จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,315
หลังจากแวะไปเยี่ยมเยียนหลากหลายสาขาวิชา กริดได้พบเด็กพรสวรรค์ทั้งหมดสิบเอ็ดคน
แต่ไม่มีใครเลยที่ยอดเยี่ยมเหมือนเบเทล
อีกสิบคนเป็นเพียงเด็กที่เหนือกว่าปรกติเล็กน้อย ไม่มีวันก้าวไปถึงจุดสูงสุดของสาขาอาชีพ
นั่นคือสัจธรรม ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นที่หนึ่งได้
‘น่าเสียดายที่ไม่มีเด็กจากแผนกเวทมนตร์… แต่แบบนี้ก็ไม่แย่นัก’
กริดเคยรู้สึกเสียดาย
แต่ถึงอย่างนั้นก็เชื่อว่า การเก็บเกี่ยวในปัจจุบันค่อนข้างคุ้มค่าแล้ว เพราะแต่ไหนแต่ไร โรงเรียนหลวงโอเวอร์เกียร์มิใช่โรงเรียนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
โดยทั่วไป เด็กที่ถนัดด้านใดก็มักจะไปเรียนวิชากับอาจารย์ด้านนั้นโดยตรง แทบไม่มาสมัครเรียนในโรงเรียนสามัญ การได้พบเด็กพรสวรรค์มากถึงสิบเอ็ดจึงนับว่าค่อนข้างมหัศจรรย์
“อา…”
ณ หอประชุมใหญ่
ที่นี่เคยถูกแผนกภูตธาตุใช้เป็นลานทดสอบ แต่วันนี้เป็นคิวของพิธีจบการศึกษา
เมื่อเดินทางไปถึง กริดนำมงกุฎราชาโอเวอร์เกียร์และผ้าคลุมผู้ปกครองออกมาสวม จากนั้นก็เปิดประตูหอประชุมใหญ่พลางพึมพำคำพูดสวยหรูที่ท่องมาจากบ้านซ้ำหลายรอบ
ท่ามกลางหอประชุมที่มีผู้คนคลาคล่ำนับพัน สายตาทุกคู่พลันจับจ้องมาทางกริด
“ฝ่าบาทผู้ลงทัณฑ์สันตะปาปาชั่วช้าและช่วยเหลือโบสถ์จากวิกฤต”
“ฝ่าบาทผู้ฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของศาสนจักรด้วยการคลายผนึกปฐมดาบศักดิ์สิทธิ์”
“พวกเราขอคารวะราชาโอเวอร์เกียร์ ผู้มีพระคุณเป็นล้นพ้นต่อสาวกรีเบคก้าหลายล้านทั่วทวีป ผู้เป็นพระสหายของสันตะปาปาดาเมี่ยน และผู้ที่ได้รับการโปรดปรานจากเทพธิดา”
บรรยากาศที่เคยกระตือรือร้นในหอประชุม พลังเคร่งขรึมอย่างรวดเร็ว
ในวินาทีที่กริดปรากฏตัว คนของโบสถ์รีเบคก้าซึ่งมีนัดหมายเข้าร่วมพิธีจบการศึกษา ต่างพากันคุกเข่าแสดงความเคารพอย่างพร้อมเพรียง
ฉากตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับ ภาพการสักการะองค์เทพของเหล่านักบวช
อิสซาเบล หนึ่งในบุตรีแห่งรีเบคก้าที่โด่งดัง
ทุกคนล้วนทราบดี เธอไม่เคยก้มศีรษะให้ประมุขอาณาจักรคนใด
แต่กับกริดนั้นถือเป็นกรณีพิเศษ อิสซาเบลมอบความนอบน้อมและศรัทธาจากก้นบึ้งอย่างผิดวิสัย ถึงขั้นทำการคารวะด้วยกิริยามารยาทสง่างาม
“โอ้…!”
