จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,480
แคร้ง แคร้ง แคร้ง
เมื่อกลับถึงโรงตีเหล็ก สภาพจิตใจของกริดผ่อนคลายขึ้นมากและพร้อมทำงาน สิ่งนี้มิได้เกิดจากระบบฟื้นฟูภายในเกมหรือปัจจัยด้านนามธรรมอันที่น่าเหลือเชื่ออย่างการสังเกตเห็น ‘กับดัก’ ในระบบเสริมแกร่งโลกจินตภาพและการตระหนักถึงตัวตนของนักล่าเทวะตำนาน
แต่เกิดจากการกัดฟันอดทนรอให้ถึงเวลาล็อกเอาต์อัตโนมัติจากระบบและกลับไปพักผ่อนยาวๆ รวดเดียว นอกจากนั้นผลการทดสอบพลังมิคาเอลก็ยังช่วยให้จิตใจชายหนุ่มผ่อนคลายมากขึ้น
“…”
กริดที่กำลังดำดิ่งอยู่ในโรงตีเหล็กเริ่มแตกตื่นเมื่อสัมผัสอันเฉียบแหลมที่ถูกขัดเกลาตระหนักถึงบางสิ่ง
จมูกของมันตรวจพบกลิ่นขี้ผึ้งจางๆ ท่ามกลางกลิ่นไม้ฟอสฟอรัสขาวที่ลุกโชน
‘ขี้ผึ้ง?’
กลิ่นแอมโมเนียเจือจางลอยมาแตะปลายจมูก เป็นสิ่งที่ไม่เข้ากับโรงตีเหล็กโดยสิ้นเชิง และอาจเป็นเพียงกลิ่นอ่อนๆ แต่ก็สามารถจำแนกให้อยู่ในระดับ ‘เหม็น’
กริดหันหน้าไปมองโดยไม่หยุดการกระทำ และเห็นชายวัยกลางคนที่คุ้นเคยกำลังเดินเข้ามาในโรงตีเหล็ก
อีกฝ่ายคือชายเจ้าของบุคลิกยอดเยี่ยม คิ้วดกหนา และดวงตาดุดัน มัดกล้ามแขนที่ค่อนข้างลีนทำให้ดูเหมือนกับยังหนุ่มแน่น แต่ความจริงแล้วเป็นตาแก่ที่อาศัยอยู่บนโลกมานานกว่าร้อยปี
“บีบัน!”
เหล่าสภาหอคอยต่างเคยช่วยกริดไว้หลายเรื่อง
ลำดับหนึ่ง ฮายาเตะยอมแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเหล็กมังกรคลั่งและเนเฟลิน่า แถมยังมอบปราณดาบอนันต์กับเกล็ดมังกรเป็นของขวัญ
ลำดับสาม ลาร์ดวูล์ฟทั้งมอบสูตรการผลิตจักรกลเวทมนตร์และเหล็กแสงจันทร์ แถมยังคอยแนะนำอีกหลายเรื่อง
ทางด้านบีบันเองก็เคยช่วยกริดพัฒนาวิชาดาบราชาไร้พ่าย แถมยังใจกว้าง (?) ยอมสอน ‘พลังจิตไร้เทียมทาน’ และอนุญาตให้ถ่ายทอดไปยังเมอร์เซเดสกับปิอาโร่ได้
“ยินดีต้อนรับ ไม่ได้พบกันนานเลยนะ ดีใจที่ได้เจอกันอีก”
กริดฉีกยิ้มพลางวางค้อนลงขณะทักทายบีบัน
“ฮะฮะ ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”
บีบันเองก็เผยรอยยิ้มสดใส
หากคนอื่นมาเห็นฉากนี้เข้าคงรู้สึกขนลุกไม่น้อย
ในฐานะผู้คิดค้นวิชาดาบไร้เทียมทานที่ดุดันและพลิ้วไหวราวกับสายน้ำชนิดจับตัวได้ยาก บีบันแทบไม่ค่อยแสดงไมตรีกับใครมากนัก อาจมีบ้างที่ชื่นชมมุลเลอร์ซึ่งมีพรสวรรค์สูงกว่าตน แต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีอ่อนโยนกับใครเท่านี้
“ผลงานของเจ้ามีคุณภาพสูงขึ้นไปอีกระดับ… คงพยายามอย่างหนักเลยสินะ”
