จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,212
แสงสว่างส่องอย่างเจิดจ้าคล้ายกับกำลังบอกทุกคนเป็นนัยว่า อนาคตวันข้างหน้าจะต้องสดใส
ระหว่างนั้น
เต่าสองตัว หนึ่งกระดองดำ และอีกหนึ่งกระดองฟ้าอ่อน กำลังเดินเข้าหากันโดยเหยียดคอพลางจ้องมองเข้าไปในดวงตา
『ขอบใจมาก…』
เดิมที เทพเต่าดำนั้นมีเพียงหนึ่ง
จึงเป็นเรื่องปรกติเมื่อสายน้ำกลับมาหลอมรวมกับความตายอย่างกลมเกลียวอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม สีหน้ากริดค่อนข้างอึมครึม
ท่ามกลางเสียงขอบคุณจากเต่าดำมรณะ ชายหนุ่มตะโกนกลับไปอย่างห่วงใย
“อย่าได้ลืมเด็ดขาด… อย่าลืมว่าคุณเคยได้รับความรักและความศรัทธาจากคนทั้งโลกมากมายเพียงใด!”
『ขอบใจมาก…』
เสียงขอบคุณสุดท้ายของเต่าดำมรณะเริ่มเลือนราง ความอบอุ่นอันเจือจางได้แผ่ขยายไปยังท้องฟ้า ผืนดิน แม่น้ำ และท้องทะเลในบริเวณโดยรอบทั้งหมด เกิดเป็นพรอันยิ่งใหญ่จากพลังแห่งเทพอย่างแท้จริง
[เทพสี่ทิศ เต่าดำ คืนชีพสำเร็จ!]
[★ภารกิจลับ★ <ปกป้องเทพเต่าดำ> สำเร็จ!]
[ท่านได้รับไอเท็ม <กระดองเต่าดำ> เป็นรางวัลภารกิจ ความสัมพันธ์กับเทพเต่าดำกลายเป็นค่าสูงสุด]
เต่าดำเปลี่ยนกลับไปเป็นตัวตนอันสง่างามและศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง ร่างกายมายาขยายขนาดขึ้นจนปกคลุมทั่วบริเวณ
วิวทิวทัศน์ของดินแดนภาคเหนือในขอบเขตการมองเห็นของเทพเต่าดำ กำลังเปี่ยมล้นไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ กระดองหลังขนาดมหึมาแผ่ปกคลุมภูเขาแบ็กมีจนเกิดเป็นภาพคล้ายกับ ‘ร่มยักษ์’ ปกป้องดินแดนภาคเหนือจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง
“ฉันจะไม่มีวันลืมนาย… เต่าดำมรณะ”
กริดแหงนมองท้องฟ้าอันห่างไกลพลางดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอันสงบสุข
จนกระทั่ง
『ข้าไม่ได้จากไปไหนสักหน่อย』
กริดอมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงพูดขัดจากเทพเต่าดำบนฟ้า
ชายหนุ่มก้มหน้าลง กวาดมองผืนแผ่นดินกว้างไกลสุดลูกหูลูกตารอบตัว
พืชพรรณและดอกไม้หลายสีเจริญเติบโตภายใต้บรรยากาศชุ่มฉ่ำ ทุ่งราบเขียวขจีทอดยาวรายล้อมภูเขาแบ็กมีทุกทิศ ความอิ่มเอมใจกำลังแผ่ซาบซ่าน ชายหนุ่มสัมผัสถึงความสำเร็จอย่างแท้จริงของตน หลังจากต้องฝ่าฟันอุปสรรคยากลำบากนานัปการ
แถมยังมีรางวัลตอบแทนเป็นรูปธรรม
กริดเปิดช่องสัมภาระพร้อมกับหยิบกระดองเต่าดำออกมาถือ
ชายหนุ่มเคยคิดว่า ไอเท็มชิ้นนี้คงเป็นอุปกรณ์สวมใส่ประเภทโล่ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
กระดองเต่าคือไอเท็มประเภทฝังติดกับร่างกาย คล้าย <ตราประทับแห่งการพัฒนา> ซึ่งถูกสร้างโดยเหนือมนุษย์ ‘ซาบัก’
<กระดองเต่าดำ>
เกรด : เทวตำนาน
ได้รับค่าสถานะ 300 แต้มเมื่อติดกับร่างกาย
ช่วยให้เจ้าของร่างกายต้านทานพิษทุกชนิดอย่างสมบูรณ์ และยังช่วยให้หายใจใต้น้ำได้อย่างไร้ขีดจำกัด
เวทมนตร์ธาตุวารีจะรุนแรงขึ้น 50%
เวทมนตร์ธาตุพิษจะรุนแรงขึ้น 50%
นี่คงเป็นเหตุผลว่า ทำไมยังบันถึงพยายามพัฒนา ‘ตราประทับ’ โดยอาศัยความช่วยเหลือจากมนุษย์
‘พวกมันต้องการเลียนแบบสิ่งนี้’
