จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,329
จอมอสูรลำดับ 29
ในอดีต มาโชซิอัสเคยสนุกสนานกับการต่อสู้
ตัวมันมิอาจระงับเลือดลมอันเดือดพล่านที่ปรารถนาจะปกครองนรกในขุมที่ลึกลงไป นั่นก็เพื่อจะได้มีขนาดกองทัพใหญ่ขึ้น
ทว่า มันกลับพ่ายแพ้ต่อเซปาร์ อสูรเร่ร่อน จนต้องสูญเสียนรกขุมที่ 29 ไปชั่วคราว
นับแต่นั้น ความกระหายของมาโชซิอัสพลันเจือจางราวกับเป็นเพียงเรื่องโกหก มันได้รับบทเรียนครั้งใหญ่ของชีวิตและเริ่มตระหนักถึงสิ่งที่เรียกว่าขีดจำกัด
มาโชซิอัสสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้ปกครองนรกด้วยพลัง ‘ลมหายใจสาปหิน’ แต่ช่างโชคร้ายที่มีสิ่งมีชีวิตบางจำพวกสามารถต้านทาน และในนรกก็มีตัวตนเช่นนั้นมากมาย มันสูญเสียแรงกระหายและความทะเยอทะยานหลังจากได้ทราบความจริงดังกล่าว
อสูรกับมนุษย์ไม่ต่างกันนัก ในบางครั้ง ชะตากรรมก็ถูกกำหนดด้วยพรสวรรค์ติดตัวตั้งแต่กำเนิด
‘สำหรับมนุษย์ รูปโฉมของหล่อนนับว่างดงามไม่เลว… ทำเป็นรูปปั้นประดับห้องนอนดีไหม?’
มาโชซิอัสไม่ใช่ไอ้งั่งที่จะปล่อยให้มนุษย์เข้าออกดินแดนของตนตามใจชอบ มันมิได้เสื่อมเสียเกียรติถึงขนาดต้องหวาดกลัวต่อสิ่งมีชีวิตอ่อนแอ
นักล่าอสูรแล้วยังไง? ถึงจะเป็นสมญานามยิ่งใหญ่ แต่เธอก็ยังอ่อนหัดมากเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
เหตุผลที่ปล่อยให้มีชีวิตรอดไปได้ในสองสามครั้งก่อน เพียงเพราะมันเบื่อหน่ายและเกียจคร้าน หากเอาจริงก็สามารถบดขยี้อีกฝ่ายได้ไม่ยาก
“…?”
ทันใดนั้น มาโชซิอัสที่กำลังย่างกรายเข้าหายูร่าพลันผงะ
เหตุเพราะยูร่าซึ่งควรจะยืนอยู่ตรงหน้า กลับหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา
ก่อนที่มันจะตระหนักว่า ยูร่ามิได้หายตัวไป แต่เป็นทัศนวิสัยของตนต่างหากที่เปลี่ยนแปลง
หลังจากเหม่อลอยครุ่นคิดเพียงหนึ่งวินาที เสียงระเบิดดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับความเจ็บปวดแสนสาหัส มาโชซิอัสที่มองเห็นเลือดสีแดงฉาน – เลือดของตัวเอง – เริ่มพ่นลมหายใจอย่างลนลาน
ผิวหนังและกล้ามเนื้อของมาโชซิอัสค่อย ๆ กลายเป็นก้อนหินแข็งทีละส่วน
มันสันนิษฐานว่า อาวุธที่โจมตีใส่ตนคงเป็นดาบ การสาปหินตัวเองน่าจะช่วยป้องกันได้
มาโชซิอัสรีบเปลี่ยนร่างกายทุกส่วนให้เป็นหินแข็ง จากนั้นก็บิดคอที่ถูกฟันขาดครึ่งหนึ่ง มองไปยังมนุษย์อีกหนึ่งคนนอกจากนักล่าอสูร
“เร็ว…”
มันได้แต่ฉงนว่า มนุษย์สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ
‘เหนือมนุษย์?’
แล้วเหนือมนุษย์มาทำอะไรในนรก?
