จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,518
“สักครู่”
อันดับแรก กริดต้องสวมเสื้อผ้า
เป็นชุดออกงานที่เจ้าชายลูเบียร์มอบให้ มีการปักลวดลายวิจิตรงดงามไว้มากมาย ผ้าไหมสีแดงผสมผสานอย่างลงตัวกับความพลิ้วไหวอันละเอียดอ่อน
กริดเคยไม่พอใจของขวัญชิ้นนี้
เป็นเพราะมันต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าห้านาทีในการแต่งองค์ทรงเครื่องให้ครบถ้วน จึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเจ้าชายจงใจป้อนขี้ให้ตน
แคว้นลูเบียร์กลายเป็นพันธมิตรกับโอเวอร์เกียร์ผ่านการหมั้นหมายกับอาณาจักรเก๊าส์
จึงไม่ใช่เรื่องแปลที่กริดจะคิดว่าอีกฝ่ายอาจแสร้งเป็นมิตรและจ้องจะแทงข้างหลังตลอดเวลา
แต่ความคาใจทั้งหมดถูกขจัดโดยสิ้นเชิงในวินาทีนี้
‘มีประโยชน์ในเวลาแบบนี้สินะ’
เวนิช เทพแห่งเงินตรา
เธอมาเยือนโดยไม่บอกกล่าว
ส่งผลให้กริดเผชิญหน้ากับเธอกะทันหันด้วยซับใน
เป็นเรื่องยากที่คนจิตใจปรกติจะปล่อยผ่าน
มันต้องการเวลาสักพักเพื่อขจัดความเขินอายเมื่อครู่
ในประเด็นดังกล่าว เครื่องแต่งกายประเภทนี้ช่วยได้มาก เพราะต้องใช้เวลานานกว่ากริดจะใส่เสร็จครบทุกชิ้นส่วน
‘เวนิชไม่น่าจะใช้เทพองค์หลักของสวรรค์’
ความโลภนั้นห่างไกลจากความศักดิ์สิทธิ์มาก แถมยังน่าจะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของนิสัยที่น่ารังเกียจ
นอกจากพ่อค้าแค่บางกลุ่ม คงไม่มีใครนับถือเทพแห่งเงินตรามากนัก
มีโอกาสสูงที่ตัวตนของเวนิชจะไม่ใหญ่โตไม่แอสการ์ด
‘นั่นคือเหตุผลที่เธอต้องการเปลี่ยนแปลง’
ตามปรกติแล้ว ยิ่งขาดแคลนมากเท่าไร ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งรุนแรง
เวนิสไม่น่าจะสามัคคีกับเทพบนแอสการ์ดเต็มร้อย
‘จะขายข้อมูลแบบไหนให้เรากันนะ…’
คิดถึงตรงนี้ กริดใส่เข็มขัดเสร็จพอดี
เชือกบนเสื้อที่คอยห้อยอัญมณี ถูกคลายให้หลวมจากปรกติ
การไม่โอ้อวดสิ่งของฟุ่มเฟือยถือเป็นการแสดงความน่าเกรงขามในรูปแบบหนึ่ง กริดจึงตัดสินในห้อยเชือกอย่างหลวมๆ และใช้เนื้อผ้าบริเวณหัวไหล่ปิดไว้
เวนิสที่จ้องมองสักพักก่อนจะเปิดปากพูด
“ตอนแรกข้าคิดว่าเสื้อผ้าชุดนี้คงดูรุ่มร่ามเกินไป แต่กลับออกมาดีผิดคาด… หากเจ้าใส่เสื้อผ้าแบบนี้ขึ้น จะใส่ชุดแบบไหนก็คงดูดี”
‘เราใส่ชุดไหนก็ดูดี?’
ทุกครั้งที่ได้ยินแบบนี้ กริดขอบคุณตัวเองเสมอที่ทำงานหนัก
สมแล้วที่เป็นเทพธิดา
กริดอารมณ์ดีขึ้นทันทีที่หญิงงามคนหนึ่ง อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่เลอโฉมที่สุดในโลก กล่าวชมเชยตนด้วยรอยยิ้มสดใส นี่ไม่ใช่ความหลงตัวเอง แต่เป็นความรู้สึกตามสัญชาตญาณ
“ถ้าสวมแหวนกับสร้อยเส้นนี้เพิ่มเข้าไป เจ้าต้องดูดีขึ้นอีกสองเท่าแน่นอน”
[ท่านต้องการจ่ายค่าชื่อเสียงจำนวน 120,000 แต้มเพื่อซื้อ <สร้อยไข่มุกคลื่นสมุทร> หรือไม่?]