ประสิทธิภาพของตราประทับจากเทพนั้นอยู่คนละระดับโดยสิ้นเชิง
แม้วัลฮัลล่าของข่านจะทำให้กริดต้านทานพิษทุกชนิด แต่ชายหนุ่มก็มิได้นึกเสียดาย
ค่าสถานะ 300 แต้มนั้นเปรียบได้กับการอัปเลเวล 30 ระดับ แถมยังเพิ่มความเสียหายเวทมนตร์ขึ้นอีกสองธาตุ
‘การหายใจใต้น้ำก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน’
กริดกล้าพูดได้เต็มปากกว่า หากใครสามารถหายใจใต้น้ำได้อย่างอิสระ ความได้เปรียบในเกมซาทิสฟายก็จะเพิ่มขึ้นมาก ยกตัวอย่างเช่น การต่อสู้ในสมรภูมิใต้น้ำเต็มรูปแบบอย่างไซเรน
และเหนือสิ่งอื่นใด ตราประทับไม่สิ้นเปลืองช่องสวมใส่ เป็นการประทับลงไปบนผิวหนังในลักษณะเดียวกับรอยสัก
มาถึงจุดนี้ หากนับเฉพาะสิ่งของจับต้องได้ กริดมองว่า <กระดองเต่าดำ> คือรางวัลตอบแทนอันดับหนึ่งหลังจากเริ่มผจญภัยบนทวีปตะวันออกมานานหลายวัน
ชายหนุ่มจ้องมองกระดองเต่าดำอย่างมีความสุขอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะทำสีหน้าอึมครึมกะทันหัน
สืบเนื่องมาจาก มันเริ่มตระหนักถึงความผิดปรกติของระบบเลเวลในซาทิสฟาย
‘ไม่ว่าจะมองมุมใด ระบบเลเวลของเกมนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด’
ขณะตะลุมบอนในสงครามเฉาจื่อ กริดจัดการยังบันไปทั้งสิ้น 13 ตน
3 จาก 13 ศพแทบจะเป็นการ ‘โซโล่คิล*’ ส่วนอีก 10 ศพเป็นการฆ่าโดยผนึกกำลังกับไฮแรงเกอร์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า กริดคือผู้สร้างความเสียหายส่วนใหญ่จนยังบันเหล่านั้นถึงแก่ความตาย
(Solo Kill — ลงมือคนเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ)
ชายหนุ่มประเมินว่า เมื่อจบศึก เลเวลของตนน่าจะเพิ่มขึ้นสักสองระดับ เป็นการพิจารณาโดยมองข้ามมารุซึ่งชิงระเบิดตัวเองตายไป
แต่ในความเป็นจริง เลเวลกลับเพิ่มมาเพียงหนึ่งระดับเท่านั้น
กริดในปัจจุบันมีเลเวล 408 กับอีกแค่ 30%
‘คล้ายกับว่า ทุกการเลเวลอัปของเรา จะต้องใช้ค่าประสบการณ์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในระดับถัดไปเสมอ…’
นี่มิใช่การกล่าวเกินจริง กริดรู้สึกเช่นนี้จากใจ
ก็จริงอยู่ ยิ่งเลเวลสูงขึ้น ค่าประสบการณ์ในแต่เลเวลก็ต้องเพิ่มตาม แต่ชายหนุ่มสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า การพัฒนาของตนเริ่มช้าลงอย่างผิดวิสัยหลังจากเลเวล 403 เป็นต้นมา
‘หรือเลเวลของเราใกล้ตันแล้ว? ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด’
สำหรับกริด เป็นเพราะมันรวบรวมชิ้นส่วนสำคัญของคลาสได้เป็นจำนวนมาก และยังมีตราประทับเต่าดำมาช่วยยกระดับ ตัวละครในปัจจุบันจึงสามารถเอาชนะยังบันทั่วไปได้ไม่ยาก
แต่ไม่ใช่กับผู้เล่นส่วนใหญ่ของเกม สถานการณ์ทางแตกต่างกันเกินไป คนเหล่านั้นไม่มีชิ้นส่วนลับของคลาส ไม่ได้เป็นเหนือมนุษย์ และไม่มีความโอเวอร์เกียร์
ถึงจะพัฒนาตัวเองจนมีเลเวลเท่ากัน แต่โอกาสชนะยังบันปลายแถวก็ยังแทบเป็นศูนย์
‘หมายความว่า หากผู้เล่นหวังเอาชนะ NPC ในเนื้อหาช่วงหลังของเกม พวกเขาจำเป็นต้องมีเลเวลสูงกว่าศัตรูค่อนข้างมาก’
แล้วกำลังจะบอกว่า ขีดกำจัดของเลเวลคือช่วง 400 ต้น ๆ ?
