จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,513
ความเจ็บปวดคือสิ่งที่ถูกสลักไว้ในความทรงจำ
เมื่อฝังเข้าไปแล้ว การสลัดให้หลุดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
“…ไม่เจ็บสักหน่อย”
จิสึกะที่นั่งแช่อยู่ในแคปซูลสักพัก ลูบไล้ปลายนิ้วด้วยความนุ่มนวล
ความเจ็บปวดอันเกิดจากยิงธนูซึ่งสั่งสมมาเป็นเวลานาน
ผลข้างเคียงสุดเลวร้ายที่อริยศรต้องอดทน
ความเจ็บปวดราวกับเนื้อหนังถูกบดขยี้ กล้ามเนื้อฉีกขาด และกระดูกถูกป่น เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดการต่อสู้
แม้จะเทียบไม่ได้กับของจริง แต่ก็เป็นความเจ็บปวดที่สั่งสม
เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นภาระทางจิตใจที่หนักอึ้ง
ยิ่งศึกยืดเยื้อ จำนวนการยิงธนูก็ยิ่งเพิ่มพูน
ในบางครั้งเธอก็อยากวิ่งหนี เพราะรู้ว่าความเจ็บปวดจะตามหลอกหลอนมาถึงโลกความจริงตลอดทั้งคืน
แต่แน่นอนว่าเธอไม่เคยวิ่งหนี ไม่แม้แต่จะถอยหลังสักหนึ่งก้าว
จิสึกะไม่เคยตัดพ้อหรือเปิดเผยความเจ็บปวดต่อหน้าพวกพ้องคนใด
แต่กริดกลับรับรู้ได้
หลังจากเสร็จสิ้นการสำรวจนรก กริดมอบปลอกนิ้วใหม่ให้เธอ
เป็นปลอกนิ้วที่แข็งแรงมาก
อันแน่นไปด้วยความอบอุ่นและห่วงใยจากกริดอย่างท่วมท้น
‘…เขาใส่ใจเราเสมอ’
และยังศรัทธา
ศรัทธาอย่างแรงกล้าว่าเธอสามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ด้วยปลอกนิ้วที่ทนทานอันนี้
“เอาล่ะ มาทำให้ดีที่สุดดีกว่า”
จิสึกะดื่มด่ำไปกับความตื้นตันสักพักก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง
บนภาพฉายโฮโลแกรมหน้าแคปซูล
กริดกำลังสร้างความยิ่งใหญ่ต่อหน้าคนทั่วโลก
เป็นความรู้สึกแสนวิเศษเมื่อได้เห็นชายคนนี้กำลังไปได้ดี
ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่นไม่ผิดจากความคาดหมาย
เฉกเช่นที่กริดเชื่อใจตัวจิสึกะ จิสึกะก็เชื่อในกริด
‘ผ่อนคลายและสู้อย่างเยือกเย็น’
เราจะปกป้องหมู่เกาะเบเฮ็นจนถึงที่สุด…
หญิงสาวลั่นวาจาพลางกินแท่งพลังงานรสนมกล้วย และถั่วรถไก่เผ็ด
เป็นการฝึกตัวเองให้คุ้นชินกับรสชาติของเกาหลี
แม้ว่ามันจะบิดเบี้ยวและขัดแย้งกับธรรมชาติของเธอก็ตาม
หลังจากเติมสารอาหารเสร็จ เธอทิ้งตัวนอนลงบนแคปซูล
***
จอมอสูรลำดับแปด บาร์บาทอส คือสัญลักษณ์แห่งความตาย
ตราบใดที่เหยื่ออยู่ใน ‘ระยะมองเห็น’ มันสามารถซุ่มยิงได้โดยไม่สนใจระยะทางและภูมิประเทศ จึงมักถูกเรียกขานว่าเทพแห่งความตาย
เป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกกราบไหว้บูชา
พลังในการปลิดชีพศัตรูโดยไม่สนใจกฎแห่งมิติ เพียงพอแล้วที่จะทำให้มันตกเป็นเป้าความศรัทธาของสิ่งมีชีวิต
แตกต่างจากสตริโอ้ที่สูญเสียตัวตนเพราะคอยกลืนกินวิญญาณคนตายเพื่อให้มีพลังทัดเทียมเทพ บาร์บาทอสสามารถกลายเป็นเทพอสูรตัวจริงจากความศรัทธาของบรรดาอสูรในนรก
นั่นคือเรื่องราวก่อนที่เลอราเฆ่จะผงาด
ย้อนกลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน
เลอราเฆ่ที่กลับมาพร้อมตำนานไร้พ่ายบนหมู่เกาะเบเฮ็น กลายเป็นเป้าศรัทธาคนใหม่
ไม่อย่างนั้นบาร์บาทอสคงสั่งสมบารมีเทพสำเร็จได้ด้วยการผูกขาดความศรัทธาของเหล่าอสูรไว้เพียงผู้เดียว
‘อะไรกัน…’
ภายในราชสำนักจักรวรรดิ ห้องบรรทมของจักรพรรดินีบาซาร่า
บาร์บาทอสซึ่งใช้ที่นี่เป็นจุดซุ่มยิง ภายในใจเต็มไปด้วยความฉงน
เพราะกริดสามารถหลบหลีกและปัดป้องการยิงของมันได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งที่กำลังสู้กับบาเอล
กริดกำลังทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
‘บาเอลไม่ได้เอาจริง?’
