จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,479
ระบบใหม่ถูกเพิ่มเข้ามาใน ‘อักขระแห่งความตะกละ’
สามารถใช้อักขระเพื่อเสริมแกร่งโลกจินตภาพได้ แต่เงื่อนไขคือการใช้พลังที่ถูกสลักอยู่ในอักขระเป็นแหล่งพลังงาน
อย่างไรก็ตาม ในสายตากริด พลังในอักขระไม่ได้ยอดเยี่ยมไปทั้งหมดอยู่แล้ว โดยเฉพาะพลังที่ได้มาในช่วงแรกๆ ของการเล่นเกม พลังที่ดูดกลืนมาจากจอมอสูรลำดับต่ำ
ชายหนุ่มมองว่าระบบใหม่เป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้ายิ่งอักขระมีความจุใกล้เต็ม โอกาสสุ่มสลักพลังก็ยิ่งน้อย
หลังจากทำลายมิคาเอลเสร็จ หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้กริดอารมณ์ดีก็คือระบบใหม่ของอักขระ
ทว่า
‘…แบบนี้ถูกต้องแล้วหรือ’
กริดค่อยๆ สั่งสมความคาใจและลังเลที่จะเสริมแกร่งโลกจินตภาพในทันที เพราะประสบการณ์ที่เคยมีกับโลกจินตภาพของบราฮัมและฮายาเตะกำลังตักเตือนบางสิ่ง
โลกจินตภาพของบราฮัมเกิดจากการสั่งสมความรู้ ส่วนโลกจินตภาพของฮายาเตะมีปราณดาบอนันต์
โลกจินตภาพของแต่ละคนจะบรรจุแก่นของตัวเองเข้าไว้
แก่นของกริดอาจเป็นช่างตีเหล็ก แต่ ‘ความโลภ’ ก็เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกริดเช่นกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อักขระแห่งความตะกละซึ่งพัฒนาจากการดูดกลืนพลังคนอื่น จะกลายเป็นวัสดุในการเสริมแกร่งให้กับโลกจินตภาพของกริด
‘แต่ถ้าให้เลือก… เราเลือกความสามารถในการตีเหล็กเหนืออักขระ’
ชายหนุ่มเติบโตดังเช่นทุกวันนี้ได้เพราะการตีเหล็ก และการตีเหล็กคือรากฐานที่ทำให้ได้รับอักขระ
แต่ไหนแต่ไร กริดสามารถเติมเต็มความโลภของตัวเองได้ด้วยทักษะด้านการตีเหล็ก
‘…ยิ่งคิดก็ยิ่งดูเหมือนกับระเบิด’
มันเกิดลางสังหรณ์ว่าหากตนทำการเสริมแกร่งโลกจินตภาพด้วยอักขระ รากฐานของตัวเองจะอ่อนแอลง
แน่นอน สิ่งนี้เป็นเพียงสมมติฐาน เป็นการคาดเดาจากสัญชาตญาณล้วนๆ และมีโอกาสสูงที่จะไม่ใช่กับดัก
อย่างไรก็ตาม กริดพบว่าเป็นการยากที่จะสลัดความคิดดังกล่าวออกไป
‘ลองย้อนมองชีวิตในช่วงที่ผ่านมา…’
ทุกสิ่งถูกสะสางได้อย่างราบรื่น การทำงานหนักของกริดได้รับผลตอบแทนยอดเยี่ยมเหนือความคาดหมายเสมอ กลายเป็นคนโชคดีโดยแท้จริงจนเกือบลืมไปแล้วว่า เคราะห์กรรมหน้าตาเป็นอย่างไร
นี่คือธรรมชาติของชายที่ชื่อกริด?
