จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,203
“ถ้าพวกเราได้พบกันอีกในสงคราม… ฉันหวังว่าจะไม่ใช่ในฐานะศัตรูของนาย”
นั่นคือคำพูดกริดเมื่อสองปีก่อน
บูบัตประทับใจประโยคดังกล่าวมาก
การถูก ‘ท้องฟ้า’ ชื่นชม ไม่ว่าจะในแง่มุมใด ก็ล้วนสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมเสมอ
บูบัตพยายามอย่างหนักเพื่อพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่ง พลางวาดฝันฉากการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท้องฟ้าคนปัจจุบันอย่างกริด
ดังนั้น มันจึงผิดหวังอย่างหนักเมื่อ…
“ไม่ล่ะครับ น่าเบื่อเกินไป”
กริดประกาศว่าจะไม่ลงแข่งซาทิสฟายนานาชาติด้วยเหตุผลว่า การแข่งขันกับผู้เล่นทั้งน่าเบื่อและปราศจากความท้าทาย
ได้ยินเช่นนั้น สมองบูบัตขาวโพลนทันที
“ทำไมนายถึงไม่ฉวยโอกาสจากเรา… ทำไมถึงเลือกช่วยเรา! หมายความว่าพวกเราไม่มีค่าพอให้เป็นคู่แข่งแล้วใช่ไหม!”
หลังจากคนทั้งสองได้โคจรมาพบกันอีกครั้งด้วยวาสนาชักนำ พฤติกรรมของกริดทำให้บูบัตเกิดความเจ็บแค้นเหนือพรรณนา
คำพูดสวยหรูจากสองปีก่อน เป็นแค่การกล่าวไปตามมารยาทเท่านั้นเองหรือ…
บูบัตจ้องเข้าไปในตากริดอย่างโกรธเคือง
แต่กริดมองกลับอย่างเข้าใจ
“ความช่วยเหลือในคราวนี้ มิได้เกิดจากความสมเพชหรือไม่เห็นคุณค่า แต่ฉันกำลังทำในสิ่งถูกต้อง”
“…!”
คำพูดดังกล่าวได้กระตุ้นให้บูบัตตาสว่าง ความโกรธแค้นในช่วงต้นเริ่มบรรเทาลงหลายส่วนเมื่อหัวสมองเย็นลง
ลงเอยด้วย
“มายาร่ายรำสะพรั่ง”
“สะบั้นเอ็นไขว้หน้า!”
บูบัตทำตามความฝันสำเร็จ ตนมีโอกาสสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกริดตามภาพในจินตนาการ
มันและกริดผนึกกำลังโค่นล้ม ‘เทพ’ ของทวีปตะวันออกในรูปแบบสองต่อสอง
น่าแปลกมาก ภายในใจบูบัตกลับไม่บังเกิดความหวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว
ในฐานะตัวเปิดอันดับหนึ่งของโลก มันมั่นใจว่าหากตนได้แท็กทีมกับกริด ผู้มีพลังโจมตีเป็นอันดับหนึ่งของโลก แม้แต่เทพแห่งทวีปตะวันออกก็สามารถร่วงหล่นได้
“กระชากแขน!!”
“สะพรั่งทำลายล้างร่ายรำสังหาร”
การโจมตีสุดทรงพลังตามต่อทันทีหลังจากเหยื่อถูกจับด้วย CC ทางกายภาพซึ่งมิอาจต้านทานหรือขัดขืน
บางที การผนึกกำลังระหว่างกริดและบูบัตอาจทรงพลังมากกว่าคู่หูใดในโลก
จังหวะการเข้าทำสอดประการกันอย่างลงตัวและไร้รอยต่อ จนบางคนอดสงสัยไม่ได้ว่า ทั้งสองคนเคยเป็นคู่รักกันในชาติปางก่อนหรือไม่
“แค่ก… แค่ก!”
“ไอ้สารเลว! ตายซะให้หมด!!”
มันพูดแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว…
ขณะถูกจับล็อกและถูกกระแทกด้วยปราณดาบกลีบดอกไม้สีครามหลายสิบเส้น โทสะอันเดือดดาลของยังบันกำลังท่วมท้นท้องฟ้าด้วยสีหน้าเดือดดาล
แต่ในตอนนี้ จุดอ่อนของบูบัตเริ่มเผยออกมา
มันขาดแคลนท่ายั่วยุต่อเนื่อง
ในฐานะคลาสลับพิเศษ บูบัตถูกจำแนกในหมวดหมู่ ‘ตัวเปิด’ มาพร้อมทักษะสายควบคุมศัตรูและท่าจับจำนวนมาก แต่ก็ทำให้สูญเสียจุดแข็งของตัวแทงค์อย่างท่ายั่วยุไป
เฉกเช่นกริด บูบัตเองก็เป็นหนึ่งในเหยื่อของ ‘สมดุลซาทิสฟาย’
จอมบดขยี้
แตกต่างจากคลาสตัวแทงค์ขนานแท้ บูบัตสูญเสียอำนาจในการ ‘ยั่วยุต่อเนื่อง’ โดยแลกกับท่าชาร์จและทักษะถล่มแนวหน้าศัตรู
ทั้งหมดทำไปเพื่อให้เกมคงสมดุลไว้
“กริด!!”
บูบัตพลันตื่นตระหนกเมื่อเห็นยังบันม้วนตัวหลบตนไปอย่างไม่แยแส และพุ่งเข้าหากริดด้วยความเร็วน่าทึ่งของชุนโป
ในเมื่อไม่มีทักษะยั่วยุ ค่าความโกรธจึงมุ่งไปยังผู้สร้างความเสียหายสูงสุดภายในปาร์ตี้
นั่นคือกริด
บูบัตกำลังจินตนาการถึงความตายของกริด
โดยลืมไปเสียสนิทว่า
เหตุใดกริดจึงถูกเรียกว่าราชาโอเวอร์เกียร์
“…”
เคร้ง—!
กริดมิใช่ตัวทำดาเมจ แต่เป็นได้ทุกบทบาท
เคร้ง!เคร้ง!
“อะไรกัน…?”
สองยังบันแสดงสีหน้าประหลาดใจ
แผนของมันคือการลงทัณฑ์มนุษย์ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าจนสาแก่ใจ เพื่อแก้แค้นให้กับความตายของซาอูล
แต่ทุกสิ่งดันกลับตาลปัตรไปเสียหมด
พรึ่บ—!
กริดยืนถ่างขาจังก้าพร้อมกับโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ดวงตาแฝงประกายความองอาจของราชาผู้อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง
หลังจากปัดป้องกระบี่อ่อนของยังบันสองเล่มได้อย่างหมดจด เปลวเพลิงปริศนาก็ลุกท่วมร่างชายหนุ่มและรัศมีรอบตัว
นี่คือหนึ่งในสุดยอดท่าป้องกันตัวจากเกราะไหล่ตัวใหม่ล่าสุด ทักษะ <จิตวิญญาณเสือขาวห่อหุ้มด้วยเพลิงลุกโชน>
<จิตวิญญาณเสือขาวห่อหุ้มด้วยเพลิงลุกโชน> Lv.1
ได้รับจิตวิญญาณแห่งเสือขาว
ลมหายใจฟินิกซ์แดงจะทำการสร้างเปลวไฟความเสียหาย 6,000 หน่วยต่อหนึ่งวินาทีออกมารอบตัว (มีผลกับผู้เล่นเพียงครึ่งเดียว)
ในระหว่างเปิดใช้งาน พลังโจมตีของผู้สวมใส่จะลดลง 80% และไม่สามารถเดินได้ แลกมากับการได้รับพลังป้องกัน +198% และความสามารถในการฟื้นฟูพลังชีวิตทุกชนิด +50%
‘นี่มัน… พลังฟินิกซ์แดง!’