เป็นธรรมดาที่จะคิดเช่นนี้
แม้บาร์บาทอสจะฝักฝ่ายบาเอล แต่ก็มิได้เชื่อใจเต็มร้อย
บาเอลอาจทราบว่ามันกำลังเล็งชิงบารมีเทพไปจากกริด จึงพยายามขัดขวางทุกวิถีทาง
บาร์บาทอสสบถพร้อมกับรำพันว่า คนที่สามารถทำเรื่องชั่วช้าแบบนี้ได้ บนโลกคงไม่มีอีกแล้ว
ทันใดนั้น
‘…หรือไม่ใช่?’
รอยยิ้มบนใบหน้าบาเอลเริ่มบิดเบี้ยว
วาบ!
เป็นครั้งแรกที่บาร์บาทอสต้องสั่นระริกไปทั้งร่าง
***
ฉึบ!
ด้ายเงินส่วนบนสั่นสะเทือนพร้อมกับส่งสัญญาณ
ในระหว่างกำลังพุ่งเข้าหากริด บาเอลกระทบกับด้ายเงินกึ่งล่องหน
ส่งผลให้กริดทราบตำแหน่งบาเอลก่อนที่ประสาทสัมผัสเหนือมนุษย์จะถูกกระตุ้น
ชายหนุ่มทำนายการโจมตีถัดไปจากอุปนิสัยและลักษณะการใช้กำปั้นของบาเอล
นี่คือช่วงเวลาที่สมองของกริดประมวลผลได้ทัดเทียมอัจฉริยะตัวจริง
เปรี้ยง!
“…ฮะฮะ!”
บาเอลที่ถูกสวนกลับการโจมตี ระเบิดเสียงหัวเราะ
ใบหน้าของมันยับย่นราวกับกระดาษถูกขยำ นี่ไม่ใช่การแสดงอารมณ์ แต่เป็นเพราะกล้ามเนื้อใบหน้าได้รับความเสียหาย
ฟ้าว!