‘ไม่ใช่ว่าพวกเหนือมนุษย์มักหมกมุ่นอยู่กับการทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรอกหรือ’
เหนือมนุษย์อาจมีอายุขัยเป็นนิรันดร์ก็จริง แต่หากถูกฆ่าก็สามารถตายได้อยู่ดี แตกต่างจากตำนานที่ตายได้ยากกว่า
เหนือมนุษย์ก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าในบางสิ่ง จึงมักใช้เวลาจมปลักอยู่กับโลกส่วนตัวตลอดทั้งวัน แทบไม่ออกมาดูโลกภายนอก
แต่ชายคนนี้กลับมาเยือนนรก?
‘แล้วทำไมถึงต้องเป็นนรกของเรา?’
วันนี้เป็นวันซวยอะไรกัน… นอกจากบาเอลจะมาเยือนและสร้างความวุ่นวาย ยังมีนักล่าอสูรกับเหนือมนุษย์มาป่วนอีก…
‘ชิ… มีแต่เรื่องอัปมงคล’
ว่ากันตามตรง มันไม่อยากเผชิญหน้ากับเหนือมนุษย์สักเท่าไร
มาโชซิอัสเพิ่มความระมัดระวังพร้อมกับปล่อยลมหายใจออกมาเป็นระยะ ทุกสิ่งที่กระแสลมหายใจทรงกรวยพุ่งผ่านจะแข็งเป็นหินอย่างรวดเร็ว
จะเรียกว่าพลังชนิดนี้ว่า ‘คลื่นหิน’ ก็ไม่ผิดไปนัก
และมนุษย์ที่อยู่ปลายคลื่นหิน
“…ชิ”
ไม่กลายเป็นหิน
มาโชซิอัสส่ายหน้าพลางกางปีกบินถอยหลัง เมื่อเห็นว่านักล่าอสูรได้ปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของตนไว้ทุกด้าน สีหน้าของมันพลันดำมืดยิ่งกว่าเก่า
“ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะเข้ามาทำอะไร แต่ช่วยกลับออกไปได้ไหม?”
ในหมู่จอมอสูรจะมีความเชื่อเรื่องหนึ่ง กล่าวกันว่า หากจอมอสูรตนใดถูกทำลายร่างเนื้อและเกิดใหม่สำเร็จ พลังเวทและสมรรถภาพร่างกายจะเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า
แน่นอนว่ามาโชซิอัสไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้ มองว่าคงเป็นข่าวลือไร้สาระที่เหล่าสมุนงี่เง่าของเฮลกาโอ ดราเชี่ยน โมแรค อัสทารอธ และเฟอร์ฟู - กลุ่มเหยื่อของอริยดาบมุลเลอร์ - พยายามปล่อยออกมาเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของเจ้านาย
‘ความตายคือการผลาญเวลาอย่างเปล่าประโยชน์’
มันอาจคืนชีพหลังจากตายไปสักหนึ่งร้อยปี แต่ก็คงไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม มาโชซิอัสจึงปรารถนาความสงบสุขมากกว่า
ยูร่าเริ่มลังเลเมื่ออีกฝ่ายเปิดโอกาสให้ถอนตัว
เหตุการณ์พลิกผันไปในทิศทางที่เธอคาดไม่ถึงเลยสักนิด
หญิงสาวไม่มีทางเลือกนอกจากจ้องกริดด้วยสายตาสั่นเทา พลางสื่อสารโดยที่มาโชซิอัสไม่รู้ตัว
> แกลนท์แนะนำให้ฉันหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับมาโชซิอัส เขาเล่าว่า หากมาโชซิอัสเกิดคลั่งขึ้นมาและต่อสู้โดยไม่สนใจผลลัพธ์ มันจะแข็งแกร่งกว่าที่ตาเห็นหลายเท่า อันดับของขุมนรกในปัจจุบันค่อนข้างไม่สัมพันธ์กับฝีมือที่แท้จริง ด้วยปัจจัยที่ไม่แน่นอนเหล่านี้ ฉันแนะนำให้พวกเราหลีกเลี่ยงมัน
> แต่ฉันอยากสู้
นับตั้งแต่ยุคสมัยบรรพกาล เหตุการณ์สังหารจอมอสูรที่มีหลักฐานและพยานยืนยันล้วนเกิดขึ้น ‘บนโลกมนุษย์’ ทั้งสิ้น
อาจเป็นจอมอสูรตัวเดียวกัน แต่การต่อสู้ในนรกและบนโลกมนุษย์นั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง
กริดต้องการยืนยันในเรื่องนี้
> ฉันอยากเห็นว่าจอมอสูรในนรกแข็งแกร่งขนาดไหน
ในอนาคต กริดวางแผนจะขยายฐานอำนาจลงมายังนรก – ดินแดนซึ่งเป็นอีกหนึ่งเขตเอนด์เกมของซาทิสฟาย – การต่อสู้กับจอมอสูรจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ ตนควรประเมินพลังของศัตรูเอาไว้ก่อน จะได้วางแผนได้อย่างรอบคอบถี่ถ้วน
ยูร่าพยักหน้ารับเมื่ออ่านความคิดกริดออก
> เข้าใจแล้ว… แต่ขอเตือนไว้ก่อน ห้ามประมาทเพราะอีกฝ่ายมีลำดับต่ำเด็ดขาด ถึงคำเตือนของแกลนท์อาจไม่แม่นยำนัก แต่ฟังเอาไว้ก็ไม่เสียหาย แกลนท์เล่าว่า หากเทียบจากฝีมือที่แท้จริง มาโชซิอัสสมควรเป็นจอมอสูรลำดับ 22 หรือกล่าวได้ว่า แข็งแกร่งกว่าบีเลธในร่างโลกมนุษย์
> แข็งแกร่งกว่าบีเลธ?