เมื่อได้ประจักษ์เปลวเพลิงอันร้อนแรงและคาดไม่ถึง สองยังบันรีบก้าวถอยหลังอย่างระมัดระวังตัวและเตรียมเล่นงานด้วยท่าโจมตีระยะไกลแทน
แต่นั่นคือความผิดพลาด
ความผิดพลาดอันเกิดจากความไม่รู้
พวกมันไม่รู้ว่ากริดตายยากยิ่งกว่าแมลงสาบ
[<จิตวิญญาณเสือขาวห่อหุ้มด้วยเพลิงลุกโชน> ช่วยเพิ่มอัตราการฟื้นฟูพลังชีวิตทุกชนิด 50%]
[ท่านเปิดใช้งาน <พลังจอมอสูรบีเลียล> จาก <อักขระแห่งความตะกละ>]
[ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถรับพลังทั้งสามชนิดของบีเลียลพร้อมกันได้]
[เนื่องจากท่านครอบครองหัวใจลำดับ 9 ของฟินิกซ์แดง จึงทนรับแรงกดดันจากพลังจอมอสูรได้โดยไม่มีผลเสีย แต่ก็ยังมิอาจใช้งานพลังสามชนิดพร้อมกันได้อยู่ดี]
[ท่านสามารถเลือกใช้พลังได้เพียง 1 ชนิดจาก : <ความมืด> <อัคคี> และ <ตบตา>]
[ท่านเลือก <อัคคี>]
[ท่านจะได้รับทักษะติดตัว <ราชินีแห่งไฟ> เป็นเวลา 2 นาที พร้อมกับเปิดใช้งานทักษะกดใช้ : <เพลิงโลกันตร์ราชินี> และ <ร่องรอยเพลิงโลกันตร์>]
[ทักษะติดตัว <ราชินีแห่งไฟ> ช่วยเพิ่มอัตราการเด้งเลือดตามธรรมชาติ 300%]
[เนื่องจากท่านไม่ได้รับความเสียหายเป็นเวลานาน 5 วินาที เอฟเฟคของ <เข็มขัดทีราเม็ท> แสดงผล ทักษะ <สายลมคืนชีพ> ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูพลังชีวิตเป็น 2 เท่า]
<เพลิงโลกันตร์ราชินี>
เวทมนตร์ธาตุไฟอันแสนทรงพลัง เป็นเครื่องหมายการแสดงอำนาจของราชินีแห่งไฟ
ทำการสร้างเปลวเพลิงโลกันตร์อันร้อนแรงโจมตีใส่เป้าหมาย
ความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับค่าสติปัญญาของผู้ร่ายและค่าพลังชีวิตสูงสุดของเป้าหมาย
มานา : 90% ของมานาสูงสุด
ระยะหน่วงหลังใช้ : 10 นาที
<ร่องรอยเพลิงโลกันตร์>
ไม่ว่าราชินีแห่งไฟจะย่างกรายไปยังหนแห่งใด เธอจะสร้างเพลิงโลกันตร์ไว้บนเส้นทางเสมอ
ระหว่างเปิดใช้งานทักษะ เปลวเพลิงบนร่างกายท่านจะสร้างอาการ <เผาไหม้> แก่ทุกศัตรูในบริเวณใกล้เคียงอย่างรุนแรง
เมื่อโจมตีด้วยทักษะหรือการโจมตีธรรมดา ความเสียหายธาตุไฟจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนค่าพละกำลังและค่าสติปัญญา
ทรัพยากรที่ใช้ : สูญเสียพลังชีวิต 250 หน่วยและมานา 60 หน่วยในทุก 1 วินาที
ระยะหน่วงหลังใช้ : 5 วินาที
พรึบ!
พรึบ! พรึบ!
เปลวเพลิงซ้อนเปลวเพลิงจนหนาแน่น
สายลมกระโชกซึ่งกำลังหมุนรอบตัวกริดอย่างดุดัน ช่วยทำให้บรรยากาศของเปลวเพลิงดูน่าเกรงขามยิ่งกว่าเดิม
“…อะไรกัน?”
สองยังบันและกลุ่มแรงเกอร์ต่างจ้องมองกริดอย่างไม่เชื่อสายตา
สาเหตุมาจาก บาดแผลฉกรรจ์ตามลำตัวอีกฝ่ายกำลังถูกสมานด้วยความเร็วสุดน่าทึ่ง
ไม่ว่าเป็นแผลจะลึกแค่ไหน แต่ผิวหนังในบริเวณดังกล่าวจะถูกซ่อมแซมและฟื้นตัวกลับมาเหมือนใหม่แทบจะพริบตา
ไม่มีพลังเด้งเลือดใดในโลกเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์เช่นนี้
อย่างน้อยพวกมันก็ไม่รู้จัก ไม่เกินจริงไปนักหากจะเรียกว่าปาฏิหาริย์แห่งการฟื้นฟู
“เจ้าเป็นใคร… เจ้าเป็นใครกันแน่!!
