จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,323
“เมี๊ยว~ มิ้ว!”
“…แกเป็นใคร?”
กริดกะพริบตาถี่หลังจากอัญเชิญโนเอะ
ปลายเท้าทั้งสี่ข้างมีสีขาวมันวาวและกลมดิกจนเหมือนสวมถุงมือ
นับเป็นการเปลี่ยนร่างอย่างก้าวกระโดด คล้ายกับเมื่อครั้งกินศิลาอัสนีเข้าไปและกลายร่าง
แกร่ก! แกร่ก! แกร่ก!
ขณะกริดกำลังมึนงง โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ปีนขึ้นไปขี่หลังโนเอะพร้อมกับทำท่าควบม้า
ใช่แล้ว
ร่างกายที่เคยเล็กกะทัดรัดของโนเอะ ปัจจุบันใหญ่พอจะแบกโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ไว้บนหลัง
แขนขาและลำคอใหญ่โตราวกับท่อนซุง ใบหน้าที่เคยกลมอ้วนเหมือนซาลาเปา กลายเป็นผอมเพรียวและมีสัดส่วนคมชัดมากขึ้น
ขนแผงคอที่ปกคลุมศีรษะและหน้าอก มอบบรรยากาศน่าเกรงขามและสง่างาม
“…ทำไมจู่ ๆ ถึงกลายเป็นสิงโตไปได้?”
โนเอะเป็นแมวไม่ใช่หรือ?
ความน่ารักน่าเอ็นดูไม่หลงเหลืออีกต่อไป
“นี่คือรูปโฉมที่แท้จริงของเม็มฟิส สัตว์อสูรอันดับหนึ่งแห่งขุมนรก”
เมื่อเหยียดอุ้งเท้าอันกลมดิก กรงเล็บที่คล้ายใบมีดกางออกอย่างเงียบงัน ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ดูน่าหวั่นเกรงเป็นอย่างมาก
‘เจ้านั่นตัวหดบนโลกมนุษย์เพราะสภาพแวดล้อมขาดแคลนพลังอสูร?’
ไม่สิ โนเอะยังดูเหมือนแมวธรรมดาแม้จะกินศิลาอัสนีเข้าไป…
แล้วทำไมถึงกลายเป็นสิ่งโตอย่างกะทันหัน?
กริดนึกทบทวนรูปลักษณ์เก่าของโนเอะที่มีขนสีดำและอุ้งเท้าสีขาว พลางส่ายหน้ากับตัวเอง
ไม่เห็นต้องไปสนใจ…
‘โนเอะก็คือโนเอะ ไม่ว่าจะมีหน้าตาเป็นยังไง’
ชายหนุ่มตรวจสอบหน้าต่างสถานะ
ชื่อ : โนเอะ
เผ่าพันธุ์ : เม็มฟิส
เลเวล : 309
อารมณ์ปัจจุบัน : พึงพอใจ
(มิ้ว! มิ้ว! มิ้ว!)
พลังชีวิต : 500,000
พละกำลัง : 2,000 ความอดทน : 3,000
ความว่องไว : 3,000 สติปัญญา : 2,000
★ ท่ามกลางภาพแวดล้อมของนรก ศิลาอัสนีถูกย่อยอย่างสมบูรณ์จนร่างกายของเม็มฟิสเปลี่ยนเป็นสภาพโตเต็มวัย
★ จากลักษณะพิเศษของเม็มฟิส ค่าสถานะทุกชนิดจะเพิ่มขึ้น 100 แต้มในทุก 10 เลเวล แต่พลังชีวิตจะเพิ่มขึ้นทุก 100 เลเวล
★ เมื่อขึ้นขี่ เพิ่มพลังโจมตีของผู้ขี่ 10% และเพิ่มความรุนแรงของทักษะประเภทพุ่ง 30%
- รายการทักษะ -
กลายเป็นของเหลว, กลืนวิญญาณ, ข่วน, ยั่วยวน, โอหัง, วิ่งกวด
‘เติบโตจนน่าตกใจ…’
จากที่คำนวณอย่างคร่าว โนเอะจะได้รับค่าสถานะ 40 แต้มทุกการอัปเลเวล
ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก เราคงตั้งใจอัปเลเวลโนเอะมากกว่านี้...