ไม่ใช่ ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา โชคดีและโชคร้ายจะเกิดขึ้นสลับไปมา แต่จากสถิติในช่วงหลัง โชคดีจะเกิดบ่อยกว่าโชคร้ายเล็กน้อย
ทว่า ทุกครั้งที่เริ่มมีโชคขึ้นมา ความซวยจะมาเยือนอย่างเจ็บแสบมากกว่าใคร จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากหลังจากนี้ ดวงดีที่สั่งสมมาจะพลิกผันจากหน้าเป็นหลังมือ
‘เกือบทั้งหมดของโชคร้ายจะเกิดขึ้นในตอนที่เราเผลอ’
กริดไม่ประเมินตัวเองสูงเกินไปนัก และตระหนักรู้อยู่ตลอดเวลาว่าตนไม่ใช่คนฉลาด ในอดีตเคยมีประสบการณ์ต้องนอนจมกองเท้าเพราะความโอหังและบุ่มบ่ามมาแล้ว
ดังนั้น
‘สำหรับการนำอักขระมาเสริมแกร่งให้กับโลกจินตภาพ… เราจะไม่ทำจนกว่าจะมั่นใจได้ว่าปลอดภัย’
กริดตัดสินใจหนักแน่น ยอมอดทนต่อพลังที่ช่างเย้ายวนเสียเหลือเกิน
‘ยังไงเสีย โลกจินตภาพของเราก็แข็งแกร่งมากพออยู่แล้ว’
จากศึกมิคาเอล ชายหนุ่มได้ตระหนักว่าโลกจินตภาพของตนซึ่งมีอำนาจใน ‘ตีบวก’ และ ‘ลดค่าตีบวก’ ทรงพลังมากแค่ไหน จึงปรารถนาพัฒนาการของโลกจินตภาพเป็นอย่างยิ่ง แม้จะไม่ค่อยส่งผลกับศัตรูที่แข็งแกร่งโดยไม่ต้องพึ่งพาอาวุธก็ตาม รวมไปถึงศัตรูที่มีพลังในการสลายโลกจินตภาพซึ่งไม่สมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้โลกจินตภาพจะเป็นระบบที่สำคัญ แต่กริดก็ไม่รีบร้อนยกระดับมันโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง และต้องไม่ลืมว่า ชายหนุ่มเคยเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งมากมายด้วยโลกจินตภาพที่ไม่สมบูรณ์นี้ จึงค่อนข้างน่าขันหากจะรีบร้อนเสริมแกร่งมันส่งเดช
หลังจากยืนกรานหนักแน่นว่าตนจะยอมเพิกเฉยต่อระบบเสริมแกร่งโลกจินตภาพแสนล่อตาล่อใจนี้ไปก่อน กริดกลับมาตรวจสอบพลังมิคาเอลอีกครั้ง
<พลังมิคาเอล>
เสริมแกร่งอาวุธด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ท่วมท้น
เสริมแกร่งได้สูงสุดสามครั้ง แต่ละครั้งจะเพิ่มพลังโจมตี 20% และระยะโจมตีสองเท่า
ทุกการโจมตีจะสร้างเกล็ดแสงกระจัดกระจาย เกล็ดแสงซึ่งอัดแน่นด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์จะสร้างความเสียหายแก่เป้าหมายที่สัมผัส ความรุนแรงแปรผันตามพลังโจมตีของอาวุธ
พลังศักดิ์สิทธิ์: 5,000 หน่วยต่อวินาที
ระยะเวลาเสริมแกร่ง: 1 นาที
ระยะหน่วงหลังใช้: 3 ชั่วโมง
★ หากผู้ใช้งานไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ระบบจะเปลี่ยนไปใช้ทรัพยากรอื่น แต่พลังโจมตีของอาวุธจะเพิ่มขึ้นแค่ 15%
‘ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สุดยอด’
กริดไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ค่าสูงสุดที่ได้รับจากพลังมิคาเอลจึงอยู่ที่ 45% แทนที่จะเป็น 60% ค่อนข้างเป็นเรื่องน่าเสียดายเมื่อพิจารณาว่าศาสตราเทพของกริดแต่ละชิ้นล้วนมากด้วยพลังโจมตี แต่กริดมิได้แยแสสักเท่าไร
ดาบศักดิ์สิทธิ์ของมิคาเอลไม่เพียงจะขยายขนาดทุกครั้งที่พลังศักดิ์สิทธิ์ถูกเพิ่มเข้าไป แต่ส่วนที่ยื่นออกมาก็ยังแข็งแรงทนทานแม้จะต้านรับศาสตราเทพของกริดไว้ได้หลายหน อย่างไรก็ตาม จุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดไม่ใช่ตัวอาวุธ หากแต่เป็นความสามารถในการ ‘ครอบงำ’ พื้นที่โดยรอบ