บีบันกวาดสายตามองไอเท็มในโรงตีเหล็กพลางกล่าวชม ‘ช่างตีเหล็ก’ กริด
“บีบันก็เหมือนกัน…”
พิจารณาจากกลิ่นขี้ผึ้งและแอมโมเนีย อีกฝ่ายคงเพิ่งเสร็จภารกิจขัดหอคอยมาได้ไม่นาน กริดชื่นชมที่ชายคนนี้มีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัด
ขณะกริดเตรียมกล่าวชมเพิ่มเติม มันปิดปากลงเนื่องจากรู้สึกว่าการชมเกี่ยวกับการทำความสะอาดคงไม่เหมาะสม และเตรียมมองหาคำชมเชยใหม่เพื่อรักษามารยาทการสนทนา
แต่ดูเหมือนว่าจะมิอาจทำได้ในทันที
“เอ่อ… อะ…”
กริดที่พูดไม่ออกเริ่มทำสีหน้าซับซ้อน ส่งผลให้บีบันเริ่มตระหนักถึงความผิดปรกติ
กริดกล่าวต่อ
“…ผมเองก็คิดว่าคุณพัฒนาขึ้นมาก บีบัน ครั้งสุดท้ายที่เราได้พบกัน ผมแค่มองคุณเป็นชายที่ยอดเยี่ยมเฉยๆ แต่ตอนนี้เมื่อได้พบกันอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน ผมกลับรู้สึกชื่นชมและนับถือคุณจากใจ เป็นความนับถือที่มาพร้อมความยำเกรง…”
“…”
ขณะกริดสาธยาย สีหน้าบีบันเปลี่ยนไปเล็กน้อย รอยยิ้มอาจยังคงอยู่ แต่ดวงตากลายเป็นเฉยเมยและเย็นชา
‘เราพูดอะไรผิดไปไหม?’
กริดที่เริ่มกังวลตัดสินใจปิดปากเงียบ
บีบันที่ทนฟังต่อไปไม่ไหวพูดขึ้น
“ข้าพยายามทำความเข้าใจเพราะเจ้าเป็นรุ่นใหม่ แต่ตอนนี้ข้าคงทำเป็นนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้… ขอยกตัวอย่างมุลเลอร์ ในตอนที่เจ้านั่นพบข้าและรู้ว่าข้าเป็นใคร เขารีบโค้งศีรษะคำนับอย่างนอบน้อมเพื่อแสดงความนับถือบรรพบุรุษ… และในตอนที่ข้าเองยังหนุ่ม ข้าไม่ลังเลเลยที่จะก้มศีรษะให้กับบุคคลใดก็ตามที่สามารถจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ แต่เจ้ากลับแค่ ‘ค่อนข้าง’ เคารพข้า? นั่นไม่ใช่ปัญหาในการประเมินคน แต่เป็นปัญหาที่มารยาทของเจ้า”
“…”
“จนกระทั่งเจ้าบอกว่าในท้ายที่สุด เจ้ายอมเคารพข้าอย่างแท้จริง? ต้องการให้ข้าแสดงท่าทีเช่นไรกับคำพูดนี้? ขอบใจที่เคารพกัน? ตัวข้าเป็นแค่คนแก่ที่ใกล้ร่วงโรย หากต้องคอยเก็บซ่อนอารมณ์ที่คุกรุ่นภายในใจจนเกิดสติแตกขึ้นมา เจ้าจะรับผิดชอบได้ไหม?”
“…”
หมอนี่มาหาเราทำไม?
ความตื่นเต้นของกริดพลันหดหายและเหลือทิ้งไว้กับความทุกข์ระทม มันได้แต่ภาวนาให้บีบันรีบเข้าประเด็นเร็วๆ เพราะความรู้สึกส่วนตัวของอีกฝ่ายซับซ้อนเกินกว่าจะทำความเข้าใจได้
“แค่พูดไม่กี่คำเจ้าก็อึดอัดเสียแล้ว? ข้ายอมมอบคำแนะนำที่กลั่นออกมาจากก้นบึ้งหัวใจเพราะต้องการเห็นชนรุ่นหลังเป็นคนที่ดีขึ้น ถ้าเจ้าเอาแต่ทำท่าทางอึดอัดและหวาดกลัวเช่นนี้ แล้วข้ายังจะพูดอะไรต่อได้อีก? คิดจะเงียบเป็นคนใบ้ไปตลอดรึไง?”