[ท่านต้องการจ่ายค่าชื่อเสียงจำนวน 100,000 แต้มเพื่อซื้อ <แหวนสนธยา> หรือไม่?]
‘นี่มัน… แม่ค้า…’
การชมเชยของเวนิสเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธุรกิจ หลังจากนั้นก็แอบเสนอขายสินค้าอย่างชำนาญ
‘ถึงไอเท็มจะมีคุณภาพค่อนข้างดีก็เถอะ…’
กริดตรวจสอบข้อมูลของสร้อยและแหวนก่อนจะปฏิเสธ ส่วนหนึ่งเพราะมั่นใจว่าตนสามารถผลิตมันได้เอง
แน่นอนว่าอาจต้องผ่านการลองผิดลองถูกสักพัก แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องสูญค่าชื่อเสียงหลักแสนแต้มโดยเปล่าประโยชน์
“เธอต้องการขายข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับฉันใช่ไหม?”
“ใช่”
“ต่อให้ฉันเป็นศัตรูกับแอสการ์ดก็ไม่เป็นอะไร? …ความช่วยเหลือของเธออาจสร้างความเสียหายให้แอสการ์ดได้นะ”
“แน่นอนว่าไม่เป็นอะไร สำหรับฉัน ธุรกิจสำคัญกว่าแอสการ์ดเสมอ ทำตัวเป็นกันเองได้เลย… ฉันถือคติลูกค้าคือราชา… เอ… ราชาฟังดูต่ำต้อยกว่าเทพสินะ… แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ”
“เนื้อหาของข้อมูลที่ต้องการขายเกี่ยวกับอะไร”
กริดจ้องไปทางเวนิส
ไม่ว่าจะสายตา ลมหายใจ และการเคลื่อนไหวเล็กน้อยทั้งหมดของเวนิส ทุกสิ่งล้วนถูกจับจ้องอย่างละเอียด
นับแต่นี้ไป หากเธอโกหกแม้เพียงเล็กน้อย มีโอกาสสูงที่กริดจะสังเกตเห็น ค่าวิสัยทัศน์ที่สั่งสมมาอย่างยากลำบากมิได้สูญเปล่า
“แอสการ์ดไม่อยากนิ่งดูดายกับการคืนชีพของซิก จึงทำการส่งยูดาห์ลงมา”
“ยูดาห์…”
เทพแห่งสุขภาพและปัญญา
“จะเกิดโรคระบาดไหม?”
กริดนึกทบทวนเหตุการณ์ในอดีต แต่ก็ตอบสนองอย่างไม่แยแส
ไม่มีความหวาดกลัวในตัวยูดาห์แม้แต่น้อย
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น
หลังจากเคยถูกเทพสงครามเซราทุลบุกรุก ก็ไม่มีเหตุผลให้กริดต้องหวาดกลัวเทพที่อ่อนแอกว่าอย่างยูดาห์ ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าตนรับมือกับอีกฝ่ายไหว
เวนิสหัวเราะแผ่ว
“จงอย่าลืมว่ามนุษย์นับถือรีเบคก้า โดมิเนี่ยน และยูดาห์เป็นสามเทพหลักมาตั้งแต่โบราณกาล… หากประเมินยูดาห์ต่ำไป เจ้าได้เจ็บตัวแน่”
‘นั่นสินะ… อาจมีพลังบางอย่างของยูดาห์ที่สร้างปัญหาได้มากกว่าเซราทุล’
กริดเริ่มคล้อยตาม มันเข้าใจดีว่าความแข็งแกร่งด้านการต่อสู้ไม่ใช่ปัจจัยบ่งชี้พลังอำนาจของเทพ ไม่เกินจริงไปนักหากจะบอกว่าชายหนุ่มเคยลิ้มรสด้วยตัวเอง
“แต่แน่นอน ยูดาห์จะไม่สร้างอิทธิพลต่อโลกโดยตรง เพราะถ้าเทพลงมือกับมนุษย์ในยามศึกสงครามระหว่างอสูร พวกเขาจะสูญเสียความศรัทธาไปมาก”
“เขาจะแอบร่วมมือกับฝ่ายอสูรเพื่อไม่ให้มนุษย์สังเกตเห็น?”