ภาพการคุกเข่าของหนึ่งในตัวแทนแห่งเทพธิดา ซึ่งถูกกล่าวขานว่าจงรักภักดีต่อองค์เทพธิดาเพียงผู้เดียว เริ่มทำให้คนทั้งหอประชุมตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของกริด และอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมาตามความรู้สึก
เช่นเดียวกันกับราชทูตของเผ่าวารีและเผ่าออร์คสนธยา พวกมันต่างกู่ร้องความยิ่งใหญ่ของกริดออกมาเสียงดังราวกับไม่คิดยอมแพ้อีกฝ่าย
“พวกเราขอคารวะผู้มอบพรแสนวิเศษแก่อาณาจักรวารี!”
“พวกเราขอคารวะนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด!”
มีการกางม่านบาเรียกั้นเสียงเพื่อมิให้กระทบต่อมนุษย์ปรกติ แต่กระนั้นก็ยังบางส่วนเล็ดลอด
ผิวหนังแกร่งกล้าดุจดังหินผา รูปร่างสูงใหญ่กำยำ
ภาพการคุกเข่าของสองเผ่าพันธุ์นักรบที่ชวนให้นึกถึงโกเลม สะกดผู้ชมในห้องโถงจนอยู่หมัด
ยิ่งเพ่งมอง เหล่านักเรียนจบใหม่ก็ยิ่งสังเกตเห็นแผลเป็นตามเนื้อตัว และไม่เคลือบแคลงเลยว่า พวกเขาเหล่านี้คือยอดนักรบที่สามารถเข่นฆ่ากองทัพมนุษย์ได้เป็นผักปลา
แต่ทั้งหมดกลับเผยท่าทีนอบน้อมต่อกริดอย่างหาที่สุดมิได้
“เคลพาโต้ ดยุคแห่งอาณาจักรอาร์ค ขอคารวะท่านราชากริดยอดนักรบ”
อะไรนะ? ดยุค?
บุคคลระดับมือขวาของอาณาจักร กำลังทำตัวนอบน้อมต่อหน้ากริด
ดูเหมือนว่า ข่าวลือที่กริดปกป้องอาณาจักรอาร์คไว้ได้ด้วยการดวลกับจอมอสูรลำดับ 13 บีเลธตามลำพัง จะไม่ใช่เรื่องที่เกิดความจริงแต่อย่างใด
ถัดมาเป็นการทำความเคารพจากชาวทวีปตะวันออกที่นำโดยสองพ่อลูกฮานซอกบง รวมถึงชนเผ่าอัลที่ได้รับความช่วยเหลือจนพ้นวิกฤติ
ทุกขั้นบันไดที่กริดเหยียบขึ้น จะต้องมีคนทำความเคารพเพิ่มเสมอ
ระหว่างนั้น เหล่านักเรียนจบใหม่ต่างคิดว่าคงไม่มีเรื่องใดให้ตื่นเต้นได้อีกแล้ว
แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิด
“กระหม่อมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มาทันเวลา ไม่ได้พบกันเสียนาน ท่านราชาโอเวอร์เกียร์…”
ราชาอมตะ เกล็นฮาล
ดยุคที่ทรงอำนาจที่สุดในจักรวรรดิซาฮารัน ขุนนางผู้มีศักดินาใหญ่กว่ากษัตริย์อาณาจักรเล็กทั้งหมดรวมกัน บัดนี้กำลังก้มศีรษะให้กริด
ทั้งที่สามารถเรียกได้ว่า เขาคือเบอร์สองของทวีป แต่กลับกำลังเผยสีหน้ายินดีในยามคำนับกริด?
คราวนี้ไม่ใช่เพียงนักเรียนจนใหม่ แต่รวมไปถึงคณาจารย์และบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ ทุกคนต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
กระทั่งกริดเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
ไม่สิ ชายหนุ่มมึนงงมาพักใหญ่แล้ว
‘ทำไมคนใหญ่คนโตพวกนี้ถึงต้องถ่อสังขารมาร่วมพิธีจบการศึกษา? ว่างกันนักหรือ?’