ดาบของกริดเร่งความเร็วขึ้น
ไม่สิ แค่ดูเหมือนกำลังเร่งความเร็ว
แต่ความจริงแล้วดาบกำลังขยายขนาด
ดาบอันแหลมคมที่ยืดยาวออกโดยมีมานา เลือด และปราณต่อสู้ห่อหุ้ม ฟันใส่หัวไหล่บาเอลอย่างจังหลังจากปัดป้องการยิงของบาร์บาทอส
‘ง่ายชะมัด’
นั่นคือสิ่งที่กริดสัมผัสได้
เป็นผลจากความช่วยเหลือของประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณซึ่งส่วนใหญ่มักพบในอัจฉริยะ
ข้อมูลจากด้ายเงินที่เชื่อมระหว่างหัตถ์เทวะสามสิบข้างซึ่งอยู่ห่างจากกริดออกไปห้าเมตร ได้เปิดโลกใบใหม่ให้ชายหนุ่มโดยสมบูรณ์
เป็นสัมผัสที่ช่วยบ่งบอกว่าการโจมตีกำลังจะมาจากทิศใดและเข้ามาในลักษณะใด
สิ่งนี้แตกต่างจากประสาทสัมผัสเหนือมนุษย์และเนตรมองทะลุ
ประสาทสัมผัสเหนือมนุษย์จะเตือนเมื่อมีภัยคุกคามกำลังย่างกรายเข้ามา จากนั้นก็จะช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองโดยไม่สามารถอ่าน ‘รูปร่าง’ ของภัยคุกคามได้อย่างละเอียด
ส่วนเนตรมองทะลุมีข้อจำกัดสำคัญก็คือ ‘ต้องใช้ตามอง’
แน่นอนว่าความสามารถข้างต้นยอดเยี่ยมมาก แต่ยังไม่สะดวกสบายเท่า ‘รับรูปทุกสิ่งภายในรัศมีห้าเมตรตลอดเวลา’
เคร้ง! เคร้ง!
ชิ้ง!
ดาบที่ฟันเป็นแนวนอนเริ่มบิดเอียงและตวัดเสยขึ้นด้านบน
เกิดเสียงแหวกอากาศขณะดาบถูกลากไปในแนวเฉียง จากนั้นก็หยุดกลางคันและอันตรธานหายไปอย่างน่าฉงน
สิ่งนี้เกิดจากการใช้ท่ารำดาบในจังหวะที่ยากจะคาดเดา ส่งผลให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้โดยไม่สนใจกฎแห่งฟิสิกส์
นี่มิใช่วิชาดาบที่ลึกซึ้งหรือเป็นระเบียบแบบแผน
แต่เป็นการฟันโดยตอบสนองจากข้อมูลที่ส่งผ่านประสาทสัมผัสใหม่
มันจึงรับมือได้ยาก
ท่ารำดาบกริดที่เคยถูกอ่านทางได้ง่ายเพราะความตายตัว แปรเปลี่ยนเป็นท่วงท่าที่สง่างามและเต็มไปด้วยปริศนา
‘เป็นคนที่น่าสนใจมาก’
บาเอลจับแขนซ้ายที่กำลังสั่นระริกแผ่วเบา
หลังจากปะทะกันไม่กี่กระบวนท่า มันมองเห็นแก่นแท้ของประสาทสัมผัส ‘เทียม’ ของกริด
‘แข็งแกร่งยิ่งกว่าสภาหอคอย’
ใบหน้าบาเอลกำลังฉาบไปด้วยความชื่นชม
มันทึ่งที่เห็นกริดพัฒนาตัวเองภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาที
ย้อนกลับไปในตอนที่ได้ครอบครองร่างซิก
บาเอลตรวจสอบและประเมินว่าร่างนี้ทัดเทียมกับ ‘สภาหอคอยระดับสูง’
แต่เนื่องด้วยคุณภาพสมองการปรับแต่งแก่นมานา บาเอลสามารถควบคุมจันทร์ขุมนรกได้ดังใจนึกและเชื่อว่าตนสามารถเล่นสนุกบนโลกมนุษย์ได้อีกสักพักใหญ่
แต่กลับต้องผิดคาด
แทนที่จะได้สนุกไปอีกสักระยะ ชะตากรรมของมันกลับกำลังถูกตัดสินในวินาทีปัจจุบัน
‘ไม่มีใครเทียบได้’
นั่นคือข้อสรุปของบาเอลเมื่อนำกริดไปเทียบกับเหล่าอัจฉริยะในอดีต
บาเอลเคยเห็นโลกถูกทำลายและสร้างใหม่นับครั้งไม่ถ้วน