“หรืออาจเป็นมังกร…”
สายตาเวนิชแฝงเลศนัย
เธอมองไปทางด้านหลังกริด ภาพของเทวภัณฑ์ชิ้นใหม่สะท้อนบนกระจกตาเทพสาว
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้ายูดาห์ร่วมมือกับอสูรหรือมังกร”
ภายนอกกริดอาจดูสงบนิ่ง แต่ภายในใจกำลังกระสับกระส่ายสุดขีด มันยังไม่ลืมข้อความระบบที่แจ้งเตือนเกี่ยวกับการลืมตาตื่นของลูกชายกูเซล
“อสูรและมังกรจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก พลังอำนาจของยูดาห์นั้นน่าสะพรึง สามารถเปลี่ยนกระดูกอ่อนให้แข็ง เปลี่ยนกระดูกแข็งให้อ่อน และกระดูกแข็งให้แข็งที่สุด… เป็นเทพที่สามารถเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็นอัจฉริยะหรือไอ้งั่งได้ง่ายดาย”
‘เรียกได้ว่าเป็นเทพแห่งบัฟและดีบัฟ’
“ไม่ใช่แค่การเสริมพลังหรือทำให้อ่อนพลัง แต่ยังส่งผลสืบเนื่องไปถึงการขจัดจุดอ่อนของเป้าหมายและทำให้พวกนั้นเป็นอมตะ… ถัดไปจะเป็นการเข้าประเด็นสำคัญ”
เวนิสกะพริบตาพร้อมกับยกนิ้วขึ้น
“จ่ายฉันด้วยค่าชื่อเสียง 80% ที่นายมี แล้วฉันจะบอกว่ายูดาห์ทำงานให้ใครและพลังของเขาเป็นแบบใดอย่างละเอียด”
เวนิสยกนิ้วเพิ่มอีกหนึ่ง
“จะจ่ายด้วยบารมีเทพแทนค่าชื่อเสียงก็ได้เช่นกัน… เพียงบารมีเทพหนึ่งขั้นของเจ้า ข้าบอกข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับยูดาห์ รวมถึงบาปที่เขาก่อขึ้น”
ข้อเสนอของเวนิชยังไม่หมด
“หรือถ้าเจ้าไม่อยากจ่ายด้วยค่าชื่อเสียงและบารมีเทพ จะจ่ายด้วยศาสตรามังกรก็ได้นะ เล่มที่เจ้าเพิ่งสร้างเสร็จนั่นไง… ยังไงเสียเจ้าก็ยังเหลือวัสดุเพียงพอที่จะสร้างอีกหนึ่งเล่ม ไม่เพียงข้าจะบอกข้อมูลเกี่ยวกับยูดาห์ แต่ยังรวมถึงเทพที่จะตามลงมาหากยูดาห์ล้มเหลว… ลองไตร่ตรองดูให้ดี”
“หืม…”
หลังจากฟังอย่างเงียบงันสักพัก กริดเปิดปากเชื่องช้า
“แม้แต่เทพก็ไม่สามารถขจัดจุดอ่อนของสิ่งมีชีวิตและทำให้พวกมันเป็นอมตะได้… ขนาดตัวเองเทพก็ยังไม่เป็นอมตะ”
กริดหวนนึกถึงตำนานของเฮอร์คิวลิส ตัวเอกในเทพนิยายกรีก
แต่เนื่องจากเป็นตำนานที่ไม่มีในซาทิสฟาย เวนิชจึงไม่เคยฟัง
“ระบุให้ชัดก็คือ พลังของยูดาห์ไม่ใช่การขจัดจุดอ่อน แต่เป็นการบรรเทาให้ส่งผลน้อยลง ไม่อย่างนั้นเขาคงสร้างสิ่งมีชีวิตอมตะที่ไม่ตายโดยการถูกตัดเอ็นร้อยหวายขึ้นมาแล้ว”
“…”
เวนิสยังคงยิ้ม
แต่ประกายแสงภายในดวงตาเธอเกิดสั่นไหวเล็กน้อย เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยมาก แต่ก็มิอาจเล็ดลอดสายตากริด
“แน่นอนว่าเป้าหมายของยูดาห์คือฝ่ายอสูร เพราะถ้าพิจารณาจากสิ่งที่เฮ็กเซเทียเคยทำ คงเป็นการยากที่เทพจะเจรจากับมังกร”
ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว
เฮ็กเซเทียผู้ก่อบาปแห่งความริษยา ทำการมอบศาสตราแก่เหล่าอสูรและกระตุ้นให้พวกมันรุกรานโลกมนุษย์
สนามรบในตอนนั้นคือหมู่เกาะเบเฮ็น
แพ็กม่าซึ่งกลายเป็นผู้ทำพันธสัญญากับบาเอล เปลี่ยนหมู่เกาะเบเฮ็นให้กลายเป็นแนวป้องกันสำหรับสกัดกั้นการรุกรานจากอสูร
มังกรศิลากูเซลพยายามเข้ามาแทรกแซงในเหตุการณ์นี้
กูเซลซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากฝีมือมังกรคลั่ง ตัดสินใจฟื้นฟูบาดแผลของตนด้วยการรุกรานหมู่เกาะเบเฮ็นเพื่อกินอสูรจำนวนมาก
แต่ท้ายที่สุดก็ถูกสกัดไว้โดยเหล่าสภาหอคอยจนเสียชีวิต
ทว่า
ความนัยที่แฝงมากับเหตุการณ์นี้คือข้อมูลสำคัญ
เทพและมังกรไม่ได้คุยกัน หรือไม่ก็ไม่ร่วมมือกัน
กูเซลที่พยายามล่าอสูรจนเกือบทำให้แผนทำลายมนุษย์ของเฮ็กเซเทียล้มเหลว คือเครื่องพิสูจน์ความจริงได้เป็นอย่างดี
“บาปที่ยูดาห์ก่อขึ้น… น่าจะเป็นโทสะ… พิจารณาจากการที่เขาติดต่อกับอสูรทันทีหลังจากทราบว่าซิกคืนชีพ”
เวนิชปิดปากสนิท
เธอยังคงยิ้ม แต่ดูเหมือนกำลังฝืนอยู่
“ถ้าทางนี้เอาชนะบททดสอบจากยูดาห์ได้ เทพองค์ถัดไปที่จะมาเยือนก็แน่ชัดแล้ว… โดมิเนี่ยนแห่งสนามรบ… หนึ่งในสามเทพผู้เชี่ยวชาญการทำศึก ถนัดการรบแบบกลุ่มใหญ่… ตกลง ฉันจะเตรียมตัวรับมือโดมิเนี่ยนเผื่อไว้ด้วย”
“…”
“ฉันเดาตรงไหนผิดไปรึเปล่า?”
กริดพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง
มันไม่พบข้อบกพร่องในการวิเคราะห์ของตน
เหนือสิ่งอื่นใด เวนิชไม่พยายามปฏิเสธ สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อค้าขายย่อมยึดถือสัจจะและความเชื่อใจเป็นสำคัญ
หญิงสาวบรรจงเปลี่ยนรอยยิ้มเป็นหน้าเศร้า จากนั้นก็แผดเสียงตะโกนด้วยความเสียใจ
“ข้าเกลียดเจ้า! เกลียดที่สุด! เจ้ามันชั่วมาก!”
‘บาปของหล่อนคือความโลภรึไง’
การเสนอขายข้อมูลถือเป็นพฤติกรรมที่ทรยศต่อแอสการ์ด
เธอคงก่อบาปแห่งความโลภหนแล้วหนเล่า
‘คงช่วยไม่ได้… เธอเป็นเทพที่แทบไม่มีใครกราบไหว้บูชา’
ถึงจะรู้ว่าเป็นบาป แต่เธอไม่มีทางเลือกมากนักในการสร้างบารมีเทพและชื่อเสียง
กริดที่มองเห็นเข้าไปถึงแก่นแท้ของเวนิช กล่าวแนะนำบางสิ่ง
“เธอช่วยหาคัมภีร์เคล็ดวิชาลับบางชนิดให้ฉันได้ไหม? ฉันหามันไม่เจอในราชรถสุริยัน”
“…วิชาลับอะไร?”
“วิชาสำหรับถืออาวุธพร้อมกันสองมือ… ถ้าเป็นของเซราทุลคงใช้งานได้สะดวกมาก”
“แต่ถ้าทำแบบนั้นเซราทุลจะเกิดความสงสัย… ไม่เคยมีเทพตนใดระบุความต้องการที่เฉพาะเจาะจงผ่านข้ามาก่อน หากต้องการทำให้เขาหายคาใจจำเป็นต้องจ่ายหนักมาก”
“ฉันจะจ่ายสองเท่าจากราคาตลาด”
“ห้าเท่า”
“1.5 เท่า”
“สี่เท่า”
“งั้นคงต้องขอผ่าน”
“สามเท่า! สามเท่า!!”