ยูร่าจงใจนำบีเลธมาเปรียบเทียบเพื่อให้กริดเห็นภาพชัดเจน เพราะดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่แยแสคำเตือนของเธอสักเท่าไร ควรสร้างความหวาดกลัวไว้บ้าง
ทว่า
> แบบนั้นก็ยิ่งดี…
กริดฉีกยิ้มแทนที่จะหวาดหวั่น
ยูร่าเพิ่งตระหนักได้เมื่อสายหลังจากเห็นประกายในดวงตากริด
ชายหนุ่มมิได้หวาดกลัวบีเลธแม้แต่น้อย
ด้วยความสัตย์จริง เธอทึ่งกับเรื่องนี้มาก
ย้อนกลับไปไม่กี่เดือนก่อน ใบหน้าของกริดขณะสู้กับบีเลธนั้นเต็มไปด้วยความหวั่นวิตกและกระวนกระวาย คล้ายกับสวดภาวนาให้ตนยื้อเวลาได้ถึงกำหนด
วิดีโอยอดนิยมที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกช่วยทำให้ทุกคนเห็นว่า กริดเผยสีหน้ากังวลตลอดเวลาและปรารถนาให้ศึกนี้จบลงโดยเร็ว
แต่ทัศนคติกลับเปลี่ยนไปภายในเวลาไม่กี่เดือน?
‘ไม่สิ… มันไม่ใช่แค่สองสามเดือน’
คุณค่าของเวลาขึ้นอยู่กับการ ‘นำไปใช้ทำอะไร’
นับตั้งแต่การต่อสู้กับบีเลธ กริดเขียนมหากาพย์ไปแล้วสามบท
หนึ่ง การต่อสู้กับ ‘หัตถ์พิสดาร’ ซาลอส
สอง มหากาพย์บทที่แปดบนเกาะคอร์กร่วมกับเมอร์เซเดส
สาม มหากาพย์บทที่เก้าในนรกต่อหน้าบาเอลเมื่อไม่นานมานี้
ถึงจะผ่านมาเพียงไม่กี่เดือน แต่ก็นับว่าทรงคุณค่ามากสำหรับกริด
เธอควรเชื่อใจชายหนุ่ม
ต่อให้ความมั่นใจของอีกฝ่ายเป็นความผิดพลาด แต่เธอก็จะคอยสนับสนุนจนถึงที่สุด
เมื่อตัดสินใจได้ ยูร่าเปิดใช้งานมิติขุมนรก
“ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมาโชซิอัสคือการทำให้ร่างกายตัวเองเป็นหิน ไม่ใช่ผู้อื่นหรือวัตถุ มันสามารถเปลี่ยนให้กล้ามเนื้อและผิวหนังของตัวเองเป็นหินที่แข็งยิ่งกว่าเหล็ก ลองจินตนาการว่าอีกฝ่ายแข็งลึกไปถึงกระดูก ต่อให้โลกนี้ถูกทำลาย มันก็จะยังยืนหยัดอยู่เพียงผู้เดียว”
“หมายความว่าไม่มีวิธีฆ่า?”