ทุกการแกว่งดาบของมิคาเอลจะสร้างความพินาศในรัศมีแปดเมตร พร้อมกับป่นศัตรูในทุกตารางนิ้วด้วยการกระจายเกล็ดแสง
หากไม่ใช่เพราะพลังป้องกันและพลังชีวิตของกริดถูกยกระดับขึ้นหลังจากกลายเป็นคลาสเกรดมิธ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชะตากรรมของมันคงจบลงนับตั้งแต่ที่ถูกมิคาเอลถล่มด้วยห่าฝนเกล็ดแสง เพราะต่อให้หลบดาบยาวนั่นได้ แต่เกล็ดแสงโดยรอบก็ยังคงระเบิดและทิ่มแทงอย่างต่อเนื่องโดยไม่เว้นช่องว่างให้พักหายใจ สาเหตุที่ตัวรอดมาได้เป็นเพราะกริดประเมินมิคาเอลเอาไว้สูงตั้งแต่ก่อนเริ่มสู้
เมื่อคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้ว กริดเชื่อว่าความเร็วในการโจมตีของตน สูงกว่ามิคาเอลที่ไม่ได้ใช้ตรีเอกานุภาพ ชายหนุ่มจึงมั่นใจว่าตัวเองสามารถใช้พลังทำลายที่เหนือกว่าในการโค่นมิคาเอลลง
‘แต่แน่นอน เราคงควบคุมเกล็ดแสงเหล่านั้นได้ไม่ละเอียดอ่อนเท่ากับมิคาเอล และคงไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายเท่า… แต่แค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว’
เดิมที เกล็ดแสงของมิคาเอลนั้นเป็นทั้งหอก ระเบิด และแหล่งพลังงานในการฟื้นฟูร่างกาย แต่พลังที่กริดดูดซับเข้ามาในอักขระไม่มีสิ่งเหล่านี้ ถึงจะน่าเสียดาย แต่การมัวเสียใจก็ไม่เกิดประโยชน์
[★ พลังที่สลักอยู่ในอักขระสามารถใช้เป็นทรัพยากรสำหรับเสริมแกร่งโลกจินตภาพ]
แม้จะกำลังอ่านรายละเอียดของพลังมิคาเอล แต่ตัวอักษรที่แจ้งเตือนระบบใหม่นั้นช่างแยงตา
ราวกับมันกำลังกระซิบข้างหูว่า พลังมิคาเอลที่ด้อยลงเนื่องจากกริดไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ สามารถใช้เป็นอาหารให้กับโลกจินตภาพและช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งได้ในพริบตา สิ่งนี้ทำให้กริดเกิดความลังเลอีกครั้ง
‘…กับดัก ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็กับดัก’
มันยังไม่ลืมว่า SA กรุปชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์มากเพียงใด
บางที อีกฝ่ายอาจกำลังตีสองหน้า หน้าหนึ่งทำทีเป็นใจดีสร้างเพลงธีมส่วนตัวให้ ส่วนลับหลังก็แอบใช้มีดเสียบทีเผลอ
นี่คือภัยเงียบที่กริดจะไม่ประมาทเด็ดขาด
“เปิดใช้งานอักขระแห่งความตะกละ”
กริดที่ใจเย็นลงเดินออกจากโรงตีเหล็กมายังพื้นที่เปิดโล่ง จากนั้นก็ชักดาบมังกรเพลิง
ท่ามกลางการชำเลืองมองจากเฮสเตอร์ที่กำลังสู้กับหัตถ์เทวะ กริดใช้พลังมิคาเอลเพื่อเสริมแกร่งดาบมังกรเพลิงให้ท่วมท้นไปด้วยละอองมานาสีส้มสว่าง
หลักการคล้ายกับออร่า เปลี่ยนมานาให้กลายเป็นพลัง เพียงแต่มานานั้นถูกย้อมด้วยสีของกริด
เฮือก
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่ท่วมท้น เฮสเตอร์รับหันมามองและพบว่ากริดกำลังเสริมแกร่งดาบมังกรเพลิงครั้งที่สอง คราวนี้ดาบทั้งเล่มยืดยาวออกพร้อมกับลุกโชนไปด้วยออร่าสีแดง
กริดกำลังใช้เลือดแทนมานา
[พลังของมิคาเอลถูกยกระดับเนื่องจากมีการใช้ทรัพยากรสองชนิดซ้อนทับกัน พลังโจมตีของอาวุธจะเพิ่มขึ้นจากปรกติ 10%]
“…!”