“ก็ได้… ฉันจะยอมแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว เป็นการตอบแทนความใจดีของเธอในวันนี้”
“ข้าดีใจจนทำตัวไม่ถูกเลยล่ะ”
ขณะยิ้มอย่างสดใส หลอดเลือดดำเส้นใหญ่ปูดขึ้นกลางหน้าผากเวนิช
วันนี้เธอมาหากริดเพื่อทำการค้าขาย แต่มันกลับลงเอยด้วย ‘ความใจดี’ แบบที่กริดพูด เธอพลาดเองที่บอกใบ้มากเกินไปจนอีกฝ่ายสามารถคาดเดาได้แม่นยำ เวนิชไม่เคยคิดมาก่อนว่ากริดจะฉลาดขนาดนี้เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมในอดีต
ต่อเราให้ขายเคล็ดวิชาลับได้สามเท่าจากของเดิม ก็ยังเทียบไม่ได้กับกำไรในตอนแรก…
“ข้าอยากเห็นดาบชัดๆ ก่อนจะกลับ… ขอดูได้ไหม?”
เวนิสขอร้องอย่างมีมารยาท
กริดไม่ปฏิเสธ
เทพธิดาผู้หมกมุ่นอยู่กับชื่อเสียงและค่าบารมีเทพ
เวนิชมีเป้าหมายที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา จึงไม่มีเหตุผลให้กริดต้องหวาดระแวง ชายหนุ่มประเมินว่าตนสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อรักษาความสัมพันธ์เชิงบวกต่อกัน ในอนาคตจะได้ทำธุรกิจกันอีก
“หวา~”
ดวงตาเวนิชที่กลมกลึงเป็นทุนเดิม ขยายใหญ่ยิ่งกว่าเก่า เธออ้าปากค้างพลางทุบแขนสองสามหนกริดด้วยสีหน้าชื่นชม หากมีใครผ่านมาเห็นเข้าคงเข้าใจผิดว่าทั้งสองสนิทกันมาก ความตื่นเต้นของเวนิชกำลังพลุ่งพล่านสมกับที่เป็นเทพธิดาแห่งเงินตราผู้หลงใหลสินค้าฟุ่มเฟือย
‘สุดยอด’
กริดเองก็ตื่นเต้นไม่ต่างกัน
<เขียวกูเซล (ดาบหนัก) >
เกรด: มิธ
ความคงทน: อนันต์
พลังโจมตี: 15,690
* เพิ่มความเร็วโจมตี 50%
* เพิ่มความเร็วการใช้ทักษะ 30%
* เพิ่มพลังโจมตีธาตุดิน 400%
★ มีโอกาสสูงที่เป้าหมายซึ่งถูกโจมตีจะได้รับอาการผิดปรกติ ‘กลายเป็นเห็น’
★ เพิ่มพลังโจมตีแก่เผ่ามังกร 150%
★ มีโอกาสสูงที่จะมองข้าม <การป้องกันสัมบูรณ์> ของมังกร
★ ความเร็วในการชักออกจากฝักถูกปรับเป็นค่าสูงสุด
★ หลังจาก ‘ชักดาบ’ การโจมตีครั้งแรกจะรุนแรงขึ้นสามเท่า แต่จะส่งผลกับการฟันธรรมดาและทักษะประเภท ‘ชักดาบฟัน’ เท่านั้น
★ เพิ่มพลังโจมตี 300% เมื่อต่อสู้กับเป้าหมายที่ ‘คลั่ง’
ศาสตรามังกรชิ้นแรกของโลก ถูกสร้างโดยเทพโอเวอร์เกียร์กริด
เงื่อนไขการสวมใส่:
- เทพ
- เหนือมนุษย์
- มังกร
น้ำหนัก: 2,100
พลังเวทสีเทาเจือจางที่ลอยวนเวียนรอบดาบหนักสีใส ช่วยมอบความลึกลับและงดงามในระดับเหนือคำบรรยาย
ต่อให้นำไปวางเคียงข้างสุดยอดงานศิลป์ชื่อก้องโลกชิ้นต่างๆ จากประวัติศาสตร์ แต่มันก็จะไม่ถูกกลบรัศมี
ในแง่ประสิทธิภาพคงไม่ต้องพูดถึง
น่าเสียดายที่พลังโจมตีพื้นฐานยังด้อยกว่า <ดาบสั้นเฮ็กเซเทีย> แต่หากบรรลุเงื่อนไขบางประการก็สามารถสร้างพลังทำลายที่สูงกว่า
