จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,330
‘ร่างที่สามแล้วสินะ… หวังว่าจะเป็นร่างสุดท้าย’
กริดไม่มีเจตนาจะยืดเยื้อการล่า
ผลข้างเคียงของนรกอาจหายไปหลังจากได้พบดวงวิญญาณแพ็กม่าและเขียนมหากาพย์ แต่ค่าเรี่ยวแรงของตนยังต่ำมากเมื่อเทียบกับมาโชซิอัส
นับตั้งแต่โบราณกาล มอนสเตอร์ประเภทพลังป้องกันสูงมักมีค่าเรี่ยวแรงสูงตามไปด้วย เรียกได้ว่าใกล้เคียงความอนันต์ อีกทั้ง ที่นี่คือนรกและมาโชซิอัสคือจอมอสูร คงมีแต่คนโง่ที่หวังให้ศัตรูซึ่งสามารถดูดซับพลังอสูรจากสภาพแวดล้อม หมดเรี่ยวแรงและพ่ายแพ้ไปเอง
‘…ต้องเร่งมือปิดบัญชีก่อนที่เราจะหมดแรง’
กริดพยายามเร่งสปีดการต่อสู้
ทักษะเกือบทั้งหมด รวมไปถึงเวทมนตร์ ท่ารำดาบ ไอเท็ม และสมญานามถูกกระหน่ำปลดปล่อยทั้งแต่ศึกเริ่ม แต่ยังเหลือเสมือนเทพและท่ารำดาบผสานห้าชนิดไว้เป็นไพ่ตาย
หรือกล่าวได้ว่า กริดสามารถทำให้จอมอสูรลำดับ 29 จนตรอกได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเสมือนเทพและวิชาดาบผสานห้าชนิด
ศัตรูเป็นเพียงจอมอสูรที่อ่อนแอกว่าบีเลธบนโลกมนุษย์ กริดไม่จำเป็นต้องเอาจริงเต็มร้อย
แน่นอน ชายหนุ่มมิได้ประมาท
มาโชซิอัสอาจอ่อนแอเพราะมีรูปแบบการโจมตีไม่ซับซ้อน แต่ในทางกลับกัน ค่าสถานะโดยรวมของมาโชซิอัสสูงที่สุดจากบรรดาจอมอสูรทั้งหมดที่ชายหนุ่มเคยรับมือ
นอกจากนี้ อาศัยประสบการณ์ล่าบอสอันโชกโชน กริดทราบว่าจอมอสูรจะยิ่งทรงพลังเมื่อยิ่งเปลี่ยนร่าง และอันตรายมากเมื่อเข้าสู่ร่างสุดท้าย
ในบางกรณี จอมอสูรอาจมีร่างที่สี่ถัดจากร่างที่สาม นั่นคือกรณีเลวร้ายที่สุด
‘แต่กับเจ้านี่ไม่น่าใช่’
มาโชซิอัสเหลือพลังชีวิตเพียง 10%
เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่า จอมอสูรตนอื่นจะเข้าสู่ร่างสุดท้ายเมื่อพลังชีวิตเหลือราวสิบถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ มาโชซิอัสจึงน่าจะเข้าสู่ร่างสุดท้ายโดยสมบูรณ์แล้ว
กริดปรี่เข้าหาจอมอสูรลำดับ 29 ที่กำลังยืนนิ่ง ต่อด้วยการรำดาบ
มายาร่ายรำคลื่นทำลายล้างสังหาร
โลกจินตภาพอันทรงพลังกำลังแผ่ปกคลุมบรรยากาศ แรงกดดันมหาศาลกระจายตัวออกไปทุกทิศในปริมาณเข้มข้น จิตคุกคามที่หนักหน่วงรุมทิ่มแทงเป้าหมายทุกย่างก้าวที่กริดขยับเดิน
อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายเป็นจอมอสูร จิตคุกคามเพียงเท่านี้ยังมิอาจทำให้มาโชซิอัสเสียขวัญ มอนสเตอร์ระดับบอสพิเศษย่อมไม่ตกอยู่ในอาการสับสนได้ง่ายนัก
ทันใดนั้น ผิวหนังและกล้ามเนื้อที่บวมเป่งจนถึงขีดจุดของมาโชซิอัส เริ่มเกร็งแข็งและหดกลับในสภาพเหือดแห้งคล้ายผ้าขี้ริ้วถูกบีบ