“ก็น่าจะใช่… ฝืนต่อสู้ไปก็เสียเวลาเปล่า… แต่ถ้านายอยากลองสู้ดู จุดอ่อนเดียวของมันจะอยู่ตรงเปลือกตา การเปลี่ยนกล้ามเนื้อเปลือกตาให้แข็งเป็นหินค่อนข้างยุ่งยาก มาโชซิอัสจึงเว้นตรงนั้นไว้เสมอ หากทำอันตรายกับเปลือกตาได้ พวกเราก็คงพอทำอะไรได้บ้าง”
ขณะกล่าว ปากกระบอกปืนของยูร่าเต็มไปด้วยละอองพลังเวทสีเขียวหยก
บัฟหลายชนิดถูกอัดจนเต็มปืนวิศวกรรมเวทมนตร์อเล็กซ์ ทั้งการเพิ่มความแม่นยำ เสริมแกร่งกระสุน เร่งความเร็วโพรเจกไทล์ ปราบมาร และคุณสมบัติทะลุทะลวง
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้มองไม่เห็นจากภายนอก เพราะเธอกำลังเข้าสู่โหมดซุ่มยิงซึ่งจะอำพรางพลังงานไว้อย่างมิดชิด
แต่อีกฝ่ายเป็นจอมอสูร
“…ข้าไม่อยากสู้กับพวกเจ้า”
มาโชซิอัสเริ่มขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสถึงพลังงานอันตราย
มันเพิ่มระดับการเสริมแกร่งร่างกายขึ้นจากเดิม จนผิวหนัง กล้ามเนื้อ รวมไปถึงกระดูกกลายเป็นหินแข็งโดยสมบูรณ์ เพียงมองจากภายนอกก็รู้สึกถึงความแข็งแรงทนทาน
ร่างของมาโชซิอัสใหญ่โตจนชวนให้นึกถึงภูเขาหินลูกใหญ่
ทว่า ยูร่ารู้จุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวของมัน
ขณะหญิงสาวเตรียมเหนี่ยวไกใส่เบ้าตา
> ฉันสู้คนเดียวดีกว่า
> …!
สิ้นข้อความเสียง ผ้าผืนหนึ่งบดบังลำกล้องของเธอจนมิด
เป็นเสื้อคลุมของกริด ชายหนุ่มจงใจขัดขวางวิถีการซุ่มยิง
> ตกลง
กริดเติบโตมากแค่ไหนหลังจากต่อสู้กับบีเลธบนโลกมนุษย์?
คนที่อยากรู้คำตอบมากกว่าใครทั้งหมดคือตัวกริดเอง
หลังจากขอความเห็นใจจากยูร่า ชายหนุ่มเริ่มรำดาบ
แตกต่างจากทุกครั้ง กริดรำดาบด้วยท่วงท่าเกินกว่าหนึ่งก้าว
ในเมื่อมาโชซิอัสเปลี่ยนตัวเองให้เป็นรูปปั้นหินแข็งทื่อ คงไม่มีโอกาสใดเหมาะแก่การทดสอบประสิทธิภาพท่ารำดาบด้วยพลังทำลายสูงสุดไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“ทำลายล้าง”
แตกต่างจากแรงเกอร์คนอื่นที่ต้องพึ่งพาไอเท็มดรอปจากบอสเพื่อดำรงชีวิต กริดมีรายได้หลักมาจากภาษีของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ จึงไม่ต้องหมกมุ่นอยู่กับการล่าบอสอย่างเอาเป็นเอาตาย และต้องไม่ลืมว่า สำหรับกริด การสร้างไอเท็มไปวัน ๆ สามารถทำรายได้สูงกว่าการล่าบอสเสียอีก
ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ การล่าบอสของกริดจึงต่ำกว่าแรงเกอร์คนอื่นอย่างชัดเจน
แต่หากนับเฉพาะการล่าบอสที่ ‘ไม่เคยมีใครทราบรูปแบบมาก่อน’ กริดอาจมากเป็นอันดับหนึ่งหรือสองของโลกไม่เกินนี้ หรือกล่าวได้ว่า ชายหนุ่มคือผู้เชี่ยวชาญการล่าบอสแปลกหน้า
มันทราบทันทีว่ามาโชซิอัสเป็นบอสประเภทพลังป้องกันสูง อีกทั้งยังสามารถพบจุดอ่อนบริเวณดวงตาได้เองโดยไม่ต้องให้ยูร่าบอก เพราะนั่นคือจุดเดียวที่ไม่กลายเป็นหิน
ท่วงท่าโจมตีที่มองข้ามพลังป้องกันเป้าหมาย ฟันเฉียงลงตรงดวงตามาโชซิอัสในแนวทแยง
ร่างของผู้ปกครองนรกขุมที่ 29 พลันสั่นสะท้านพร้อมกับน้ำพุเลือดที่พุ่งกระฉูด
ความเจ็บปวดแสนสาหัสอันคาดไม่ถึง ส่งผลให้มาโชซิอัสถึงกับแหกปากกรีดร้อง
จอมอสูรที่ร่างกายชุ่มด้วยเลือดตัวเอง เริ่มอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง
“ข้า… อยู่เฉยไม่ได้แล้ววววว!”