ทำไมยังบันถึงไม่เคยเกรงกลัวมนุษย์ แถมยังดูแคลนและเหยียดหยันให้เป็นหมูหมากาไก่ เหตุผลของเรื่องนี้ไม่ซับซ้อน
ยังบันรู้จักทุกซอกมุมของมนุษย์อย่างละเอียด จึงไม่มีเหตุผลให้ต้องหวาดกลัวต่อเผ่าพันธุ์ซึ่งอ่อนแอกว่าหลายเท่า
แต่สำหรับตอนนี้ ตัวตนของกริดกลับเป็นปริศนาสำหรับพวกมัน
ความกลัวมีบ่อเกิดจากความไม่รู้
เรื่องนี้ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับยังบัน
“อึก… อึก…”
หลังจากดื่มโพชันมานาเพื่อรักษาระดับให้เพียงพอต่อการใช้งาน กริดหันไปมองยังบันคนหนึ่งอย่างเจาะจง
ชื่อของมันคือนาจึล
กริดไม่เคยพบเห็นยังบันตนใดมีพลังป้องกันสูงส่งเช่นนี้มาก่อน
อาจมากกว่าการัมด้วยซ้ำ
“เพลิงโลกันตร์ราชินี”
สุดยอดเวทมนตร์ของราชินีแห่งไฟ การใช้งานแต่ละหนต้องสิ้นเปลืองมานามากถึง 90% ของค่าสูงสุด
ฉึบ.
เพียงกริดชี้ปลายนิ้ว มานาของตนได้สูญหายไปอย่างมหาศาลในทันที แต่ต้องขอบคุณการมีอยู่ของ <แหวนแห่งความไร้เหตุผล> ชายหนุ่มจึงไม่ต้องจ่ายมานาในราคาเต็มเหมือนคนอื่น
แทบจะในพริบตา ร่างกายนาจึลพลันลุกท่วมด้วยแรงระเบิดอันท่วมท้นจากภายใน
บึ้มมมมมมมมม!!
“…!”
ในสภาพดวงตาปิดสนิท นาจึลล้มทรุดลงโดยปราศจากการขัดขืน
ตรงข้ามกับพลังป้องกันทางกายภาพอันสูงลิบ ค่าต้านทานเวทมนตร์ของนาจึลต่ำมาก
“ไอ้สารเลว!!”
เมื่อเห็นพี่น้องของตนล้มฟุบไปอีกหนึ่ง โดดัม (เย็นชา) พลันถลึงตาอย่างโกรธแค้นพร้อมกับเปิดใช้พลังจากลมหายใจเต่าดำ
ปลายกระบี่อ่อนของโดดัมพลันปลดปล่อยสายวารีหลายสิบเส้น แต่ละเส้นแยกออกไปหลายทิศทางเพื่อล้อมโจมตีกริดจากด้านหน้า
“ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและผนึกดวงวิญญาณเอาไว้ในขุมนรก!!”
ฉ่า!
ไอน้ำผุดขึ้นจากอากาศเมื่อพลังธาตุน้ำกับไฟปะทะกันอย่างรุนแรง และนั่นส่งผลให้บรรดาไฮแรงเกอร์ด้านหลังมองไม่เห็นเหตุการณ์
โดยไม่มีใครทราบ
สายตาของเทพเต่าดำซึ่งเอาแต่จ้องมองท้องฟ้ามาตลอดตั้งแต่ลืมตาตื่น ยามนี้ได้ชำเลืองลงมาด้านล่างเป็นหนแรก
ดวงตาแดงก่ำของสัตว์ประหลาดขนาดมหึมากำลังจ้องมองสายวารีจากปลายกระบี่ของโดดัม
บึ้ม! บึ้ม!
บึ้มมมม!
การปะทะกันระหว่างพลังอัคคีซึ่งหมายจะระเหยสายน้ำให้เหือดแห้ง และพลังวารีซึ่งต้องการจะดับเปลวเพลิงให้มอดสนิท ได้สร้างคลื่นกระแทกพัดพาไอน้ำในอากาศให้กระจายออกไปรอบเมืองเฉาจื่อ ส่งผลให้ไอน้ำรอบตัวกริดและโดดัมเจือจางลงเล็กน้อย
ฉากการดวลดุเดือดระหว่างกริดและโดดัมเริ่มปรากฏสู่สายตาบูบัตและไฮแรงเกอร์อีกครั้ง
แต่ก็แค่ชั่วครู่
ฉ่าาา!