เรื่องน่าตลกก็คือ แขกในพิธีจบการศึกษาของโรงเรียนที่มิได้โด่งดังอะไร กลับยิ่งใหญ่กว่าเมื่อครั้งพิธีก่อตั้งอาณาจักรโอเวอร์เกียร์เสียอีก
ลอเอลฉีกยิ้มกว้าง
‘นี่คือสิ่งที่นายสมควรได้รับ ความพยายามตลอดหลายปีมิได้สูญเปล่า’
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ลอเอลยอมรับหน้าที่บริหารประเทศโดยไม่ปริปากบ่น เพราะกริดไม่เคยปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่า การออกห่างจากบัลลังก์ทุกครั้งล้วนส่งผลดีต่ออาณาจักร ผลงานของกริดที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก ล้วนช่วยยกระดับความยิ่งใหญ่ให้กับอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ทั้งสิ้น
“ราชาวีรบุรุษกริดผู้ชำระล้างหมู่เกาะเบเฮ็นให้บริสุทธิ์ กรุณาก้าวขึ้นมาด้านบน”
สติกส์ที่สนุกสนานไปกับบรรยากาศ เริ่มกล่าวชื่นชมกริดบ้างเมื่อถึงคิวของตัวเอง
แน่นอน ชายหนุ่มยิ่งทวีความตึงเครียด แต่ก็มิได้แสดงออกทางสีหน้า
ตนจะเผยความน่าสมเพชให้ผู้คนมากมายเห็นได้อย่างไร?
เราคือราชา… ผู้เป็นหน้าเป็นตาให้กับทุกคน…
กริดเดินขึ้นไปบนเวทีและกล่าวอย่างใจเย็น
“ตลอดเจ็บปีที่ผ่านมา นายคือคนที่ทำงานหนักกว่าใคร”
เสียงของชายหนุ่มดังกังวานไปยังทุกซอกมุมของหอประชุม ทั้งที่มิได้ใช้อุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับขยายเสียงที่สติกส์นำมาติดตั้ง
กริดใช้พลังลึกลับบางอย่างในการทำให้ผู้ฟังผ่อนคลายและจดจ่อ
มิใช่แค่เหล่านักเรียนจบใหม่ แม้แต่แขกผู้มีเกียรติด้านล่างก็ไม่ต่างกัน
“จุดจบของสิ่งหนึ่งคือจุดเริ่มต้นของอีกสิ่งหนึ่งเสมอ ในอนาคต ทุกย่างก้าวที่ทุกคนเดินไปในสังคม พวกคุณอาจได้พบความล้มเหลวหรือเสียใจ หากสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น จงอย่าได้ลืมช่วงเวลาตลอดเจ็ดปีที่โรงเรียนแห่งนี้ จงใช้ประสบการณ์ชีวิตเพื่อเอาชนะอุปสรรคที่ถาโถมเข้าใส่… ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า อย่าได้หวาดกลัวต่อความล้มเหลวจนไม่กล้าออกจากกรอบ นั่นจะทำให้ทุกคนเป็นผู้แพ้อย่างแท้จริง จงหมั่นท้าทายขีดจำกัดของตัวเองอยู่เสมอ… ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตกำลังรอคอยทุกคนอยู่ เฉกเช่นที่พวกคุณพากเพียรจนเรียนจบการศึกษาได้ในวันนี้”
กริดมองว่า สุนทรพจน์ของฮิวรอยค่อนข้างตรงใจตนหลายเรื่อง
ทุกคนต้องเคยผ่านความทุกข์ทั้งสิ้น เพียงแต่มากน้อยไม่เท่ากัน
มีเพียงผู้ที่อดทนไปได้ตลอดรอดฝั่ง จึงจะประสบความสำเร็จในตอนสุดท้าย
กลายเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง
เหมือนกับกริด
ความยิ่งใหญ่ของแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน ล้วนพิสูจน์เรื่องนั้นได้อย่างดี
คล้ายกับสัมผัสถึงบางสิ่งได้ เหล่านักเรียนจบใหม่ต่างจ้องกริดด้วยดวงตาที่ลุกโชน
***
‘น่าทึ่งมาก…’
หลังจากเหตุการณ์ปฏิวัติ การเมืองภายในของจักรวรรดิมิได้ราบรื่นนัก
โดยเฉพาะการปรับลดตำแหน่งขุนนางระดับสูง นั่นส่งผลให้ราชาอมตะ เกล็นฮาลต้องแบกรับภาระยุ่งวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน
เช่นนั้นแล้ว เหตุใดมันถึงเข้าร่วมพิธีจบการศึกษาของโรงเรียนในอาณาจักรอื่น?