มันใช่หรือ?
‘ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว! มีบางสิ่งไม่ปรกติ’
ผู้เล่นธรรมดายังห่างไกลจากยังบันมากเกินไป ไม่นับรวมศัตรูระดับเหนือกว่านั้นอย่างจอมอสูร อัครเทวทูต หรือเผ่าพันธุ์อมนุษย์นิรนามอีกมาก
แล้วทำไมระบบถึงสร้างขีดกำจัดเลเวลขึ้น?
รังแต่จะทำให้ผู้เล่นท้อแท้เสียเปล่า ๆ
เมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเกมยากเกินไป หลายคนคงตัดสินใจเลิกเล่นซาทิสฟายถาวร
ฉะนั้น ขีดจำกัดของเลเวล ย่อมไม่ใช่จุดประสงค์หลักของ SA กรุปแน่
‘เรามองข้ามอะไรไป…’
ในทางทฤษฎี การอัปเลเวลทำได้สองวิธี
ฟาร์มมอนสเตอร์ และทำภารกิจ
จริงอยู่ การผลิตไอเท็มซ้ำ ๆ ก็ช่วยเพิ่มค่าประสบการณ์ได้บ้าง แต่นั่นต้องใจรักและมีเวลาว่างมาก เพราะยิ่งเลเวลสูงขึ้น การผลิตไอเท็มก็ยิ่งได้รับค่าประสบการณ์ไม่คุ้มกับเวลา
ดังนั้น แนวทางปรกติในการอัปเลเวลของทุกคนรวมถึงกริดก็คือ ฟาร์มมอนสเตอร์ หรือไม่ก็ทำภารกิจ
คำอธิบายจึงมีเพียงเรื่องเดียว
บนทวีปตะวันออก ยังมีวิธีอัปเลเวลหนทางอื่นแอบซ่อนอยู่ นอกเหนือจากการฟาร์มมอนสเตอร์และทำภารกิจอย่างบ้าคลั่ง
ไม่สิ ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ นั่นคือ ช่วงเลเวลระหว่าง 400 ถึง 410 จะอัปยากเป็นกรณีพิเศษ หลอดค่าประสบการณ์จะสูงกว่าปรกติหลายเท่าตัว แต่หลังจากเลเวล 410 เป็นต้นไป กราฟ EXP จะดิ่งลงกลับคู่ค่าปรกติ
อย่างไรก็ตาม กริดไม่ต้องการเก็บเลเวลให้ถึง 410 ก่อนจึงค่อยพิสูจน์ทฤษฎี ในเมื่อปัจจุบันมีโอกาสให้ทดลองมากมาย ก็ควรรีบลงมือเพื่อให้หายคาใจ
‘…ถ้าเป็นครอเกล ก็คงทำแบบเดียวกัน’
กริดตระหนักถึงภาระอันยิ่งใหญ่ของท้องฟ้าอีกครั้ง
ขณะผู้เล่นคนอื่นสามารถลอกเลียนแบบแนวทางของท้องฟ้าได้อย่างอิสระ ท้องฟ้าต้องคอยเค้นสมองเพื่อเปิดเส้นทางใหม่ของตัวเองโดยไม่มีแบบอย่างจากใคร
‘เดี๋ยวสิ’
ในนั้นอาจมีความลับการอัปเลเวลบอกไว้…
กริดหวนนึกถึง ‘หอแห่งปัญญา’
อนุญาตให้เข้าได้เฉพาะ ‘หัวแถว’ เพียงคนเดียว และตามชื่อของมัน หอแห่งปัญญาควรอุดมไปด้วยความรู้และข้อมูลมหาศาล
‘เราต้องแวะเข้าไป!’