สัญชาตญาณดิบจากจิตใต้สำนึกมาโชซิอัสถูกปลุกให้ตื่น
โทสะปริมาณมหาศาลได้กระตุ้นความเกรี้ยวกราดซึ่งเป็นสันดานดิบของอสูร
กริดเชื่อว่าเรื่องแบบนี้คงเกิดขึ้นในสักวัน ต่อให้ตนไม่ลงมือในวันนี้
จอมอสูรที่รักสงบไม่มีอยู่จริง…
ทุกครั้งที่มาโชซิอัสคำราม หินก้อนใหญ่จะถูกสร้างขึ้นพร้อมกับขว้างใส่กริด
ชายหนุ่มรู้สึกราวกับกำลังเผชิญเหตุการณ์มหันตภัยหินถล่ม การอาละวาดของยักษ์หินได้สร้างภัยคุกคามกับตนอย่างใหญ่หลวง
ขณะกริดถูกตรึงภายในบ่อน้ำที่เกิดจากหิน กำปั้นหินพลันกระแทกใส่ใบหน้าอย่างจัง
ก้อนหินแหลกละเอียด เศษดินฟุ้งกระจายไปทุกทิศทาง
ทว่า ในจุดดังกล่าวกลับปราศจากคราบเลือดและเศษเนื้อของกริด
มาโชซิอัสที่สูญเสียตำแหน่งของศัตรู รีบสาปตัวเองให้กลายเป็นหินอีกครั้ง
> เลเวลของมันสูงกว่าบีเลธจริง ๆ
มังกร
ขณะทะลวงร่างกายมาโชซิอัส กริดอธิบายความรู้สึกของตนให้ยูร่าฟัง
> แต่ลำพังเลเวลและค่าสถานะ ยังไม่ใช่ปัจจัยที่สามารถชี้วัดความแข็งแกร่งได้รอบด้าน
บีเลธอาจถูกลดทอนเลเวลและค่าสถานะไปมากบนโลกมนุษย์ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทักษะของมันเข้าขั้นขี้โกง แถมตัวบีเลธก็ยังมีวิสัยทัศน์ที่กว้างกว่ามาโชซิอัสหลายเท่า
จากการประเมินภาพรวม กริดยังยกให้บีเลธเหนือกว่า
ไม่จำเป็นต้องลงลึกในรายละเอียด สรุปโดยสั้น ตรงข้ามกับสิ่งที่หลายฝ่ายคิด บีเลธบนโลกมนุษย์แข็งแกร่งกว่ามาโชซิอัสในนรก
แน่นอนว่า มาโชซิอัสมิได้อ่อนแอ เพียงแต่กริดเหนือกว่ามากเท่านั้นเอง
“ดึงศักยภาพซ่อนเร้น มังกร”
[วิชาดาบแพ็กม่า มังกร ถูกพัฒนาเป็นวิชาดาบกริดชั่วคราว]
“สร้างท่ารำดาบ – มังกรมายาทำลายล้างสังหาร”
‘ท่าพุ่งชน’ ซึ่งเป็นของเล่นใหม่ กลายเป็นปัจจัยที่ทำให้วิชาดาบกริดมีศักยภาพเหนือจินตนาการ
ตามทฤษฎีการผสมท่ารำดาบ กริดสามารถพุ่งชนได้หนแล้วหนเล่า
เป็นการโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวจนศัตรูโงหัวไม่ขึ้น
Comments
Post a Comment