เกิดภาพมายาคล้ายกับเลือดและน้ำในร่างกายเริ่มระเหยกลายเป็นไอ
ขณะศัตรูเข้าสู่ขั้นตอนการเปลี่ยนเป็นร่างที่สาม กริดเพิ่มความระมัดระวัง แต่มิได้หวาดหวั่น
มายาร่ายรำคลื่นทำลายล้างสังหารคือหนึ่งในท่าที่ทรงพลังที่สุด กริดค่อนข้างมั่นใจ ไม่ว่ามาโชซิอัสจะตอบโต้อย่างไร แต่ท่านี้ก็จะไม่ถูกสลายทิ้งอย่างแน่นอน
ผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาด ความเกรี้ยวกราดและดุดันของมายาร่ายรำคลื่นทำลายล้างสังหาร มิได้ลดทอนลงเพียงเพราะมาโชซิอัสเปลี่ยนร่าง
แต่ปัญหาก็คือ กล้ามเนื้อของมาโชซิอัสหดเกร็งอย่างสมบูรณ์ในเวลาเดียวกัน ส่งผลให้หลอดพลังชีวิตซึ่งเคยเหลืออยู่เพียงสิบเปอร์เซ็นต์ เริ่มถูกเติมเต็มใหม่อีกครั้ง
ระบุให้ชัดก็คือ สิ่งที่เติมเต็มหลอดพลังชีวิตมิใช่ค่า HP เพราะมีมันสีขาวแทนที่จะเป็นสีแดง
แน่นอน กริดทราบว่าสิ่งนี้คืออะไร
‘เกราะ!’
ปราณดาบ ‘สังหาร’ ที่มีความรุนแรง 5,000% ของพลังโจมตีกายภาพ อีกทั้งยังถูกยกระดับด้วย ‘เวทเสริมแกร่งของบราฮัม’ พุ่งกระหน่ำใส่มาโชซิอัสทั้งหมดเจ็ดเส้นถ้วน
ใบมีดลมเฉือนแหวกอากาศพร้อมกับสร้างเสียงอึกทึกครึกโครม ผนวกผลของคลื่นซึ่งปะทะใส่เป้าหมายในจังหวะก่อนหน้า การโจมตีหลังจากนี้จะตรงเข้าจุดอ่อนอย่างไม่มีเงื่อนไข
ปิดท้ายด้วยปราณดาบ ‘ทำลายล้าง’ ที่ฟาดฟันลงจากด้านบน
เดิมที ชุดการโจมตีเหล่านี้มีฤทธิ์มากพอจะทำให้มาโชซิอัสส่งเสียงร้อง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะครางแผ่วในลำคอ
เกราะหลายชั้นถูกเสริมไว้ทุกจุดของร่างกาย ม่านเกราะเหล่านี้เกิดจากการสังเวยเลือดและของเหลวด้วยการทำให้ระเหยและสาปเป็นหิน
ประเมินจากหลอดเลือด เกราะของมาโชซิอัสหายไปราว 6% เท่านั้น
ผลลัพธ์ตรงหน้าทำให้กริดเริ่มกระวนกระวาย
‘เอฟเฟคมองข้ามพลังป้องกันไม่แสดงผลเพราะการโจมตีมิได้ปะทะกับร่างกายโดยตรง?’
ตามปกติแล้ว ร่างสุดท้ายของบอสจะเป็นการอาละวาด แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัจธรรมของเกม
ไม่สนว่าก่อนหน้านี้จะมีรูปแบบการต่อสู้เป็นอย่างไร แต่มอนสเตอร์บอสทุกตนจะกระหน่ำโจมตีอย่างเกรี้ยวกราดเมื่อเข้าสู่ร่างสุดท้าย เป็นการทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อคร่าชีวิตศัตรูตรงหน้า ก่อนที่ชีวิตของตนจะจบลง
แต่ในทางกลับกัน มาโชซิอัสร่างสุดท้ายกลับสงบนิ่งจนผิดวิสัย
มันสาปหินเลือดและของเหลวตัวเองเพื่อห่อหุ้มร่างกายประหนึ่งชุดเกราะ จากนั้นก็สงบนิ่งทันที ปราศจากอารมณ์อาฆาตแค้นต่อศัตรูตรงหน้า
‘เอาชีวิตให้รอดก่อนสินะ…’
เป็นสัญชาตญาณแสนสุดโต่งชนิดที่กริดไม่เคยพบเจอ
‘หรือว่าจะไม่มีวิธีฆ่ามันจริง ๆ ?’