เมื่อสองพลังปะทะกันอีกระลอก ไอน้ำเข้มข้นได้ผุดขึ้นจากอากาศว่างเปล่าอีกเช่นเคย บดบังทัศนวิสัยของบูบัตกับแรงเกอร์จนไม่หลงเหลือ
บึ้มมม!
ฉ่าาา!
วนซ้ำเช่นนี้อีกหลายรอบ
เมื่อคลื่นกระแทกพัดพาไอน้ำกระจายออกไปรอบเมือง ไอน้ำแบบเดิมได้ผุดขึ้นมาทดแทนจนแทบไม่เปิดช่องว่าง
“ข้างในเกิดอะไรขึ้นบ้าง…”
ขณะบรรดาแรงเกอร์พยายามกระจายตัวเพื่อหามุมดี ๆ สำหรับจับตามองการต่อสู้ หลายคนเริ่มหมดความอดทน
เปรี้ยะ!
ทันใดนั้น โดดัมได้แอบแฝงพลังอัสนีเข้าไปในคลื่นน้ำ ย้อมให้เส้นวารีสีฟ้าครามกลายเป็นสีเหลืองสว่างจากกระแสไฟฟ้าเส้นหยัก
ตามด้วยเสียงตะโกนของโดดัม
น้ำเสียงแฝงความสั่นเครือไว้เล็กน้อย
เป็นอารมณ์ของอาการยินดีปรีดา
“ตายซะ! เจ้ามดปลวก! คึฮ่าฮ่าฮ่า!+”
บึ้มมมมมมมมมมมมมมม!!
พลังทำลายอาจสร้างความฉิบหายwfhไม่เท่าเวทฝนอุกกาบาตถล่มเฉาจื่อก่อนหน้า แต่ก็มากพอจะทำให้ทุกสรรพสิ่งในบริเวณโดยรอบกลายเป็นซากขี้เถ้า
แรงระเบิดอันเปี่ยมด้วยพลังทำลาย เกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างสายฟ้ากับฝุ่นละอองจำนวนมากรอบตัวกริดและโดดัม
โดยฝุ่นดังกล่าวเกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างน้ำและไฟหลายสิบหนในช่วงแรก
โดดัมแอบใช้งานลมหายใจมังกรครามเพื่อสร้างปรากฏการณ์ระเบิดลูกโซ่อย่างหลักแหลม
ครืนนนน! เปรี้ยงงง!
บึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้ม!
ยังบันโดดัมฉีกยิ้มกว้างขณะจ้องมองการระเบิดหนแล้วหนเล่า มาถึงจุดนี้ เกรงว่ามนุษย์โอหังจะถูกสังหารจนสิ้นซากโดยไม่มีโอกาสส่งเสียงร้อง
ไม่เหลือแม้แต่ร่างกายไว้ให้ญาติคร่ำครวญ
‘ไม่ผิดแน่… เจ้านี่เป็นผู้คืนชีพฟินิกซ์แดง’
โดดัมสัมผัสถึงพลังฟินิกซ์แดงอย่างเจือจางได้จากเปลวเพลิงของมนุษย์คนดังกล่าว
มันต้องยอมรับจากก้นบึ้งว่า ศัตรูในคราวนี้นับว่าแข็งแกร่งมาก
‘แต่สุดท้าย มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ หากเราใช้ลมหายใจเทพผู้พิทักษ์พร้อมกันสองชนิดเมื่อไร การต่อสู้ก็จะจบลงทันที!’
ไม่มีมนุษย์หน้าไหนสามารถรับมือกับพลังกระแสไฟฟ้าฉับพลันได้แน่…
เปรี้ยะ!
เปรี้ยะ!
โดดัมหันหลังกลับไปมองละอองไอน้ำซึ่งยังคงลอยเจือจางอยู่รอบเมือง
มันไม่พบซากศพของมนุษย์คนใด
คงถูกทำลายจนไม่เหลือแม้แต่เศษฝุ่น…
“กลับเถอะเถอะ นาจึล”
ขณะพยุงร่างพวกพ้อง โดดัมหันมาจ้องกลุ่มไฮแรงเกอร์และบูบัตซึ่งเอาแต่ยืนตัวแข็งทื่อ
“พวกเจ้าจะต้องถูกลงโทษในอีกไม่ช้า!”