“…ผมขอโทษ”
กริดเพิ่งนึกได้เมื่อสายว่าบีบันเป็นคนเช่นไร จึงยอมก้มศีรษะโดยไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความ
จากประสบการณ์ในอดีต การแสดงความขอโทษอย่างจริงใจกับบีบันจะช่วยให้ลงเอยด้วยดี แต่ถ้าคิดโต้แย้งเพียงสองสามคำ จะต้องทนฟังเสียงบ่นไปอีกนับร้อยคำ
ลงเอยด้วย กริดยอมขอโทษแม้ว่านั่นอาจจะไม่ช่วยให้บีบันรู้สึกดีเต็มร้อย
พวกเด็กสมัยนี้…
บีบันส่ายหน้า
“ถึงขั้นนี้แล้ว แม้ข้าจะโกรธและเสียใจ แต่ในฐานะผู้อาวุโส ข้าจะพยายามทำความเข้าใจเด็กรุ่นใหม่ก็แล้วกัน เพราะดูเหมือนว่าเจ้าเองก็พัฒนาขึ้นไม่น้อย พอจะเข้าใจได้ว่าการประสบความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ อาจทำให้ตื่นเต้นจนขาดมารยาท”
บีบันเป็นคนที่มองคนไม่เก่ง ไม่เหมือนกับที่มองตัวเองไว้สมบูรณ์แบบเสียเต็มประดา
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเป็นสภาหอคอย แต่ปัญหาอยู่ที่บุคลิกส่วนตัวของมันซึ่งค่อนไปทางเกรี้ยวกราด อาจเป็นเอกลักษณ์ของเหล่าอัจฉริยะที่มักจะมีมุมบ้าๆ ในตัว ส่งผลให้บีบันตัดสินคนด้วยเลเวลเป็นหลัก มองว่าระดับเลเวลคือตัวกำหนดทุกสิ่ง
นั่นไม่ใช่วิธีที่แย่ เพราะเลเวลเองก็เป็นส่วนแปรผันสำคัญของฝีมือ
แต่ปัญหาคืออีกฝ่ายเป็นกริด ชายคนนี้ไม่ควรถูกตัดสินด้วยเลเวล แต่เป็นสถานะและระดับตัวตน
บีบันมองข้ามประเด็นดังกล่าวโดยสิ้นเชิงทั้งที่ในอดีตก็เคยทำผิดแบบเดียวกันมาแล้ว มันไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด และอาจเป็นเหตุผลที่ถูกสั่งให้ทำความสะอาดหอคอยบ่อยครั้ง
หอแห่งปัญหาสามารถรักษาความสะอาดมาได้นานนับร้อยปีเพราะบีบันคอยสร้างเรื่องอย่างต่อเนื่อง
“ความสำเร็จเล็กๆ …?”
กริดตอบสนองด้วยสีหน้าซับซ้อน แม้จะนับถือในตัวบีบัน แต่มันก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
มันคือผู้เล่นคนแรกที่กลายเป็นคลาสเกรดมิธ เฉกเช่นเหล่าสภาหอคอยทุกคน กริดคือมนุษย์ที่ก้าวข้ามมนุษย์ทั่วไปโดยสมบูรณ์ แถมยังเป็นความสำเร็จที่เกิดจากความมุมานะ
เช่นนั้นแล้วเหตุใดบีบันถึงประเมินว่าเป็นความสำเร็จเล็กๆ?
กริดอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม
มันเริ่มคลางแคลงว่ามาตรฐานของบีบันต้องสูงขนาดไหนกัน โดยสิ่งนี้ไปกระตุ้นให้จิตวิญญาณแห่งการแข่งขันตื่นขึ้น ความอ่อนล้าทางใจถูกขจัดออกไปโดยสมบูรณ์
หลังจากไตร่ตรองสักพัก กริดพบว่าหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ตนประสบความสำเร็จคือ ‘พลังจิตไร้เทียมทาน’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับจากผู้อื่น มิใช่การไขว่คว้าด้วยตัวเอง
ถูกต้อง ดูเหมือนว่ามันจะเย่อหยิ่งเกินไปหลังจากได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนจำนวนมาก
มันผ่อนคลายเกินไปหลังจากปราบมิคาเอลสำเร็จ สมองเอาแต่คิดเรื่องพลังใหม่และนับเวลาการล็อกเอาต์จนหลงลืมว่าตนยังเหลือช่องว่างให้พัฒนาตัวเองอีกมาก ยังเหลือเส้นทางอีกยาวไกลให้ก้าวเดิน
“ขอถามได้ไหม… คุณใช้หลักเกณฑ์ใดประเมินว่าสำเร็จของผมเป็นเรื่องเล็ก?”
“โฮ่?”
บีบันซึ่งทำหน้าบึ้งเพราะไม่ได้รับความเคารพจากกริดเท่าที่ควร เริ่มเผยรอยยิ้มบนใบหน้า
มันเคยทำดีกับกริดหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยแก้ไขวิชาดาบราชาไร้พ่ายและสอนวิถีการดำเนินชีวิต ดูเหมือนว่ารุ่นน้องที่เคยหลงลืมบุญคุณของตนจะกลับมาทำตัว ‘เข้าท่า’ อีกครั้ง
นานมากแล้วที่บีบันไม่ได้เห็นใครสักคนจ้องตนด้วยสายตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการแข่งขัน เพราะแม้แต่มุลเลอร์ก็ยังนอบน้อมต่อมันอย่างไม่มีเงื่อนไขในฐานะผู้คิดค้นวิชาดาบไร้เทียมทาน
อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีน้อยคนนักจะได้พบกับสภาหอคอย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
“นึกว่าเด็กสมัยนี้จะสูญเสียความทะเยอทะยานไปหมดแล้วเสียอีก”
ดวงตาที่เย็นชาของมันเริ่มส่องแสงสีทอง เป็นแสงที่คมกริบราวกับใบมีด สิ่งนี้เป็นผลมาจากทักษะ ‘สำรวจจิตใจ’ ซึ่งจะยิงพลังจิตเข้าไปในร่างกายเป้าหมายเพื่อตรวจสอบ
“เจ้าเป็นเทพมนุษย์สินะ… เมื่อไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป จึงไม่ยอมรับในการประเมินของข้า? ถ้าอยากนั้นลองใช้ร่างกายทดสอบด้วยตัวเองดูไหม?”
ขณะบีบันกำลังตั้งคำถาม
[ค่าความสัมพันธ์กับลำดับเก้าแห่งหอคอย ‘บีบัน’ เพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุด]
[ภารกิจลับ <★ดวลกับอดีตอริยดาบ★> ถูกสร้างขึ้น]
หน้าต่างข้อความระบบปรากฏขึ้นในการมองเห็นของกริด
<ดวลกับอดีตอริยดาบ>
ระดับความยาก: SSS+
อริยดาบบีบัน ผู้คิดค้นวิชาดาบไร้เทียมทานและเป็นสภาหอคอยต้องการมอบบทเรียนให้ท่าน
เนื่องจากทำด้วยเจตนาดี เขาจึงไม่ต้องการฆ่าท่าน
เงื่อนไขสำเร็จภารกิจ: แพ้หรือชนะในการดวล
รางวัลในกรณีที่แพ้: ขึ้นอยู่กับรายละเอียดการต่อสู้
รางวัลในกรณีที่ชนะ: เขี้ยวมังกรศิลา
เป็นภารกิจที่ไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธแม้แต่นิดเดียว เนื่องจากรับประกันของรางวัลไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร แถมยังเป็นภารกิจที่มีระดับความยากสูงที่สุด เรียกได้ว่าเป็นภารกิจในฝันของใครหลายคน
