ยาธานซึ่งในที่สุดก็เริ่มมองเห็นโครงสร้างดันเจี้ยน ทำการรุมล้อมสวาปามจกบัลเผ็ดจากทุกทิศ
‘เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?’
เดิมที สวาปามจกบัลเผ็ดมีดันเจี้ยนที่ดำเนินการอยู่ทั้งสิ้นสิบเอ็ดแห่ง
จากบรรดาทั้งหมด เจ็ดแห่งถูกบริจาคให้อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ฝึกทหาร และอีกสี่แห่งถูกใช้เป็นแหล่งทำมาหากิน
พวกมันคือดันเจี้ยนที่คอยล่อลวงมอนสเตอร์ให้เข้ามาติดกับ
แต่ก่อนที่สงครามจะเริ่ม ดันเจี้ยนทั้งสี่แห่งซึ่งเป็นบ่อเงินบ่อทองถูกทุบทิ้งและแปรสภาพเป็นดันเจี้ยนใหญ่แห่งเดียวในตำแหน่งปัจจุบัน
เพื่อจะตรึงวิหารยาธานให้อยู่หมัด สวาปามจกบัลเผ็ดต้องเสียสละอย่างใหญ่หลวง
งานของมันคือการถ่วงเวลาวิหารยาธานไว้จนกว่าสงครามจะสิ้นสุด
แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว
เหล่าสาวกไม่ถูกกับดักเล่นงานอีกต่อไป
แม้จะถูกเสียบด้วยลูกธนูและคมหอก สูดดมควันพิษ แผดเผาด้วยเปลวเพลิง และถูกแช่ในบ่อน้ำ แต่พวกมันกลับไม่ยอมตาย
ราวกับจู่ๆ พวกมันก็กลายเป็นอมตะขึ้นมา
‘จบสิ้นแล้ว…’
สวาปามจกบัลเผ็ดรู้สึกเจ็บปวดหัวใจแสนสาหัส
มันเจ็บหน้าอกเมื่อต้องจินตนาการว่า ดันเจี้ยนใหญ่ซึ่งเกิดจากการสังเวยดันเจี้ยนเกรดยูนีคสี่แห่ง กำลังจะพังทลายลงพร้อมไปพร้อมกับตน
ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามเดือนเพื่อจะชดเชยความเสียหายคราวนี้…
“…”
สวาปามจกบัลเผ็ดที่กำลังสิ้นหวังถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์
นั่นเพราะมันได้ยินเสียงกรีดร้องของสาวกดังมาจากด้านหลัง
“เกิดอะไรขึ้น…”
สาวกยาธานต่างมองไปยังทิศทางของต้นเสียง
และพวกมันก็ได้เห็น
ชายคนหนึ่งกำลังเข่นฆ่าสาวกยาธานพร้อมกับวิ่งตรงเข้ามาใกล้
ผู้บุกรุกคืออดีตสันตะปาปาดาเมี่ยน จากมุมมองของวิหาร ตัวตนของมันเป็นรองเพียงกริด
“คึฮ่าฮ่า! เจ้าโง่! รนหาที่ตายด้วยตัวเองเลยหรือ?”
ข้ารับใช้ยาธานโพล่งขึ้นด้วยความยินดี
ชายผู้สูญเสียคุณสมบัติในการเป็นสันตะปาปา
มีข่าวลือจำนวนมากระบุว่าดาเมี่ยนอ่อนแอลงหลังจากรับตำแหน่งศาสดาของศาสนาใหม่นามว่าโบสถ์เทพโอเวอร์เกียร์
เป็นโอกาสอันดีที่พวกมันจะได้แก้แค้นและฉีกอีกฝ่ายให้เป็นชิ้นๆ
ซู่ว—!
วงแหวนเวทหลายสิบวงโผล่ขึ้นด้านข้างข้ารับใช้ยาธานในพริบตา
พวกมันคือโซ่คำสาปสำหรับพันธนาการ และมนต์ดำสำหรับถล่มเป้าหมาย
“ดาเมี่ยน! ระวัง! พวกมันไม่มีวันตา—”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ดวงตาของสวาปามจกบัลเผ็ดแปรเปลี่ยนเป็นความฉงน
วงเวทหลายสิบวงที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ พลันหลุดการล็อกเป้าและเริ่มโกลาหล
ดาเมี่ยนที่แทรกตัวเข้ามาอย่างเป็นปริศนาลงมือรำดาบทันที
“คลื่นร่ายรำสังหาร”
เปรี้ยง!