‘ไม่สิ… การปลุกปั้นโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ไม่ใช่ความคิดที่ผิด’
<โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์หมายเลขหนึ่ง>
คลาส : สเคเลตัน ซอร์ดแดนเซอร์
เลเวล : 322
พลังชีวิต : 51,000 มานา : 1,090
พละกำลัง : 1,301 ความอดทน : 450
ความว่องไว : 720 สติปัญญา : 80
- รายการไอเท็ม -
อาวุธ : ดาบแห่งการก้าวข้ามอันแหลมคม
อาวุธรอง : โล่หนาม
ชุดเกราะ : วัลฮัลล่าเสริมแกร่ง
- ทักษะประจำคลาส -
หักกระดูก Lv. MAX, ระบำตีเหล็กทำลายล้าง Lv.4, ระบำ Lv.6, ระบำฟัน Lv.3, ระบำแทง, Lv.3, เพิ่มพลังชีวิตสูงสุด, เพิ่มพลังป้องกันสูงสุด, ระบำสังหาร (A)
- ทักษะเรียนรู้ -
ความอดทนของโครงกระดูก, หลบหลีกด้ายเงิน, ชำนาญดาบขั้นสูง Lv.2, ชำนาญการขุดขั้นกลาง Lv.3, ต้านทานการถูกสาปหินขั้นกลาง, ต้านทานการโจมตีกายภาพขั้นกลาง, ต้านทานเวทมนตร์ขั้นกลาง, เร่งความเร็วฉับพลันขั้นต้น, กัด, เย้ยหยัน, โขกด้วยกะโหลก, ต้านทานพิษขั้นกลาง, ต้านทานพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้น, ระบำดาบโครงกระดูก (A)
<โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์หมายเลขสอง>
คลาส : สเคเลตัน บิชอป
เลเวล : 319
พลังชีวิต : 30,200 มานา : 21,900
พละกำลัง : 100 ความอดทน : 700
ความว่องไว : 300 สติปัญญา : 1,350
- รายการไอเท็ม -
อาวุธ : ไม้เท้าบีเลียล (แบบจำลอง)
อาวุธรอง : ลูกแก้วแม่ทัพ
ชุดเกราะ : เสื้อคลุมคีเลี่ยน
- ทักษะประจำคลาส -
เชื่อมกระดูก Lv.8, ระบำตีเหล็กฟื้นฟู Lv.6, ระบำ, Lv.6, เสริมแกร่งกะโหลก Lv.2, เสริมแกร่งกระดูก Lv.2, บาเรียมานา Lv.2, เพิ่มพลังชีวิตสูงสุด, เพิ่มมานาสูงสุด, สร้างโครงกระดูก (A)
- ทักษะเรียนรู้ -
ความอดทนของโครงกระดูก, หลบหลีกด้ายเงิน, ชำนาญเวทมนตร์ขั้นสูง Lv.2, ชำนาญการขุดแร่ขั้นกลาง Lv.3, ต้านทานการถูกสาปหินขั้นกลาง, ต้านทานการโจมตีทางกายภาพขั้นต้น, ต้านทานเวทมนตร์ขั้นกลาง, กัด, เย้ยหยัน, ต้านทานพิษขั้นกลาง, ต้านทานพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลาง, สวดวิงวอนต่อเทพ (A)
ย้อนกลับไปในตอนที่เก็บเลเวลบนเทือกเขาเคอัสและแอ่งสวรรค์ กริดมุ่งเน้นการปลุกปั้นโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ทั้งสอง มิใช่โนเอะ เพราะชายหนุ่มชื่นชอบที่พวกมันเรียนรู้ทักษะใหม่ได้ง่ายกว่า
โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์เคยได้รับค่าสถานะแปดแต้มทุกการเลเวลอัป แต่เพิ่มขึ้นมากหลังจากพัฒนากลายเป็นคลาสระดับสาม และในอนาคตก็คงเพิ่มยิ่งขึ้นไปอีก
‘…หลังจากนี้ คงต้องเอาใจใส่โนเอะและโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ให้มากทั้งคู่’
คงเป็นเพราะเคยฝ่าฟันความเป็นความตายร่วมกันมา โนเอะจึงมิได้แสดงท่าทีรำคาญที่โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ปืนขึ้นไปขี่บนหลัง
กริดยืนมองอย่างมีความสุข ก่อนจะชักดาบออกมากะทันหัน
“ยินดีต้อนรับ”
เผ่าอสูรผิวแดงสวมเสื้อคลุมตนหนึ่ง กำลังเดินตรงมาทางกลุ่มของกริด
บนหน้าผากฝั่งซ้ายมีเขาแหลมหนึ่งกิ่ง
พลังอสูรที่แผ่ออกมารอบตัว มอบบรรยากาศคุกคามเป็นวงกว้าง
“กำลังรออยู่เลย”
เมื่อเทียบกับสัตว์อสูรที่กริดเคยพบเจอระหว่างทาง เผ่าอสูรตรงหน้าแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง มองเพียงผิวเผินก็ทราบทันทีว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา
พิจารณาจากเขาและกลิ่นอายพลังอสูรรอบตัว กริดยากจะเชื่อว่านี่คือเผ่าอสูรประเภทเดียวกับเผ่าอสูรธรรมดาในหมู่บ้าน
ความรู้สึกนี้มัน…
“จอมอสูร?”
ขณะกริดกำลังตึงเครียด ยูร่ารีบอธิบาย
“ในนรกจะมีสิ่งมีชีวิตหลักอยู่สามประเภท ประกอบด้วยสัตว์อสูร เผ่าอสูร และอสูร”
ตามชื่อของมัน สัตว์อสูรถูกจำแนกอยู่ในหมวดหมู่มอนสเตอร์ ส่วนเผ่าอสูรหมายถึงชาวนรก
ในทางกลับกัน อสูรจะคล้ายกับขุนนางของโลกมนุษย์ เป็นสายพันธุ์ที่มีสิทธิ์ได้เป็นจอมอสูร
อสูรมีจำนวนน้อย แต่เกิดมาพร้อมความแข็งแกร่งและพลังอสูรมหาศาล แถมยังทรงปัญญา
“หนึ่งในผู้ชิงตำแหน่งจอมอสูร?”
“ถูกต้อง”
‘คงเหมือนกับยังบันของอาณาจักรฮวาน’
อุปนิสัยคาดเดาได้ไม่ยาก ต้องโอหังและดูแคลนมนุษย์แน่
สิ่งมีชีวิตทรงพลังและโสโครกเช่นนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะป่าเถื่อนและก้าวร้าว
‘เหนือสิ่งอื่นใด… ที่นี่คือนรก’
เม็มฟิสแสดงให้เห็นแล้วว่า สัตว์อสูรที่ดูธรรมดาบนโลกมนุษย์ สามารถทรงพลังกว่าเดิมหลายเท่าหากอยู่ในนรก
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง อสูรที่อยู่ตรงหน้าเรา อาจแข็งแกร่งยิ่งกว่าจอมอสูรระดับล่างที่เคยปรากฏกายบนพื้นโลกเสียอีก…
กริดทวีความตึงเครียด ในหัวเริ่มจินตนาการฉากต่อสู้อันดุเดือด
จนกระทั่งอสูรเอ่ยปาก
“มิต้องกังวลไป ข้าไม่คิดทำร้ายแขกของเจ้านาย”
‘แขกของเจ้านาย?’