‘…ค่าพลังพื้นฐานน่าผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก’
สมญานามของเทพโอเวอร์เกียร์คือ ‘ผู้รังสรรค์ทุกสิ่ง’ มิใช่เทพแห่งการตีเหล็ก
มันอาจสร้างวัตถุได้ทุกชนิดก็จริง แต่ถ้าเทียบกันในแง่ทักษะการตีเหล็ก กริดยังเป็นรองเฮ็กเซเทียด้วยกฎแห่งธรรมชาติ
แต่แน่นอน กริดมั่นใจว่าสิ่งนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต
ต้องไม่ลืมว่าในหมู่เทพก็มี ‘ลำดับขั้น’
ยิ่งระดับตัวตนและค่าบารมีเทพสูงส่งเพียงใด ไอเท็มที่ผลิตได้ก็จะมีระดับสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
ดังนั้น กริดไม่มีเหตุให้ต้องน้อยเนื้อต่ำใจในปัจจุบัน
‘ใช่ว่าตัวเราในตอนนี้จะด้อยกว่าเฮ็กเซเทียสักหน่อย’
พลังแห่งไอเท็มมิได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขเพียงอย่างเดียว
ต้องพิจารณาถึงรายละเอียดเชิงลึก และในกรณีดังกล่าว เขี้ยวของกูเซลยอดเยี่ยมกว่าดาบสั้นเฮ็กเซเทียมาก
เหนือสิ่งอื่นใด กริดยังมีทักษะ ‘นวัตกรรมเทพโอเวอร์เกียร์’
เขี้ยวกูเซลยังมีช่องว่างให้พัฒนาได้อีกถึงสามครั้ง
<นักล่ามังกร?>
ท่านมีศาสตรามังกร แต่ยังไม่เคยพิสูจน์ให้ใครเห็นว่าเคยฆ่ามังกรมาแล้ว ผู้คนจึงสับสนว่าท่านเป็นนักล่ามังกรจริงหรือไม่
* เมื่อสู้กับมังกร มีโอกาสปานกลางที่จะมองข้าม <การป้องกันสัมบูรณ์> ของมังกร
* เมื่อสู้กับมังกร มีโอกาสปานกลางที่ค่าสถานะทุกชนิดจะเพิ่มขึ้น
“…”
กริดตระหนักได้ทันทีว่าเขี้ยวกูเซลคืออาวุธที่มีมูลค่าสูงเพียงใด ลำพังคุณสมบัติข้อเดียวของมันก็เทียบเท่ากับการครอบครองหนึ่งในสมญานามที่หายากที่สุด
เครื่องหมายคำถามหลังสมญานามถูกอธิบายอย่างสมเหตุสมผล
กริดอาจไม่ชอบในหลายจุด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือสมญานามระดับเทวตำนานที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะความเข้ากันได้ดีกับศาสตรามังกร
‘ดีล่ะ’
กริดที่กำลังฮึกเหิมหยิบค้อนขึ้นมาถืออีกครั้ง
ยังเหลือเขี้ยวของกูเซลอีกหนึ่งซี่
ย้อนกลับไปในตอนที่เปลวไฟจากเตาหลอมยังคงอยู่ กริดทำการหลอมและขึ้นรูปเขี้ยวทั้งสองซี่พร้อมกัน ปัจจุบันจึงเหลือเพียงการปิดฉากขั้นตอนสุดท้าย
ผ่านไปไม่นาน
[เทวภัณฑ์แห่งเทพโอเวอร์เกียร์ถือกำเนิด]
[เทวตำนานแห่งเทพโอเวอร์เกียร์ถูกยกระดับ]
[ค่าสถานะทุกชนิดของผู้ศรัทธาเทพโอเวอร์เกียร์เพิ่มขึ้น 10 หน่วยเป็นการถาวร, ผลข้างเคียงจากการสวมใส่ไอเท็มข้ามระดับลดลงเล็กน้อย]
ใครหลายคนรู้สึกเหมือนได้เห็นภาพเดิมถูกฉายซ้ำ
ใครหลายคนคร่ำครวญและพากันอิจฉาบรรดาสาวกของโบสถ์เทพโอเวอร์เกียร์
Comments
Post a Comment