ในช่วงเวลาดังกล่าว อัจฉริยะที่มันพานพบมีมากกว่าดาวบนฟ้า แต่กระนั้นบาเอลกลับคิดว่ากริดยอดเยี่ยมที่สุด
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น
มาดราต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีในการกลายเป็นนักล่ามังกรหรือผู้ส่งหารเทพ แต่ชายตรงหน้ามีอายุน้อยกว่ามารดาในตอนที่ตายเสียอีก
‘เรื่องราวดำเนินมาถึงโลกใบสุดท้ายแล้วหรือ… ไม่น่าเชื่อ’
“ถ่วงเวลาไปก็เปล่าประโยชน์ เอาจริงสักที”
กริดกล่าวพลางปัดกระสุนจากการซุ่มยิงของบาร์บาทอส
ชายหนุ่มไม่มีเจตนาจะยั่วยุบาเอล
มันกำลังสนุกกับช่วงเวลาตรงหน้า
เป็นความสนุกสนานและตื่นเต้นอันเกิดจากการควบคุมกระแสสงครามและก้าวข้ามขีดจำกัด
นอกจากนั้น จิตใจยังปราศจากภาระ
ตามปรกติแล้ว การต้องเพ่งจิตเพื่อตรวจสอบประสาทสัมผัสจะสิ้นเปลืองพลังใจอย่างมาก แต่สัมผัสใหม่ของกริดนั้นเป็นของเทียม
เนื่องจากเป็นการพึ่งพาพลังแห่งไอเท็ม ภาระทางใจจึงต่ำมาก
แถมประสิทธิภาพก็ยังสูงกว่าประสาทสัมผัสของเหนือมนุษย์
ค่าเรี่ยวแรงของกริดบั่นทอนช้าลงจากปรกติหลายเท่า
ค่าเรี่ยวแรงในช่วงเจ็ดนาทีหลัง ลดลงน้อยกว่าช่วงหนึ่งนาทีแรกที่สู้กับบาเอลเสียอีก
“ข้าไม่มีพลัง”
ดวงตาทั้งสองข้างของบาเอลที่กำลังยิ้ม ลุกโชนไปด้วยพลังเวทสีแดง
จากนั้นปราณอสูรที่คอยห่อหุ้มร่างซิกไว้ตลอดเวลา ระเหยขึ้นไปด้านบนประหนึ่งควัน
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชวนให้นึกถึง ‘ร่างมืด’ ของกริดในอดีต
ร่างซิกแปรเปลี่ยนเป็นเผ่าอสูร ส่งผลให้แขนซ้ายถูกฟื้นฟูในพริบตา
“สำหรับข้า… นี่คือขีดจำกัด”
อีโก้ของบาเอลในปัจจุบันเป็นเพียงเศษชิ้นส่วน
ไม่มีทางสำแดงพลังอำนาจที่แท้จริงของบาเอล รวมถึงการอัญเชิญนรกขุมที่หนึ่ง
เป็นคนละขอบเขตกับการควบคุมจันทร์ขุมนรกโดยสิ้นเชิง
บาเอลทำได้มากที่สุดเพียงเท่านี้
และมันคิดว่าเท่านี้ก็คงเพียงพอ
“ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”
ลมตะวันออกพัดผ่านมา?
ปราณอสูรที่ปกคลุมร่างกายบาเอลกำลังสั่นไหว
จากนั้นก็เกิดคลื่นกระเพื่อมเป็นวงกว้าง
แรงระเบิดอันหนักหน่วงปะทุขึ้นในทิศทางตรงกันข้ามกับปราณอสูรที่สั่นไหว
ค่ายฝึกทหารทั้งเจ็ดแห่งที่คอยปลุกปั้นกองทัพจักรวรรดิ ถูกลบหายไปในพริบตาอย่างไร้ร่องรอย
เช่นเดียวกับกริดที่เคยลอยอยู่ในทิศทางดังกล่าว
“อะ…!”
นับตั้งแต่กริดปรากฏตัวจวบจนปัจจุบัน
เหล่าขุนพลโอเวอร์เกียร์ที่รับคำสั่งจากลอเอลให้ควบคุมการล่าถอยของทหาร ต่างพากันยืนแข็งทื่อประหนึ่งรูปปั้น
พวกมันกำลังจินตนาการผลลัพธ์ของระเบิดจากระยะไกล แต่ทันใดนั้นก็ตระหนักว่าเพลงธีมของกริดเงียบไปแล้ว
กริดไม่โผล่ออกมาแม้แต่เงา
หรือว่า…
ก่อนที่ใครจะคาดเดาสิ่งใด
—!