มีระบบลับที่คาดไม่ถึงซ่อนอยู่
กริดดีใจที่การทดลองของตนประสบผลสำเร็จ ด้วยเหตุนี้ ข้อบกพร่องอันเนื่องมาจากการขาดพลังศักดิ์จึงถูกบรรเทาลงมาก และนอกจากนั้น ทรัพยากรที่ใช้สำหรับ ‘คงสภาพ’ การเสริมแกร่งคือ ‘มานา’ หมายความว่ากริดจะสิ้นเปลืองมานาน้อยกว่าเดิม
กริดฉีกยิ้มพร้อมกับเสริมแกร่งดาบมังกรเพลิงเป็นครั้งที่สาม ออร่าสีส้มและสีแดงเลือดผสมผสานกันและม้วนเป็นเกลียวรอบใบดาบ
ทันใดนั้น พลังงานสีแดงสว่างขึ้นราวกับลำแสง ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากปราณต่อสู้
[พลังมิคาเอลถูกยกระดับด้วยการใช้ทรัพยากรที่แตกต่างกันสามชนิด พลังโจมตีของอาวุธเพิ่มขึ้นจากปรกติ 20%]
“ฮะฮะ…”
กริดสามารถใช้พลังมิคาเอลเพื่อเพิ่มพลังโจมตีให้กับอาวุธได้มากถึง 75%
ไม่เพียงจะสามารถลบข้อบกพร่องจากการขาดพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังพัฒนาให้ยอดเยี่ยมกว่าของเก่า
และเหนือสิ่งอื่นใด กริดชอบในความเท่ของมันมากๆ
“กริด…?”
ขณะมุมปากกริดกำลังกระตุก ร่างกายเฮสเตอร์พลันแข็งทื่อ
มันสัมผัสได้ถึงบางสิ่งในวินาทีที่หัตถ์เทวะหยุดเคลื่อนไหว ด้วยสัญชาตญาณและประสบการณ์ของตำนานนักกีฬาอีสปอร์ต เฮสเตอร์มีลางสังหรณ์ที่ค่อนข้างแม่นยำหากเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับเกม
“ดาบเดียว… นายจะหลบหรือป้องกันก็ได้”
กริดเริ่มแกว่งดาบทันที
แม้เฮสเตอร์จะยืนห่างออกไปราวแปดเมตร แต่ดาบที่ห่อหุ้มด้วยทั้งออร่า เลือด และปราณต่อสู้กลับโผล่มาอยู่ที่ปลายจมูกในพริบตา
“บ้าไปแล้ว!”
นี่มันทักษะที่เทวทูตชื่อมิคาเอลใช้ในวาติกันไม่ใช่หรือ?
เฮสเตอร์เองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้ชมสด มันรีบเอนตัวไปด้านหลังพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่เชื่อสายตา
ใบหน้าที่กำลังขาวซีดของเฮสเตอร์กำลังยับยู่ยี่ประหนึ่งหมาพุดเดิ้ล นี่คือผลพวงจากลมกระแทกที่พุ่งปะทะใบหน้า
จิตสังหารที่แผ่พุ่งออกมาพร้อมกับออร่า เลือด และปราณต่อสู้กำลังสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับร่างกายเฮสเตอร์
“…?”
มันหลบดาบได้ฉิวเฉียดก็จริง แต่แผ่นหลังยังคงเย็นวาบไม่แปรเปลี่ยน นั่นก็เพราะเกล็ดแสงปริมาณมหาศาลพุ่งออกจากดาบในทิศทางด้านหน้าเป็นรูปพัด แถมเกล็ดแสงแต่ละชิ้นยังส่งเสียงประหลาด
เฮสเตอร์ที่มีโสตประสาทยอดเยี่ยมทราบทันทีว่าสิ่งใดกำลังจะเกิดขึ้น
‘ระเบิด!’