แต่แน่นอน หลังจากพักเหนื่อยเสร็จแล้ว
กริดยังไม่มีโอกาสหยุดพักแม้แต่วันเดียว นับตั้งแต่สองเท้าเหยียบลงบนผืนทวีปตะวันออก ปัจจุบัน จิตใจจึงเริ่มเผยอาการอ่อนเพลีย
ไม่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มต้องการเห็นด้วยตาตัวเองว่าบราฮัมยังสบายดี รวมถึงต้องการถ่ายทอด ‘พลังจิตไร้เทียมทาน’ ให้ปิอาโร่
เหนือสิ่งอื่นใด กริดหวังจะได้พบหน้าไอรีน ลอร์ด และเมอร์เซเดสโดยเร็ว
อีกทั้ง ต้องไม่ลืมแบ่งปันความสุขร่วมกับพวกพ้องหลังจากการแข่งซาทิสฟายนานาชาติจบลง
“ว่าแต่… เฒ่าดาบมาร”
“หือ?”
ขณะกำลังยืนชื่นชมร่างมายาอันสง่างามของเทพเต่าดำบนฟ้า เฒ่าดาบมารหันมาจ้องกริดตามเสียงเรียก
ชายหนุ่มพูดเข้าประเด็นโดยไม่รีรอ
“เข้ากิลด์โอเวอร์เกียร์ไหม”
แต่น่าเสียดาย คำตอบไม่ผิดคาดสักเท่าไร
“การถูกเชื้อเชิญจากท้องฟ้านับว่าเป็นเกียรติอย่างมาก แต่ต้องขออภัยจากใจจริง ฉันมีสังกัดของตัวเองอยู่แล้ว”
“อาณาจักรคายาแห่งทรายใช่ไหม?”
“…ฮวางกิลดงพูดมากชะมัด”
“แล้วอะไรคือตราผู้ตรวจราชการลับ*”
“ต้องขอโทษด้วย แต่ฉันยังบอกไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อใจท้องฟ้า แต่นั่นเป็นกฎเหล็ก”
“ไม่มีปัญหา”
กริดพยักหน้าแผ่วเบาพลางดึงม้วนคาถากลับทวีปตะวันตกออกมาถือ
“ไว้พบกันใหม่”
“ไว้พบกันใหม่ คราวหน้า ฉันจะอธิบายให้ฟังแน่นอน ว่าตราผู้ตรวจราชการลับคืออะไร”
นึกแล้วเชียว เฒ่าดาบมารนับว่าเป็นมิตรและมีนิสัยค่อนข้างดี บุคลิกแย่ ๆ อาจเกิดขึ้นหลังจากอยู่กับฮวางกิลดงมากไป
เมื่อกล่าวอำลาเฒ่าดาบมารเสร็จ กริดเงยหน้าและโบกมือให้เทพเต่าดำ
“ดูแลตัวเองด้วย ไว้พบกันใหม่”
『ก…กริด』
“หือ?”
『…มาเยี่ยมกันบ้างนะ』
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง พร้อมกับการเลือนหายไปจากสายตาเฒ่าดาบมารและเทพเต่าดำ
เมื่อกริดจากไป บรรยากาศบนยอดเขาแบ็กมีเริ่มกลับมาอึมครึมเล็กน้อย
โดยเฉพาะเฒ่าดาบมาร สีหน้าของมันคล้ายกับกำลังกลืนลวดหนามลงคอ
อาณาจักรทราย
หัวใจของมันเริ่มเจ็บแปลบ คล้ายกับกำลังจมอยู่กับความอัปยศอดสู
‘มีร์… คอยก่อนเถอะ’
เฒ่าดาบมารกล่าวคำอำลากับเทพเต่าดำและเดินลงจากภูเขา เนื่องจากมันยังกลับอาณาจักรคายาไม่ได้ จึงตัดสินใจเดินทางไปยังเมืองหลวงของชิงก่อน
ผ่านไปครึ่งวัน
เมื่อเฒ่าดาบมารรู้สึกตัวอีกที ก็พบว่าตนกำลังอยู่บนถนนไปยังอาณาจักรคายา จึงรีบหันหัวกลับอย่างร้อนรน
เลเวลของ ‘เฒ่าดาบมาร’ ผู้มักหลงทางอยู่เสมอ ยังไม่ถึงระดับ 380 ด้วยซ้ำ
***
ณ กรุงไรน์ฮาร์ท เมืองหลวงแห่งโอเวอร์เกียร์
“หือ?”