“อ๊ากกกก!”
“น…นี่มันหมายความว่ายังไง!”
ข้ารับใช้ยาธานแหกปากกรีดร้องโดยมิอาจปิดบังความสับสน
ดาเมี่ยนแข็งแกร่งกว่าสมัยยังเป็นสันตะปาปาเสียอีก แตกต่างจากข่าวลือที่ได้ยินโดยสิ้นเชิง
ท่ามกลางความสับสนของทุกฝ่าย ดาเมี่ยนที่หายตัวมาโผล่ข้างสวาปามจกบัลเผ็ดพูดขึ้น
“พวกมันมีบัฟของยูดาห์และจะได้รับความเสียหายเพียงหนึ่งหน่วย จุดอ่อนอยู่ที่ท้ายทอย สะโพก และเอ็นร้อยหวาย… นายต้องเล็งให้แม่น”
“ต…ตกลง… ว่าแต่… ฉันขอเข้าโบสถ์โอเวอร์เกียร์ด้วยได้ไหม?”
“ยังไม่ได้เข้าอีกหรือ…?”
“ฉันไม่ชอบนับถือศาสนา เพราะทุกศาสนาจะมีกฎที่ห้ามทำและต้องทำตาม… แบบนั้นน่าอึดอัดจะตายไป”
“โบสถ์เทพโอเวอร์เกียร์มอบอิสระแก่ทุกคน! จริงอยู่ที่ไม่ใช่อิสระโดยสมบูรณ์ แต่ก็แลกมากับความแข็งแกร่ง!!”
“จ…จริงหรือ…”
“ไม่อยากเชื่อว่านายยังไม่ได้เข้า… เป็นไอ้งั่งโดยสมบูรณ์แบบเลยนะเนี่ย”
“…”
“แต่ตอนนี้รีบหนีกันก่อน!!”
“…???”
ทั่วทั้งทวีปมิได้มีชาวโอเวอร์เกียร์ตระเวนแสดงผลงานแค่หนึ่งหรือสอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิสซาเบล หลายฝ่ายประเมินว่าอิสซาเบลสามารถเค้นพลังออกมาได้มากกว่าสมัยก่อนเสียอีก
นี่คือผลพวงจากการที่กริดสร้างเทวภัณฑ์ใหม่พร้อมกับสองชิ้น
***
ขณะเดียวกัน ในกรุงไรน์ฮาร์ท
กริดมาบอกลาไอรีน
“รักษาตัวด้วยนะเพคะ”
“อา… เธอไม่ต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่ของฉัน พวกท่านดูแลตัวเองได้”
“บิดาและมารดาของกษัตริย์เปรียบดังพ่อแม่ของแผ่นดิน จะให้ดิฉันละเลยพวกท่านได้อย่างไร? นอกจากนั้น ดิฉันยังรู้สึกดีกับพวกท่านมาก ทั้งสองคนคอยเอ็นดูดิฉันกับลอร์ดด้วยความรัก”
“แล้วแต่เธอก็แล้วกัน…”
กริดมองผ่านไปด้านหลัง
มันเห็นพ่อแม่กำลังยิ้มหลอกล้อกับลอร์ด
สามีภรรยาคู่นี้ห่างไกลจากคำว่ามืดใหม่มาก ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณของขวัญจากกริด
อันที่จริง ลำพังความเร็วในการเก็บเลเวลของคนทั้งสองก็สูงเป็นทุนเดิม เรียกได้ว่าเหนือกว่ามาตรฐานหลายระดับ สงสัยที่เคยโอ้อวดว่าสมัยเด็กเป็นเทพในร้านเกมคงเป็นเรื่องจริง
“ฮุฮุ… รีบไปเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”
“แล้วฉันจะรีบกลับมา”
การได้เห็นไอรีนจัดระเบียบเสื้อผ้าทำให้หัวใจกริดกระชุ่มกระชวยได้เสมอ
ชายหนุ่มฉีกยิ้มก่อนจะจุมพิตลงบนแก้ม จากนั้นก็ส่งตัวเองลอยขึ้นฟ้า
เป้าหมายคือหอแห่งปัญญา
เพื่อเตรียมการล่วงหน้าในกรณีที่อาจถูกมังกรแทรกแซง กริดวางแผนจะมอบของขวัญให้บีบัน
ของขวัญที่เคยสัญญาไว้ - ศาสตรามังกร
______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,059 ★ ★ จบบริบูรณ์ ★ ★
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ
แงงงงงงง... สั้นเกินไปแล้วววววว
ReplyDelete