เหตุผลไม่ซับซ้อน
มันต้องการพิสูจน์ผลลัพธ์ของ ‘การศึกษาที่ทุกคนเท่าเทียมโดยแท้จริง’
ผลลัพธ์นั้นน่าทึ่งมาก
จากการตรวจสอบด้วยตาของเกล็นฮาล นักเรียนของโรงเรียนโอเวอร์เกียร์อาจมีพรสวรรค์ในระดับทั่วไป แต่หลังจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญที่คอยขับเคลื่อนความเจริญก้าวหน้าในทุกสาขาอาชีพของอาณาจักร
‘พรสวรรค์ที่ไม่แบ่งแยกสถานะทางสังคม’
นั่นคือถ้อยคำที่จักรพรรดิรุ่นก่อน ๆ กล่าวต่อกันมา
มันไม่เคยเข้าใจอย่างถ่องแท้จนกระทั่งวันนี้
‘…พรสวรรค์ด้านความเพียร เหนือกว่าพรสวรรค์อื่นใดทั้งหมด’
นี่คือสิ่งที่เกล็นฮาลกำลังสัมผัสได้
มันเริ่มมองเห็นอนาคตของระบบการศึกษาที่ทุกคนเท่าเทียมโดยแท้จริง
ดยุคแห่งจักรวรรดิเริ่มตระหนักว่า ‘ผู้ที่มุ่งมั่นแสวงหาความรู้’ สามารถเกิดใหม่เป็นบุคคลมากความสามารถได้ในบั้นปลาย
‘เริ่มที่ตัวเรา… ต้องเปิดโรงเรียนที่ทุกคนเท่าเทียมกันในดินแดนของเรา’
ถึงจะต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรจำนวนมาก แต่เกล็นฮาลก็มิได้นึกเสียดาย
“เคยได้ยินชื่อของมหาจอมปราชญ์มาตั้งแต่ยังเด็ก แต่วันนี้เพิ่งประจักษ์ด้วยตาตัวเอง คุณเหมาะสมกับคำสรรเสริญเหล่านั้นอย่างแท้จริง… คงภูมิใจกับเด็กเหล่านี้มากสินะครับ”
ภาพของนักเรียนจบใหม่เดินออกจากโรงเรียนพร้อมประกาศนียบัตร ชวนให้เกล็นฮาลนึกถึงนกน้อยที่ออกจากรังเมื่อเริ่มปีกกล้าขาแข็ง
ขณะสติกส์อวยพรบัณฑิตที่กำลังจะสยายปีกและออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ มันอมยิ้มเมื่อได้ยินคำชมเชยจากปากดยุคแห่งจักรวรรดิ
“ข้ามิได้ทำสิ่งใดเลย ทั้งหมดเกิดขึ้นได้ด้วยพลังของอาณาจักร”
สติกส์ถ่อมตนเกินไป
เกล็นฮาลทราบว่าสติกส์คือไฮเอลฟ์ที่มีอายุยืนยาวนับพันปี จึงเคยคิดว่าคงมีภาพลักษณ์คล้ายกับนักปราชญ์หยิ่งผยอง แต่ในความเป็นจริง สติกส์มีบุคลิกอ่อนโยน รอยยิ้มอบอุ่น ซึ่งนับว่าเหนือความคาดหมายไปพอสมควร และนั่นยิ่งทำให้เกล็นฮาลชื่นชมในตัวสติกส์
“จักรวรรดิยินดีต้อนรับคุณเสมอ มิใช่เฉพาะประชาชน แต่กระทั่งมหาจักรพรรดินีเองก็จะต้อนรับคุณด้วยเกียรติสูงสุด”
“ขอบคุณสำหรับไมตรี แต่ในฐานะชาวโอเวอร์เกียร์ ข้าจะเดินทางไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดินีด้วยเหตุผลอันใด?”