มันรีบตอบสนองด้วยการเปิดใช้งานพลังของหนึ่งในเจ็ดนักบุญภัยพิบัติเพื่อป้องกันตัว ทว่า พลังดังกล่าวกำลังอยู่ในระยะหน่วงเนื่องจากเพิ่งใช้ไประหว่างที่ฝึกกับหัตถ์เทวะ
เกิดระเบิดกัมปนาทจนผืนดินสั่นสะเทือน ไม่ว่าจะเป็นออร่าสีส้มที่งดงามราวกับพระอาทิตย์ตกดิน เลือดที่แดงฉานราวกับดอกบานชื่นบานสะพรั่ง และปราณต่อสู้ที่โหมกระหน่ำเข้าใส่ประหนึ่งสายฟ้า ทั้งหมดฉีกกระชากร่างเฮสเตอร์จนยับเยิน
มันอดคิดไม่ได้ว่า บางทีศพในเครื่องบินตกเองก็คงมีสภาพไม่ต่างกัน
หลังจากถูกระเบิดหลายระลอกพัดจนกระเด็นไปไกล ร่างเฮสเตอร์ร่วงหล่นพื้นพร้อมกับกลิ้งอีกสองสามตลบ
[พลังชีวิตของท่านลดเหลือค่าต่ำสุด โหมดประลองสิ้นสุดลง]
“…”
นี่คือความรู้สึกของหุ่นฝึก?
ในสภาพนอนแผ่หลา เฮสเตอร์แหงนมองฟ้าพร้อมกับตัดพ้อ
ท่ามกลางข้อความระบบที่เด้งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฮสเตอร์ขบคิดกับตัวเองว่า แบบนี้ก็ไม่เลวนัก เพราะตนทั้งซื้อของจากกริดมาในราคาถูก (?) ทั้งยืมหัตถ์เทวะมาเป็นคู่ซ้อม แถมยังได้รับความช่วยเหลืออื่นๆ เรียกว่าทำตัวเป็นผู้รับฝ่ายเดียวมาตลอด กับแค่ช่วยเล่นบทกระสอบทรายให้กริดบ้างจะเป็นอะไรไป
แต่ถึงจะปลอบใจตัวเองเช่นนั้น เฮสเตอร์อดไม่ได้ที่จะนึกเศร้าใจ
ขณะเดียวกัน กริดกำลังยิ้มกว้าง
[★ พลังที่สลักอยู่ในอักขระสามารถใช้เป็นทรัพยากรในการเสริมแกร่งโลกจินตภาพ]
แม้ว่าหน้าต่างอักขระจะถูกปิดไปแล้ว แต่คำอธิบายของระบบใหม่กลับสว่างขึ้นอีกครั้ง
[ท่านต้องการเสริมแกร่งโลกจินตภาพ? กรุณายืนยัน]
[หากเสริมแกร่งตอนนี้ ท่านจะได้รับโบนัสในฐานะผู้เล่นคนแรกที่เปิดระบบเสริมแกร่งโลกจินตภาพ นอกจากนั้นยังเพิ่มอัตราความสำเร็จขึ้นจากปรกติอย่างมาก]
ไม่เพียงจะได้รับโบนัส แต่ยังเพิ่มอัตราความสำเร็จ?
นี่ไม่ใช่ความเย้ายวนแล้ว แต่เป็นการล่อลวง
ในวินาทีนี้ กริดมั่นใจเป็นอย่างมาก
‘กับระเบิด 100%’
ประสบการณ์ของมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างสูญเปล่า
กริดสลัดความผิดหวังพร้อมกับยืนกรานตอบ ‘ไม่’
หน้าต่างข้อมูลเกี่ยวกับอักขระถูกปิดไปอีกครั้งราวกับขยะถูกทิ้งลงถัง ภายในใจนึกเย้ยหยันการล่อลวงห่วยๆ ของประโยคที่ระบุว่า ‘เพิ่มอัตราความสำเร็จขึ้นอย่างมาก’ แทนที่จะเป็น ‘สำเร็จอย่างไร้เงื่อนไข’
และทันใดนั้น
[ท่านปฏิเสธโอกาสในการเป็นผู้เล่นคนแรกที่ได้เสริมแกร่งโลกจินตภาพ]
[นักล่าเทวตำนานให้ความสนใจในตัวท่าน]
[วิญญาณแห่ง ‘สุสานไร้ผู้สืบทอด’ ขอยกย่องจิตวิญญาณของผู้ที่กล้าละทิ้งเส้นทางสบายและแสวงหาบททดสอบ]
[ร่างกายและจิตใจที่ยังไม่สมบูรณ์แบบของท่านกำลังมองหาความสมดุล]
“หือ…”
ข้อความระบบที่ไม่มีใครคาดคิดปรากฏขึ้น
ดูเหมือนว่าสุภาษิต ‘เรียนรู้จากอดีต’ จะไม่ได้ถูกกล่าวขึ้นมาลอยๆ
หลังจากทดสอบพลังมิคาเอลเสร็จ กริดทำหน้าพึงพอใจขณะเดินกลับเข้าไปในโรงตีเหล็ก
“นี่มัน… หมายความว่ายังไง?”