แสงอันเจิดจ้าสว่างขึ้นในจุดที่บาเอลกำลังยืน เพลงธีมของกริดดังขึ้นอีกครั้ง
ร่างกายบาเอลพร่ามัวทันทีพร้อมกับกลายเป็นเส้นสีดำ
ถักทอเข้ากับเส้นสีส้มด้านบน
ทุกครั้งที่เส้นสีดำและสีส้มปะทะกันจะเกิดเสียงคำรามราวกับฟ้าร้อง
“กริด!!”
จากด้านข้างราชสำนักจักรวรรดิ
พร้อมกันกับเสียงตะโกนอันเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของบราฮัมซึ่งหาฟังได้ยาก เวทมนตร์กลุ่มหนึ่งถูกยิงขึ้นมา
คลื่นเวทมนตร์ขนาดมหึมาปกคลุมท้องฟ้าด้วยหลากสีสัน
บึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้ม!!
เมื่อเส้นสีดำแปรเปลี่ยนเป็นจุดสีดำที่มีขนาดใหญ่ขึ้น คลื่นเวทมนตร์พลันเลือนหายไปจากท้องฟ้า
บาเอลทำพลาดมหันต์
ขณะมันป้องกันตัวเองจากคลื่นเวทมนตร์ที่ปกคลุมท้องฟ้า อุกกาบาตพุ่งลงมาจากอวกาศ
คลื่นเวทมนตร์ปริมาณมหาศาลที่ฉาบปิดผืนนภา แท้จริงแล้วเป็นแค่ตัวล่อความสนใจ
“แย่ล่ะสิ…!”
ใบหน้าแวนเนอร์ซีดเผือดทันที
คงเพราะร่างกายในปัจจุบันของบราฮัมไม่สมบูรณ์พอที่จะฝืนอัญเชิญอุกกาบาตสิบลูก บราฮัมบนระเบียงจึงออกอาการซวนเซ
ขณะเดียวกัน ภายในวังหลวงเกิดระเบิดลูกใหญ่จนบราฮัมกระเด็นตกจากระเบียง ไคล์ที่เห็นฉากดังกล่าวจึงรีบพุ่งไปรับด้วยร่างที่หุ้มด้วยไฟฟ้า
มันกำลังสิ้นหวังเมื่อพบว่าตนถูกไล่ตามโดยอสูรที่แข็งแกร่งแปดตนซึ่งล้วนมีคำนำหน้าชื่อว่า <ครอบครัวของบาร์บาทอส>
บึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้ม!!
วังถล่มลงมาบางส่วนพร้อมกับเสียงระเบิดจากด้านใน
พิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าเมอร์เซเดสและอัสโมเฟลกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับบาร์บาทอส
“บัดซบ!”
แวนเนอร์รีบสับเท้าวิ่งโดยไม่ใช้สมองคิด
ภารกิจของมันคือการล่าถอยไปพร้อมกับทหารอย่างปลอดภัย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มันกัดฟันละเลยภารกิจ เพราะเชื่อว่าหากตนไม่ได้ทำตามสิ่งที่หัวใจกำลังเรียกร้อง มันจะนึกเสียใจกับวินาทีนี้ไปตลอดชีวิต
“เฮ้! พวกเราไปด้วย!”
“เราทุกคนจะไปด้วย!!”
“พวกนาย… ไอ้พวกบ้า…”
แวนเนอร์รีบหันไปมองเสียงที่ดังตามจากด้านหลัง
มิใช่เพียงเหล่าขุนพลของโอเวอร์เกียร์ แม้แต่กองกำลังพันธมิตรก็กำลังไล่ตามมา
แม้จะกำลังนำพาชีวิตของพวกพ้องคนสำคัญไปเสี่ยงอันตราย แต่แวนเนอร์กลับรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่พูด บรรยากาศอันเร่าร้อนที่อัดแน่นไปด้วยมิตรภาพทำให้มันหลงลืมความเป็นเหตุเป็นผลไปชั่วคราว
ทันใดนั้นเอง
แกร่ก! แกร่ก! แกร่ก! แกร่ก!