เราเป็นแขกของใคร? เจ้านายเป็นใคร?
กริดทำได้เพียงยืนฉงนเนื่องจากตนไม่มีเครือข่ายข้อมูลในนรก
“…?”
ชายหนุ่มมองไปรอบตัวอย่างสงสัย จนกระทั่งประสานสายตากับยูร่า
ดวงตาของหญิงสาวทั้งลุ่มลึกและสงบนิ่ง มิได้แสดงอากัปกิริยาตื่นกลัวแม้จะมีอสูรที่แข็งแกร่งปรากฏตัวตรงหน้า
หรือว่า…
ขณะกริดกำลังประหลาดใจ อสูรตนดังกล่าวเล่าต่อ
“เจ้านาย ข้ากำลังรอท่านอยู่พอดี”
อสูรนำมือทาบบริเวณหัวใจของตน ตามด้วยการโค้งตัวคำนับยูร่า
“…?!”
กริดผงะนานหลายวินาที
ยูร่าอมยิ้มอย่างชอบใจเมื่อเห็นชายหนุ่มตกตะลึง
“ยินดีต้อนรับสู่โอเวอร์เกียร์สาขานรก”
***
เดิมที นรกขุมที่ 32 เคยเป็นของจอมอสูรบีเลียล
หลังจากดวงวิญญาณของหล่อนถูกกำจัด บัลลังก์นรกขุม 32 ก็ว่างลงและเกิดสงครามแก่งแย่งชิงดีขึ้นภายใน
“สงครามที่มีกองทัพของอสูร 13 ฝ่ายเข้าร่วมนั้นดุเดือดและเข้มข้นมาก ศัตรูกลายเป็นมิตร และมิตรกลายมาเป็นศัตรู กระแสการต่อสู้พลิกผันไม่ต่ำกว่าสิบครั้งต่อวัน เป็นพายุการนองเลือดอันวุ่นวายที่ข้าไม่เคยพบเจอมาก่อน เดาไม่ออกว่าสงครามจะสิ้นสุดลงเมื่อใด”
จ๋อม
อสูรหย่อนตะขาบลงในกาน้ำร้อน แต่ตะขาบกลับไม่ตายในทันทีแม้จะถูกน้ำเดือดลวก
ทุกครั้งที่สัตว์ร้อยขาบิดตัวอย่างทุรนทุรายในน้ำเดือด สีของชาจะเริ่มแดงขึ้นทีละนิด
“ขณะข้ากำลังเอือมระอากับสงครามแก่งแย่ง มีข่าวลือประหลาดปรากฏขึ้นว่า มนุษย์คนหนึ่งคอยไล่ฆ่าเหล่าอสูรในทุกสนามรบ”
อสูรรินชาลงในถ้วยกริด เป็นชาสีเลือด
กลิ่นของมันเหม็นบัดซบจนกริดสงสัยว่า นี่คือชาหรือน้ำเน่ากันแน่
“อสูรหนุ่มตนหนึ่งเย้ยหยันว่า มนุษย์จะลงมายังนรกและทำร้ายพวกเราได้อย่างไร แต่ข้ากลับคิดต่างออกไป เพราะเคยพบเจอการรุกรานของมนุษย์มาแล้ว”
อสูรถอดถุงมือออก ผิวพรรณที่เผยออกมามีสีดำสนิท
อวัยวะส่วนอื่นของร่างกายล้วนมีสีแดง ยกเว้นเพียงฝ่ามือ เป็นมือที่ดูหนักและแข็งคล้ายตะกั่ว
‘…มือเทียม?’