“ฮะฮะ…”
เกล็นฮาลคาดไม่ถึงว่าสติกส์จะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้
โดยเฉพาะการประกาศตัวชัดเจนว่าเป็นพลเมืองอาณาจักรโอเวอร์เกียร์
ในอดีต สติกส์เคยปฏิเสธทุกข้อเสนอของทุกอาณาจักรเพื่อใช้ชีวิตอย่างอิสระ ใครจะไปคิดว่าในวันหนึ่ง เขาจะเลือกศิโรราบอยู่ใต้อาณัติกริด
นั่นยิ่งทำให้เกล็นฮาลนึกชื่นชมกริดมากกว่าเดิม
“สติกส์!”
หลังจากกริดสนทนากับแขกพิเศษและกลุ่มนักเรียนจนทุกคนแยกย้าย ชายหนุ่มเดินมาทางสติกส์พลางซักถามอย่างประหลาดใจ
“นายทำได้ยังไง?”
“ทำอะไร?”
“นักเรียนสาขาภูตธาตุ! พวกเขาสุดยอดมาก!”
ดวงตากริดไม่ปิดบังความตื่นเต้น
ชายหนุ่มลดความองอาจลงเล็กน้อยเมื่อพิธีการจบลง บุคลิกผ่อนคลายใกล้เคียงกับอุปนิสัยเนื้อแท้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เกล็นฮาลคุ้นเคยและชื่นชอบ
“กระหม่อมก็คิดเช่นเดียวกัน พวกเขาพร้อมเข้าทำงานได้ทันที”
เกล็นฮาลเองก็สัมผัสได้
มันประหลาดใจไม่น้อยเมื่อพบว่านักเรียนสาขาภูตธาตุทั้ง 31 คนล้วนมีทักษะที่ยอดเยี่ยม
สติกส์พยักหน้ารับ
“ถูกต้อง พวกเขาทุกคนล้วนทำพันธสัญญากับภูตธาตุและเรียนรู้เวทมนตร์ภูต เด็ก ๆ เหล่านี้รู้จักหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี กระหม่อมได้แนะนำให้พวกเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยภูตธาตุโอเวอร์เกียร์แล้ว”
“หน่วยภูตธาตุโอเวอร์เกียร์?”
“เป็นชื่อเรียกชั่วคราวเพื่อความสะดวก ตั้งโดยคำนึงถึงรสนิยมของฝ่าบาทเป็นหลัก แต่หากฝ่าบาทไม่พอพระทัย สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ”
“ไม่ต้องเปลี่ยน แบบนี้ดีแล้ว”
ลอเอลที่ยืนอยู่ด้านข้างพยายามสะกิดแขนกริด แต่ชายหนุ่มเพิกเฉยโดยสิ้นเชิง
กริดกำลังตื่นเต้น
จริงอยู่ นักเรียนจากสาขาภูตธาตุอาจมีเพียง 31 คน แต่ทุกคนล้วนยอดเยี่ยมเมื่อตรวจสอบด้วยทักษะเฟ้นหาพรสวรรค์
กริดทึ่งจนเกิดความเคลือบแคลงว่า สติกส์ใช้เวทมนตร์ใดในการสอนพวกเขา
“ก็ไม่ได้มีความลับอะไรนัก เป็นเพียงการคัดสรรจากธรรมชาติ… เวทมนตร์ภูตสามารถเรียนได้เฉพาะผู้ที่ตอบสนองและมองเห็นภูต จากบรรดาเด็กนับหมื่นที่สมัครเข้าเรียนเมื่อเจ็ดปีก่อน มีเพียง 59 คนที่ผ่านคุณสมบัติ และมี 31 คนจบการศึกษาในปีนี้”