กริดบินบนท้องฟ้าผ่านกำแพงเมืองด้วยสีหน้าประหลาดใจ
นั่นเพราะค่าเฉลี่ยเลเวลของทหารยามหน้าเมืองหลวง สูงกว่าเดิมมากถึงราว 20 ระดับ
‘ทำไมถึงเพิ่มเลเวลได้เร็วขนาดนี้? เราหายไปยังไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ…’
กริดมองเห็นข้อมูลของทหารโอเวอร์เกียร์ทุกนายอย่างละเอียด ไม่ว่าจะชื่อ เลเวล หรือสังกัด
นี่คืออำนาจพื้นฐานของราชา
ไม่เพียงทหารเวรยามหน้าประตู แต่ยังรวมไปถึงทหารลาดตระเวนตามท้องถนน ทหารเวรยามในจุดสำคัญอื่น และทหารของกองทัพ ซึ่งกำลังฝึกหนักอยู่ในลานกว้าง เลเวลของทุกนายเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ได้เห็นดังนั้น กริดรีบเดินทางกลับเข้าวังหลวง
“ยินดีต้อนรับ”
“ทำงานแทนฉันได้ดีมาก… ว่าแต่ลอเอล นายใช้เวทมนตร์ใดเสกเลเวลของทหารขึ้นมา?”
มันถามลอเอลทันทีเมื่อเกิดความสงสัย
สีหน้าลอเอลดูแปลกไปทันที
“คิดจะถามเรื่องนี้กับฝ่าบาทอยู่พอดี กระหม่อมยังจำได้ว่า ฝ่าบาทเคยพูดใช่ไหมว่าอายุขัยของ ‘ดันเต้’ เหลืออีกไม่มากแล้ว?”
“เคยพูด”
“แต่ยิ่งเวลาผ่านไป กำลังวังชาของชายคนนั้นกลับเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน”
“…?”
“ความผิดปรกติเริ่มขึ้นตั้งแต่ฝ่าบาทเดินทางเดินทางไปยังทวีปตะวันออก ริ้วรอยบนใบหน้าของเขาจางหายอย่างรวดเร็ว ราวกับถูกลบด้วยน้ำยาล้างเครื่องสำอาง”
“…??”
“หลังจากนั้น ดันเต้นเริ่มฝึกสอนทหาร และทำให้เลเวลของทหารทุกนายเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดอย่างน่าอัศจรรย์…”
ลอเอลหยุดอธิบาย
นั่นเพราะมันเห็นว่า สายตาของกริดมิได้กำลังจ้องตน แต่มองไปทางด้านหลังด้วยสีหน้าตื่นเต้น
หันกลับไป ลอเอลเห็นบราฮัมในสภาพแขนใส่เผือกหนึ่งข้าง กำลังเดินลงจากบันได
‘รูบี้ทำได้ไม่เลว’
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ มันประหลาดใจสุดขีดเมื่อเห็นบราฮัมกลับถึงวังหลวงในสภาพแขนขาดหนึ่งข้าง
ลอเอลมิได้ห่วงบราฮัม แต่ห่วงว่ากริดอาจต้องเสียชีวิตหลายหนจนเลเวลลดหลายระดับ เพราะศัตรูต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จึงจะทำให้บราฮัมซึ่งกำลังหนี ตกอยู่ในสภาพยับเยินเช่นนี้ได้
“บราฮัม!”
กริดเดินผ่านลอเอลพลางตะโกนเรียก
“เสียสติไปแล้วรึไง! หลังจากลงเวทฝนอุกกาบาตเสร็จ ทำไมนายถึงไม่รีบหนี? กลับเอาแต่ต่อสู้จนแขนหักเนี่ยนะ?”