“เป็นเพราะเคยสูญเสียมือทั้งสองข้างให้กับนักล่าอสูร อเล็กซ์ ที่บุกโจมตีนรกเมื่อหลายร้อยปีก่อน ข้าจึงเชื่อว่า มนุษย์ที่ลงมาเข่นฆ่าอสูรในสงคราม ต้องเป็นนักล่าอสูรคนใหม่แน่… หลังจากรอคอยอย่างอดทนสักพัก ข้าก็ได้พบกับยูร่า”
“…”
กริดยกถ้วยชาเลือดขึ้นมาจ่อปาก ที่ต้องทำก็เพราะยูร่าส่งสัญญาณ
หืม… นี่มันอะไรกัน?
รสชาติดีมากแม้จะมีกลิ่นเหม็นบรรลัย ความขมและความหวานพลันระเบิดฟุ้งเต็มช่องปากจนชวนให้หลงใหล
นับเป็นรสชาติที่ยอดเยี่ยม
[ร่างกายของท่านขจัดพิษจากพลังอสูรในนรกได้บางส่วน ผลข้างเคียงด้านลบจะลงลด 5% เป็นการถาวร]
“จากนั้น ข้าก็สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อยูร่า”
“อา…”
กริดเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะเคียดแค้นนักล่าอสูรเพราะเคยเสียมือทั้งสองข้างให้อเล็กซ์ และนั่นจะพาลให้นึกอยากแก้แค้นยูร่าไปด้วย แต่ในความเป็นจริง อสูรตนนี้กลับถวายตัวจงรักภักดีต่อยูร่าแทน
ดูเหมือนเรื่องราวจะซับซ้อนกว่าที่กริดคิดไว้
“อเล็กซ์คงดูแลนายเป็นอย่างดีสินะ”
ได้ยินคำถามจากชายหนุ่ม อสูรขมวดคิ้ว
“มันตัดมือข้าไปสองข้าง นั่นเรียกว่าดูแลเป็นอย่างดีหรือ”
“แล้วทำไมถึงจงรักภักดีต่อยูร่า?”
“เพื่อเอาชีวิตรอดยังไงล่ะ… แน่นอน ข้าเกลียดชังนักล่าอสูรและหวังแก้แค้นกับนักล่าอสูรคนปัจจุบัน แต่หลังจากการซุ่มโจมตีล้มเหลว ข้าก็ถูกทุบตีเยี่ยงสุนัขจนไม่มีทางเลือก… เฮ่อ”
“…ไว้ใจหมอนี่ได้จริงหรือ?”
ขณะกริดเริ่มระแวง ยูร่ามอบคำตอบ
“เขาทำพันธสัญญาจงรักภักดีกับฉันแล้ว อสูรมิอาจทำลายพันธสัญญาได้เอง แม้ว่าตัวจะตายไปก็ตาม… ดังนั้นไม่ต้องกังวล เขาไว้ใจได้มากกว่ามนุษย์บางคนเสียอีก”
“ถูกต้อง… ขีดจำกัดของอสูรคือ พวกข้ามิอาจทรยศต่อพันธสัญญาที่ได้กระทำ แม้จะถูกตัดหัวทิ้งก็ตาม… อเล็กซ์รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เจ้านั่นจึงให้ข้าที่กำลังกระดิกหางเหมือนเซอร์เบอรัสทำพันธสัญญาจงรักภักดี… ข้านึกอยากจะซัดหน้ามันทุกครั้ง แต่ก็ทำได้แค่คิด… นับตั้งแต่เกิดมาเป็นอสูร ข้าไม่เคยรู้สึกอับอายขนาดนี้มาก่อน”
“ที่นายต้องอับอายก็เพราะยอมทำพันธสัญญาเพื่อให้มีชีวิตรอด”
“ในเมื่อมองเห็นทางรอดก็ต้องคว้าไว้ ต่อให้มันจะเป็นพันธสัญญาจงรักภักดีก็ตาม… ทำไมข้าต้องยอมตายโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้คืนชีพตอนไหน? ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”