“เข้าใจแล้ว… เป็นสาขาที่ต้องใช้พรสวรรค์พิเศษตั้งแต่แรก”
ขณะกริดพยักหน้ารับ เกล็นฮาลที่ฟังอย่างเงียบงันกล่าวเสริมหลังจากใคร่ครวญ
“แม้จะตอบสนองต่อภูตได้ ก็มิใช่ว่าจะเป็นจอมเวทภูตได้สินะ… กระทั่งในจักรวรรดิ พวกเราพยายามอย่างหนักในการปลุกปั้นจอมเวทภูต แต่ก็ผลิตได้เพียงหนึ่งถึงสองคนต่อปี… คงต้องยอมรับจากใจจริงว่า ความสามารถในการสอนของคุณน่าทึ่งมาก”
“สมแล้วที่เป็นสติกส์…”
เป็นอีกครั้งที่กริดได้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของสติกส์
ชายหนุ่มจ้องสติกส์ด้วยสายตาเปี่ยมความเคารพนับถือ ก่อนจะกล่าว
“อันที่จริง ฉันอยากพูดคุยกับนายให้นานกว่านี้ แต่ตารางเวลาแน่นมาก ขอเลื่อนไปเป็นคราวหน้าก็แล้วกัน… สติกส์ รบกวนส่งฉันกับเมอร์เซเดสไปที่เกาะคอร์กหน่อย”
“…”
กระทั่งทุกวันนี้ สติกส์ยังคงรับหน้าที่เป็น ‘พลขับ’ ของกริดอย่างซื่อสัตย์
***
หลังจากสติกส์สูญเสียพลังเวทเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อส่งคนทั้งสองไปยังเกาะห่างไกล ร่างกายของมันแทบจะไร้เรี่ยวแรงจนต้องให้เหล่าคณาจารย์มาช่วยกันพยุง
“เจ้าอยากเห็นเกตวาร์ปที่พวกเราสร้างขึ้นไหม?”
‘เกตวาร์ป?’
อุปกรณ์เวทมนตร์ที่สามารถส่งคนไปกลับระหว่างจุดที่กำหนดสองจุด?
อาณาจักรโอเวอร์เกียร์สามารถสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์จากยุคโบราณได้แล้ว?
เมื่อได้เห็นสีหน้าตกตะลึงของเกล็นฮาล สติกส์โบกมือปฏิเสธ
“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด สิ่งนี้เป็นเพียงรุ่นทดลองที่ใช้ได้เฉพาะบางดินแดนของอาณาจักร ระดับความสมบูรณ์ยังต่ำอยู่มาก”
“แต่เท่าที่ผมเห็น เกตวาร์ปก็บนเกาะคอร์กก็ใช้งานได้ดีไม่ใช่หรือ?”
บรรดาอาจารย์ต่างพากันประหลาดใจ เนื่องจากเกตวาร์ปรุ่นแรกที่สติกส์ติดตั้งบนจุดห่างไกลอย่างเกาะคอร์กประสบความสำเร็จด้วยดี และพวกเขาไม่เข้าใจว่า ทำไมสติกส์ถึงยังปิดเป็นความลับจากกริดจนถึงทุกวันนี้
สติกส์เพียงยิ้มอ่อน
หากรายงานต่อกริดว่าเกตวาร์ปบนเกาะคอร์กประสบความสำเร็จ มันเกรงว่ากริดคงไม่มีเหตุผลให้แวะเข้ามาหาตนอีก
แน่นอน สติกส์มิอาจกล่าวเช่นนี้ต่อหน้าทุกคนได้
นับตั้งแต่ถูกกริดช่วยชีวิตบนหมู่เกาะเบเฮ็น มหาจอมปราชญ์ไฮเอลฟ์ก็รักและเอ็นดูชายหนุ่มมากกว่าใคร
Comments
Post a Comment