คำถามผุดขึ้นในใจกริดมากมาย ตนจะฆ่ามันได้ก่อนที่ค่าเรี่ยวแรงจะหมดลงได้จริงหรือ ต่อให้งัดพลังบีเลียลและเอฟเฟคของรองเท้ามังกรครามออกมาใช้ก็ตาม
บางที มาโชซิอัสอาจเป็น ‘เป้าหมายที่ไม่มีวันตาย’ เหมือนกับ NPC ลับบางตน…
ขณะกริดกำลังเค้นสมองคิด
> ข้าเตือนเจ้าไปแล้วหลายหน
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวกริดโดยตรง เฉกเช่นที่บาเอลส่งข้อความเสียงหากริดและยูร่า
ปากของมาโชซิอัสยังคงแห้งผากดุจดังมัมมี่ ไม่มีการขยับเขยื้อนเพราะบริเวณดังกล่าวถูกเปลี่ยนให้เป็นหินโดยสมบูรณ์
> เจ้าจะต้องตายไปด้วยความสำนึก ที่บังอาจเพิกเฉยต่อความหวังดีและคิดเป็นศัตรูกับข้า!
“?”
พวกตนจะตายทั่งที่อีกฝ่ายเอาแต่สาปตัวเองเป็นหิน? ด้วยวิธีใด? ยังมีมือลับซ่อนอยู่?
ขณะกริดเริ่มกังวล
เพียงพริบตา กองทัพอสูรจำนวนมหาศาลพลันปรากฏตัวขึ้นอย่างมืดฟ้ามัวดิน สัตว์อสูรนานาชนิดส่งเสียงคำรามเยี่ยงสัตว์ป่าพร้อมกับถาโถมเข้าใส่ชายหนุ่มประหนึ่งสึนามิ
> เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมอสูรลำดับ 29 ผู้ปกครองกองทัพอสูรลำดับ 22 มนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้าจะทำอะไรได้?
ในวินาทีนี้ เหตุผลเบื้องหลังในเรื่องที่ว่า เหตุใดมาโชซิอัสจึงถูกยกย่องให้แข็งแกร่งกว่าบีเลธร่างโลกมนุษย์ ถูกเปิดเผยต่อหน้ากริด
ไม่เพียงจอมอสูรทุกตนจะปกครองขุมนรก แต่พวกมันยังมีกองทัพส่วนตัว
การต่อสู้กับจอมอสูรในนรกย่อมมีค่าเท่ากับประกาศสงครามกับกองทัพอสูร
‘บัดซบ… เจ้าเล่ห์ฉิบ…’
การเคลื่อนพลของกองทัพอสูรนับแสนตน มากพอจะทำให้ไฟในการต่อสู้ของกริดพลันดับมอด
กองทัพอสูรลำดับ 22 ที่คอยเข่นฆ่าศัตรูเพื่อมาโชซิอัส เริ่มกรูเข้าใส่กริดโดยปราศจากความลังเล
“ดาบพินาศทัพหนึ่งแสน!”
สุดยอดวิชาดาบของราชาไร้พ่าย – บุคคลที่ไม่เคยพ่ายแพ้ตลอดการทำศึกชั่วชีวิต – ถูกปลดปล่อยออกจากปลายดาบของกริดในทิศทางพุ่งตรงขึ้นท้องฟ้า สังหารสัตว์อสูรบนผืนนภาได้หลายพันศพในคราเดียว
แต่ปัญหาคือ สัตว์อสูรหลายพันที่ตายไปเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ยังคงเหลือสัตว์อสูรอีกนับแสนที่ยังมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
กริดเบือนหน้าหนีจากกลุ่มสัตว์ปีกที่กำลังเร่งความเร็ว หันมาจ้องสัตว์อสูรภาคพื้นที่กำลังกรูเข้าหาอย่างบ้าคลั่ง แถมยังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมองไปยังเส้นขอบฟ้า
‘ตายหยั่งหมา…’
เมื่อนำความถึกทนในระดับฆ่าไม่ตายมาผนวกกับการควบคุมกองทัพนับแสนได้ดั่งใจ มาโชซิอัสจึงเป็นจอมอสูรสุดแกร่งตามที่ยูร่าเคยตักเตือน และนั่นทำให้สีหน้ากริดพลันดำมืด
แกลนท์ประเมินว่ามาโชซิอัสแข็งแกร่งเป็นลำดับที่ 22 หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ยังมีจอมอสูรกว่ายี่สิบตนที่แข็งแกร่งกว่ามัน
กริดผู้มิอาจล้มได้แม้กระทั่งลำดับ 22 ย่อมมองไม่เห็นโอกาสเอาชนะจอมอสูรในลำดับที่สูงกว่า จึงเลิกคิดเรื่องการล่าบาเอล จอมอสูรลำดับ 1 สุดแกร่งที่อยู่บนจุดสูงสุดไปได้เลย
‘นี่มันเกมบ้าบออะไรกัน… ต้องข้ามภูเขาอีกกี่ลูก?’