มันได้ยินเสียงอันน่าขนลุกที่ไม่เข้ากับบรรยากาศ
ทุกคนที่เงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าต่างได้พานพบความประหลาดใจ เพราะอุกกาบาตที่เคยลุกไหม้กลับกำลังถูกแช่แข็ง
เวทอุกกาบาตที่เกิดจากการรีเซตระยะหน่วงด้วยพลังเฮือกสุดท้ายของบราฮัม ปัจจุบันกลายเป็นเพียงก้อนน้ำแข็ง
“นี่คือพลังของซิก… ยอดเยี่ยมสมกับที่รีเบคก้าเป็นผู้มอบให้”
อักขระจำนวนมากกำลังรายล้อมบาเอล
ตามด้วยฉากอันแสนสิ้นหวัง
เพล้ง—! เพล้ง เพล้ง เพล้ง เพล้ง!
อุกกาบาตน้ำแข็งทยอยถูกป่นจนแหลกละเอียด
เหลือเพียงหนึ่งลูก
“…!”
ดวงตาบาเอลพลันเบิกโพลงขณะถูกอุกกาบาตน้ำแข็งที่ยังหลงเหลือบดขยี้ใบหน้า
จากอุกกาบาตทั้งสิบลูก มีหนึ่งลูกที่เล็กที่สุด
มันทำจากโลหะ
โลหะที่เกิดจากเจตจำนงของกริด
“ย๊ากกกก!”
กริดปรี่เข้าหาบาเอลที่เสียหลักร่วงหล่น
ดาบจันทราดับ สะพรั่งร่ายรำทำลายล้างสยบสังหาร ดาบถล่มทัพห้าแสน และการใช้เสมือนเทพเพื่อล้างระยะหน่วงและปลดปล่อย คลื่นทำลายล้างมายาร่ายรำสังหาร ออกมาอีกระลอก การโจมตีทั้งหมดปะทะร่างบาเอลอย่างไร้ความปรานี
ระหว่างนั้น แขนขากริดหักบิดผิดรูปอย่างน่าสยดสยอง กระดูกข้อมือข้างที่ถือดาบแตกหัก แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากดาบ
แม้ใบหน้าและแผ่นอกกว่าครึ่งจะถูกบาเอลฉีกทำลายด้วยท่าสวนกลับ แต่กริดยังคงกัดฟันอดทน
สติที่กำลังเลือนรางถูกปลุกให้ตื่นโดย ‘แสงจ้า’ ของภูตแสง
ขณะเดียวกันก็สั่งให้หัตถ์เทวะคอยประคองข้อมือ เอว และหัวไหล่
“ทางซ้าย!!”
“ขยับไหล่มากขึ้นอีกนิด!”
โนเอะและแรนดี้คอยเป็นตา
เปรี้ยง!!
ท่ารำดาบถูกปลดปล่อยอย่างแม่นยำ
“…คึฮะ! คึฮะฮะฮัก!!”
ไม่มีใครทราบว่าเสียงร้องของบาเอลเป็นการหัวเราะหรือครวญคราง
โครมมมม!!
ทันทีที่ร่างกระทบพื้น บาเอลแน่นิ่งไปทันที
“…”
ยังไม่มีใครปักใจเชื่อในสถานการณ์ตรงหน้า
ทุกคนเฝ้าระวังบาเอลที่กำลังนอนนิ่งด้วยความหวาดระแวง
ท่ามกลางความเงียบ กริดย่างกรายไปหาร่างบาเอล
ชิ้ง!
ดาบสองเล่มที่ถูกผสานเป็นหนึ่งเดียว แยกตัวออกจากกันและกลับเข้าช่องสัมภาระ
ลำตัวที่ขาดแหว่งและท่อนขาที่สั่นระริกถูกปกปิดด้วยเสื้อคลุม ใบหน้าที่เสียหายไปกว่าครึ่งถูกปกปิดด้วยหัตถ์เทวะ
มันมิอาจแสดงความอ่อนแอต่อหน้าผู้คน
สิ่งนี้คือภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่
เป็นความรับผิดชอบที่วีรบุรุษต้องแบกไว้บนบ่า
[ชิ้นส่วนอีโก้ของจอมอสูรลำดับหนึ่ง บาเอล ถูกทำลาย]
รอตอนต่อไปคงรับ สนุกมาก
ReplyDelete