หมอนั่นออกมาอัดเราหนึ่งครั้งแล้วก็จบ?
กระสอบทรายที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพัง ไม่สิ เฮสเตอร์พยุงตัวลุกขึ้นยืนพลางพึมพำ จากนั้นก็เริ่มเก็บกวาดลานกว้างเล็กๆ ที่พังพินาศเพราะแรงระเบิดหลายระลอก มันเชื่อว่าตนมีหน้าที่ต้องเก็บกวาด เพราะเป็นคนเอ่ยปากขอยืมพื้นที่ตรงนี้ในการฝึกซ้อม
ขณะเฮสเตอร์กำลังเก็บกวาดด้วยความงงงวย มันได้ยินเสียงมาจากด้านหลังโรงตีเหล็ก
เฮสเตอร์ที่พัฒนาประสาทสัมผัสจนเฉียบแหลมถึงขั้นสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าจากระยะไกล ค้นพบแหล่งกำเนิดเสียงใหม่ที่คนทั่วไปไม่น่าจะตระหนักถึง หรือต่อให้ได้ยินก็คงคิดว่าเป็นแค่เสียงธรรมดา
เฮสเตอร์เองก็ประเมินว่าเป็นเสียงที่ไม่สำคัญ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหันไปมองตามสัญชาตญาณ จนกระทั่งร่างกายของมันพลันสั่นสะท้านเมื่อค้นพบว่า นั่นคือเสียงที่เกิดขึ้นขณะใครบางคนหล่นลงมาจากท้องฟ้า
ร่างกายที่ถูกพัฒนากล้ามเนื้อมาอย่างพิถีพิถัน
หากมองผิวเผินชายวัยกลางคนซึ่งตกลงมาจากท้องฟ้านั้นมีร่างกายผอมบาง แต่ความจริงแล้วซ่อนรูปกว่าที่เห็น และเหนือสิ่งอื่นใด อีกฝ่ายตกลงมาพร้อมกับดาบหนึ่งเล่ม หรือกล่าวได้ว่ามีน้ำหนักตัวไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยกิโลกรัม
แล้วทำไมถึงตกลงมาโดยแทบจะไร้สุ้มเสียง?
แขกนิรนามจ้องหน้าเฮสเตอร์ที่กำลังหวาดระแวง
“แม้แต่คนทำความสะอาดก็ยังได้ยินเสียงร่อนลงของข้า? บ้าบอชะมัด”
ในอนาคต อาณาจักรของหมอนี่ต้องมีพลังอำนาจเทียบเท่าหอคอยแน่… ไม่สิ นั่นคงมากไปหน่อย…
ตัวตนชายที่กระโดดลงมาจากฟ้าและพึมพำกับตัวเองคืออริยดาบบีบัน มันมาที่นี่เพื่อนำของขวัญจากฮายาเตะมามอบให้กริด
ของขวัญดังกล่าวคือการถอดรหัสภาษาความตาย ฮายาเตะซึ่งเป็นซอลแดจาที่เฝ้ามองจากยอดหอคอยย่อมทราบว่า กริดกำลังต้องการสิ่งใด
‘เป็นคนทำความสะอาดก็ยังดีกว่ากระสอบทรายล่ะวะ…’
เป็นอีกครั้งที่เฮสเตอร์หาคำมาปลอบใจตัวเอง
Comments
Post a Comment