ไม่ว่าจะพัฒนาตัวเองจนแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่สิ่งที่ทำให้สิ้นหวังมักโผล่ขึ้นตรงหน้าเสมอ
ขณะชายหนุ่มยืนมึนงง ลำแสงสีเขียวหยกพุ่งผ่านหน้าด้วยความเร็วสูง
“…!!”
กริดเริ่มได้สติเมื่อปลายทางของลำแสงระเบิดออก คร่าชีวิตสัตว์อสูรไปหลายร้อยในคราวเดียว
การระดมยิงไม่จบลงเพียงหนึ่งนัด ยูร่าเสกสายฝนสีหยกโปรยปรายไปทั่วสนามรบ
โฮกกกกก!
กรี๊!
ท่ามกลางเสียงร้องของเหล่าอสูร ข้อความเสียงดังในหัวกริด
> ฉันจัดการพวกแมลงเม่าให้เอง นายมีสมาธิกับศัตรูตรงหน้าได้เลย
ไม่ใช่เสียงใครนอกจากยูร่า
ขณะเห็นกองทัพอสูรกรูเข้าใส่ ท่าทีของหญิงสาวค่อนไปทางตื่นเต้นจนผิดวิสัย น้ำเสียงสั่นเครือคล้ายกับพยายามยับยั้งความรู้สึก ภาพเช่นนี้ทำให้กริดย้อนนึกถึงวันวาน
> แม่มดโลหิตกลับมาแล้วสินะ
กริดกล่าวติดตลกเพื่อขอบคุณยูร่าที่ทำให้ตนได้สติ
ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าหญิงสาวพลันแดงก่ำ เธอมักรู้สึกอับอายเมื่อถูกเรียกว่าแม่มดโลหิต
ปืนไรเฟิลในมือยูร่าถูกกระหน่ำยิงอีกระลอกใหญ่ ท่าทางไม่สอดคล้องกับวิถีของนักซุ่มยิงสักเท่าไร ยูร่าข้ามขั้นตอนการเล็งโดยสิ้นเชิง เพราะด้วยจำนวนมอนสเตอร์ที่มากมายเช่นนี้ ไม่ว่าจะหันปากกระบอกปืนส่งเดชอย่างไรก็ไม่มีทางพลาดเป้า
หญิงสาวบัฟตัวเองให้ยิงเร็วขึ้นพร้อมกับบัฟเอฟเฟคยิงกระจาย ส่งผลให้พลังการเข่นฆ่ากองทัพอสูรมิได้ย่อหย่อนไปกว่าวิชาดาบไร้พ่ายของมาดรา
แน่นอน บัฟเพิ่มค่าสถานะในขุมนรกมีผลอย่างมาก เปลี่ยนให้นักล่าอสูรกลายเป็นเครื่องจักรสังหารเต็มรูปแบบ เป็นพวกพ้องที่พึ่งพาได้เหมือนกับเมอร์เซเดสในยามที่กริดล่าเฮลกาโอ
‘ตัดปัญหาไปได้หนึ่งเรื่อง… เหลือแต่วิธีฆ่าเจ้านี่’
กริดยอมรับว่าการล่าคนเดียวคงไม่มีวันสำเร็จ แต่กับสองคนแล้วเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
การตัดสินใจล่าจอมอสูรในนรกตามลำพัง นับเป็นความโอหังในระดับเกินขอบเขตไปสักหน่อย
กริดที่ได้ไฟในการต่อสู้คืนมา เปิดใช้งานเสมือนเทพเพื่อยกระดับตัวตนให้ทัดเทียมเทพ นั่นคือสิ่งที่คำอธิบายของทักษะเขียนเอาไว้
เส้นผมของกริดเริ่มปลิวไสวจากกระแสลมอันเกรี้ยวกราด บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มจะไม่ใช่ตัวประหลาดหากไปนั่งท่ามกลางกลุ่มทวยเทพบนสวรรค์
“ดึงศักยภาพซ่อนเร้น”
[ระยะหน่วงของ <ดึงศักยภาพซ่อนเร้น> ถูกลบล้างด้วยผลของ <เสมือนเทพ>]
“มังกร”
[วิชาดาบแพ็กม่า <มังกร> พัฒนาเป็นวิชาดาบกริดชั่วคราว]
“สร้างท่ารำดาบ - มังกรทำลายล้างคลื่นสยบสังหาร”
โดยไม่สนใจมอนสเตอร์ที่กรูเข้ามาทำร้าย กริดลอยขึ้นฟ้าและเริ่มรำดาบ
ชายหนุ่มไม่แยแสมอนสเตอร์ที่พยายามใช้กรงเล็บข่วน เพราะทั้งหมดล้วนถูกยูร่าบดขยี้อย่างง่ายดาย
> ไม่รู้หรือว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำมันไร้ค่า?