กริดซดชาเกลี้ยงแก้ว จากนั้นก็ลองดื่มอีกถ้วย แต่คราวนี้ไม่มีเอฟเฟคลดผลข้างเคียงเพิ่มเติม
“มีไอเท็มหลายชิ้นที่ช่วยลดผลข้างเคียงของสภาพแวดล้อมในนรก พวกมันซ่อนอยู่ในหลายจุด แม้แต่ฉันก็รู้จักเพียงไม่กี่แห่ง แล้วจะแนะนำให้วันหลัง”
เมื่อเห็นกริดผิดหวัง ยูร่าพยายามปลอบใจ
จากนั้นก็หันไปถามอสูรที่กำลังพะงาบปากคล้ายต้องการกล่าวบางสิ่ง
“ตรวจสอบมาหรือยังว่าซัคคิวบิอยู่ที่ไหน”
“อา… พวกมันกำลังยั่วยวนเผ่าอสูรในป่าเฮลิเทร่า”
ยูร่าตัดสินใจจับอสูรมาเป็นบริวาร เพราะเธอต้องการปกครองนรกขุมที่ 32 แต่เพียงผู้เดียว
อสูรส่วนใหญ่หนีออกจากนรกขุมที่ 32 เพราะพลังอสูรเหลือน้อยกว่าขุมอื่นมาก
อย่างไรก็ตาม นรกขุมที่ 32 ยังมีสัตว์อสูรและเผ่าอสูรอาศัยอยู่ประปราย สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะทำให้นรกกลับมาปนเปื้อนด้วยพลังอสูรเข้มข้นอีกครั้ง และนั่นจะดึงดูดให้เหล่าอสูรกลับเข้ามาอาศัย
หากอสูรสักตนกลายเป็นจอมอสูรได้สำเร็จ นรกขุมที่ 32 ก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม
เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น ยูร่าต้องคอยกวาดล้างนรกขุมที่ 32 อย่างต่อเนื่อง แต่เธอเองก็มีงานยุ่งในส่วนอื่นจนไม่สามารถดูแลได้ตลอดเวลา จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องแต่งตั้งอสูรเป็นตัวแทน
อสูร ‘แกลนท์’ มีอายุยืนยาวนับพันปี สติปัญญายอดเยี่ยมทัดเทียมจอมอสูร ส่งผลให้นรกขุมที่ 32 ไม่ฟื้นฟูกลับมาเป็นแบบเดิมได้ง่ายนัก
ในสายตาจอมอสูร ขุมนรกที่ปราศจากพลังอสูร ย่อมไม่มีสารอาหารควรค่าแก่การยึดครอง
“ตกลง พวกเราจะลงมือทันที ฉันเป็นคนนำทาง… ยองวู อย่าลืมตรวจสอบระยะเวลาน้ำหอม”
“อื้อ”
การได้พึ่งพาคนอื่นบ้างก็สนุกไม่เลว…
ขณะเดินตามหลังยูร่าที่คอยกำจัดสัตว์อสูรระหว่างทาง กริดยิ้มอย่างมีความสุข
ทว่า รอยยิ้มดังกล่าวได้อันตรธานหายในเวลาไม่นาน
“ทำไมพวกหล่อนถึงหายใจแบบนั้น…?”
ป่าเฮลิเทร่า
กริดพลันขมวดคิ้วเมื่อเดินมาถึงจุดที่ถูกเรียกว่าป่า แต่กลับไม่เหมือนป่าเลยสักนิด บริเวณโดยรอบปราศจากพืชพรรณและสีสันโดยสิ้นเชิง
และยิ่งขมวดคิ้วหนัก เมื่อได้เห็นซัคคิวบิกำลังอ้าปากหายใจกระเส่าด้วยท่าทางลามก
กริดอดสงสัยไม่ได้ว่า หากต้องการพาพวกหล่อนไปไหนมาไหนด้วยกัน ไม่ใช่ว่าตนต้องคอยหาอะไรมาปิดปากไว้ตลอดเวลาหรือ?
บางทีกริดก็คิดง่ายไปเหมือนคนใสซื่อ โง่ๆอ่ะ
ReplyDelete