“แน่นอน”
กริดตอบเสียงขรึม
บีบันพึงพอใจกับท่าทีตอบสนองเช่นนี้มาก เพราะนักดาบมักดวลกันเป็นปรกติอยู่แล้ว
ภารกิจแรกเริ่มถูกลืมเลือนไปจนหมดสิ้น มันจำไม่ได้แล้วว่ามาหากริดด้วยจุดประสงค์ใด เป็นอาการเดียวกับโรคความจำสั้น และยังสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมชายบ้าดาบคนนี้ถึงสามารถไต่ขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดได้โดยไม่ออกนอกลู่นอกทางไปจากดาบ
ใช่แล้ว อริยดาบบีบันเป็นสัตว์ประหลาดที่สนใจแต่เพียงการขัดเกลาฝีมือดาบมาเป็นเวลานาน และเนื่องจากยังมีชีวิตอยู่จวบจนปัจจุบัน ความแข็งแกร่งของบีบันจึงก้าวข้ามมุลเลอร์ที่มีพรสวรรค์สูงกว่าตน
อันที่จริงสมญานามอริยดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ควรตกเป็นของบีบัน ไม่ใช่มุลเลอร์ แต่เป็นเพราะบีบันตัดขาดจากทางโลก ประวัติศาสตร์จึงไม่แปรเปลี่ยน เว้นเสียแต่ครอเกลจะพัฒนาตัวเองจนก้าวข้ามมุลเลอร์สำเร็จ สมญานามอริยดาบอันดับหนึ่งจึงจะเปลี่ยนมือ
บีบันไม่ได้ถือสาในเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะถ้ามุลเลอร์อายุยืนเท่าตน มุลเลอร์ก็คงเก่งกว่าอยู่ดี ตัวมันก็แค่โชคดีเพราะอายุยืนมากกว่า
บีบันคิดเช่นนี้มาตลอด ต่อให้ไม่นับความแข็งแกร่ง มุลเลอร์ก็ยังคงเป็นนักดาบที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสายตาบีบัน
“บอกให้คนทำความสะอาดออกไปด้วย”
บีบันซึ่งเดินออกมายังลานโล่งนอกโรงตีเหล็ก ชี้ไปทางเฮสเตอร์ที่กำลังยืนจ้อง
“คนทำความสะอาด? อา… ได้”
ทำไมบีบันต้องพูดถึงอาชีพตัวเอง?
กริดที่ฉงนสักพักหันไปเห็นเฮสเตอร์และส่งสัญญาณขอให้ออกไปก่อน
‘หมอนี่เป็นใครกัน?’
เฮสเตอร์ได้แต่ตั้งคำถามถึงตัวตนของชายวัยกลางคนที่มาเยือนกริดกะทันหัน ขณะเดียวกันก็เดินออกไปอย่างว่าง่าย
มันเดินไปไกลจนกระทั่งไม่ได้ยินสนทนาของทั้งสอง เป็นระยะทางที่ไกลมากเนื่องจากโสตประสาทของมันถูกขัดเกลาจนเฉียบคม การที่ยอมทำถึงขนาดนี้เป็นเพราะเฮสเตอร์รู้จักมารยาท
“ข้าจะให้เจ้าลงมือก่อน เข้ามาได้เลย”
บีบันใช้คางส่งสัญญาณ
เป็นท่าทีที่แตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับเมื่อครั้งที่สอนวิชาดาบแก่กริด
‘ชายคนนี้คืออริยดาบตัวจริง…’
กริดกลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางเปิดใช้งานบัฟทั้งหมดรวมถึงพลังอักขระ มันต้องการจะใช้ประโยชน์จากการโจมตีแรกให้ได้มากที่สุด
“…?!”
ดวงตาบีบันพลันลุกวาว เนื่องจากมันเพิ่งตระหนักว่าแสงสีส้มที่ส่องสว่างในยามค่ำคืนนั้นไม่ได้มาจากเตาหลอมของโรงตีเหล็ก
มือซ้ายที่วางอยู่บนฝักดาบรีบขยับเพื่อทำการเบี่ยงเบนท่ารำดาบของกริดอย่างทันท่วงที
เทคนิคที่มันงัดออกมาใช้คือ ‘อ่อนสยบแข็ง’
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง สภาหอคอยบีบันที่เคยเผชิญหน้ากับมังกรมาแล้ว ประเมินว่า ‘พลัง’ ของตนเป็นรองในการปะทะซึ่งๆ หน้า
Comments
Post a Comment