ขณะอยู่ในปราสาทเฉาจื่อ เมื่อกริดได้ยินมารุพูดว่า ‘การเสียสละตัวเองของอสูรผมขาว’ สติชายหนุ่มพลันขาดผึ่ง
เนื่องจากน้ำเสียงมารุคล้ายกับบอกเป็นนัยว่าบราฮัมตายไปแล้ว หัวใจกริดจึงถูกความเดือดดาลครอบงำชั่วขณะ
แต่มันฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว
ด้วยเหตุผลไม่ซับซ้อน
<สายสัมพันธ์>
รายชื่อบุคคลผู้มีสายสัมพันธ์แนบแน่นร่วมกับท่าน :
★ปิอาโร่★
★บราฮัม★
สายสัมพันธ์ เลเวล 1
เพิ่มค่าสถานะ 3% ขณะอยู่ใกล้กัน
ท่านสามารถรับรู้หากอีกฝ่ายเหลือพลังชีวิตในระดับอันตราย
นี่คือข้อดีของมิตรสหายทางวิญญาณ
หากบราฮัมตกอยู่ในอันตราย กริดย่อมต้องทราบก่อนใคร
เป็นเหตุให้กริดมั่นใจว่าบราฮัมยังมีชีวิตอยู่
แต่ว่า เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายสวมเฝือก
ภาพมหาจอมเวทในตำนานกำลังสวมเฝือก ช่างขัดหูขัดตากริดยิ่งนัก
“ถ้าแผลรักษาไม่ได้จะทำยังไง! ไม่รู้หรือว่ากระดูกมีโอกาสถูกทำลายจนไม่สามารถฟื้นฟู! ทำไมถึงต้องเสี่ยงชีวิต? ไม่เชื่อใจในฝีมือของฉันขนาดนั้นเลย?”
แน่นอน กริดไม่ทราบ
เรื่องการขาดสะบั้นของแขนขวาบราฮัม
มันยังไม่ทราบว่า แขนของบราฮัมพังยับเยินจนไม่สามารถรักษาได้ด้วยเวทมนตร์ ต้องกลับมาฟื้นฟูด้วยพลังนักบุญหญิงเท่านั้น
และกริดจะไม่ได้ทราบเรื่องนี้ไปตลอดกาล
บราฮัมกำชับมิให้ใครแพร่งพรายโดยเด็ดขาด
“แล้วนายคิดว่าตัวเองพึ่งพาได้นักหรือ?”
“อึ่ก…”
“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว ฉันกำลังยุ่ง”
บราฮัมพ่นลมหายใจเหยียดหยัน พลางเดินผ่านกริดลงไปยังชั้นล่าง
แม้จะอยู่ในสภาพใส่เฝือก แต่บราฮัมซึ่งสวมเครื่องแต่งกายเพียงครึ่งท่อนล่าง กำลังเอ่อล้นไปด้วยความสง่างามจนแม้แค่เพศเดียวกันก็ยังคล้อยตาม
ขณะกริดกำลังยืนมึนงง
“คึคึคึก! ต้องอย่างนั้น มีเสน่ห์มาก!”
ลอเอล ผู้ยืนรออยู่ชั้นล่าง กล่าวต้อนรับบราฮัมด้วยสีหน้ายินดีปรีดา
“ขอเพียงคุณเดินไปรอบ ๆ เมืองหลวง อัตราการสืบพันธุ์ของชาวเมืองจะต้องเพิ่มขึ้นหลายเท่าแน่นอน!”
“ให้ตายสิ…”
ได้ยินเช่นนั้น กริดส่ายหน้า
ถัดมา มันเตรียมไปยืนยันสภาพปัจจุบันของดันเต้เพื่อให้แน่ใจ จากนั้นค่อยแวะไปหาปิอาโร่ในค่ายทหารเพื่อสอนพลังจิตไร้เทียมทาน
เฒ่าดาบมารเก่งจังละ ขนาดยังไม่400👍
ReplyDeleteขอบคุณมากครับ😊🙏
บทพูดกริดพูดใส่บราฮัมอย่างกับผัวเมีย อ่านแล้วโคตเลี่ยน ขนลุกซู่ซซซ555+ หัดพูดเยอะๆแบบนี้กับยูร่าบ้าง *รักแท้แพ้กาลเวลานะคะ
ReplyDelete