มาโชซิอัสเหยียดหยัน
มังกรครามที่พุ่งโฉบจากท้องฟ้าอาจรุนแรงและน่ากลัว แต่ตัวมันก็มีเกราะป้องกันหลายชั้น ผลลัพธ์คงไม่ต่างจากการโจมตีเมื่อครู่ ปราณดาบจะสลายไปด้วยผลของม่านเกราะมากมาย
ขณะคิดเช่นนั้น ดวงตามาโชซิอัสพลันเบิกโพลง
มังกรครามสามารถทะลวงผ่านโล่ชั้นแล้วชั้นเล่าจนกระทั่งสัมผัสร่างกาย
นี่คือผลพวงของการนำ ‘มังกร’ ที่มีเอฟเฟคเจาะทะลวง มาผนวกกับทำลายล้างและสังหาร
การโจมตีของกริดสัมผัสกับร่างมาโชซิอัสโดยตรงและสร้างความเสียหายต่อพลังชีวิตและโล่ 2% และ 20% ตามลำดับ
“เสมือนเทพ”
ดึงศักยภาพซ่อนเร้นและ ‘มังกรทำลายล้างคลื่นสยบสังหาร’ ถูกจ่ายซ้ำอีกครั้ง
ดาบกริดทะลวงผ่านม่านเกราะและปะทะเนื้อหนังของมาโชซิอัสได้เช่นเดิม ลดพลังชีวิตและเกราะไป 2% กับ 25% ตามลำดับ แนวป้องกันของมาโชซิอัสเริ่มอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อโล่เผชิญความเสียหายหนักหน่วง
“เสมือนเทพ”
> ไอ้…
เปรี้ยง—!
“เสมือนเทพ”
เปรี้ยง—!
> …เป็นไปไม่ได้!!
“อ๊ากกกกก!”
ในที่สุดมันก็ส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา
ม่านเกราะทั้งหมดหายไป แม้กระทั่งพลังสาปหินตัวเองก็เสื่อมฤทธิ์
ขณะเดียวกัน
โฮกกกกก!
อสูรจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากการกระหน่ำยิงและเตรียมขย้ำกริดกับยูร่า ร่างกายพวกมันพลันระเบิดกระจัดกระจายอย่างน่าสยดสยอง
[ท่านสังหารจอมอสูรลำดับ 29 มาโชซิอัส สำเร็จ!]
กริดเหลือพลังชีวิต 13% ส่วนยูร่าสูญเสียประกันชีวิตอมตะ
การล่ามาโชซิอัสซึ่งยาวนานกว่าบอสตัวใดที่ผ่านมา ถึงคราวปิดม่านลงโดยสมบูรณ์
เสาลำแสงที่เป็นสัญลักษณ์ของการอัปเลเวล สว่างไสวรอบตัวกริดและยูร่าอย่างพร้อมเพรียง
คนทั้งสองหันมายิ้มให้กันด้วยร่างกายที่อ่อนเพลีย ตามด้วยการประสานกำปั้นแนบชิด
กราบบบบ เสมือนเทพ รัวๆๆๆ
ReplyDeleteยูร่าคือที่1 รองจากไอรีน 555+
ReplyDelete