กึก.
หัวใจของบูบัตและไฮแรงเกอร์พลันหล่นไปกองอยู่กับตาตุ่ม
ห่างไกลจากคำว่าขัดขวางผู้บุกรุกมาก แถมบางคนยังออกตัวช่วยเหลือผู้บุกรุก
บรรดาผู้เล่นต่างก้มศีรษะมองพื้นโดยไม่คิดสบตากับโดดัมโดยตรง
ทว่า… เหตุผลของการจ้องพื้นมิใช่เพราะสำนึกผิดหรืออับอาย แต่ทุกคนไม่ต้องการบอกให้โดดัมรู้ตัวว่าพวกตนกำลังมองไปทางไหน
ทันใดนั้น
เปรี้ยะ—
การต่อสู้ควรจะจบไปแล้วไม่ใช่หรือ…?
ขณะโดดัมกำลังก้าวข้าไปพร้อมกับพยุงร่างนาจึล โสตประสาทของมันพลันได้ยินบางสิ่งดังแว่วจากด้านหลัง
ฟุ่บ!
ผมหน้าม้าของโดดัมปลิวไสวด้วยแรงลม
เปรี้ยะ!
ตามด้วยเสียงเสียดสีของบางสิ่ง
ฉึบ!
กว่ามันจะรู้ตัว
ลำคอโดดัมก็ถูกฟันเข้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว
“…?”
โดดัมมองเห็นจากมุมสายตาโดยบังเอิญ
มันเห็นร่างของมนุษย์คนหนึ่งกำลังถูกห่อหุ้มด้วยกระแสไฟฟ้าสีขาวโพลน
“เทพ… สายฟ้า!”
[บุคคลนิรนามทำการเขียนบทกวีลำดับ 5]
ความทรงจำมากมายในอดีตพลันแล่นกลับมาฉายในสมองโดดัม เป็นภาพของโทสะอันเกรี้ยวกราดซึ่งมังกรครามระเบิดใส่ห้าอาวุโสจนฝ่ายหลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก
ไม่ว่ามังกรครามจะพุ่งไปยังทิศทางใด สายฟ้าสีขาวจะสร้างความหนักใจให้กับห้าอาวุโสได้เสมอ โดยเฉพาะพลังในการดูดกลืนมานา
เฉกเช่นตัวมันในตอนนี้
[บทกวีเริ่มต้นด้วยเทวตำนานบทหนึ่งซึ่งเคยถูกมนุษย์ลืมเลือนนานนับพันปี]
“อั่ก…!”
ในสภาพไร้มานา โดดัมย่อมไม่สามารถใช้พลังของลมหายใจเสือขาวได้
เมื่อใช้พลังรักษาจากเสือขาวไม่ได้ มันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้ฝ่ามือห้ามเลือดแทน
โดดัมรีบปล่อยมือจากนาจึลและเลื่อนขึ้นมาจับคอตัวเองเพื่อระงับอาการเลือดไหล ส่วนมืออีกข้างกำลังถือกระบี่อ่อนและเล็งไปทาง…
มนุษย์…?
[เขาคืนชีพให้กับเทพผู้ถูกหลงลืม]
…ไม่ใช่ เรากำลังสู้อยู่กับเทพสายฟ้า!
วิชากระบี่กลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์
เทพสายฟ้าจะไม่ได้รับความเสียหายทางกายภาพด้วยเหตุผลทั้งปวง
การโต้ตอบทางเดียวจึงเป็นเวทมนตร์
แต่เวทมนตร์ก็ถูกผนึกด้วยการสูบมานาจนเหือดแห้ง
เปรี้ยะ! เปรี้ยะ! เปรี้ยะ! เปรี้ยะ! เปรี้ยะ!
กริดกระหน่ำฟันใส่โดดัมนับครั้งไม่ถ้วน
ศีรษะของยังบันพลันวิงเวียน ภาพการมองเห็นมีเพียงสายฟ้าสีขาวละลานตา ราวกับเทพมังกรครามคืนชีพลงมาเล่นงานมันด้วยตัวเอง
[ข้อเท็จจริงกำลังจะถูกสลักทับลงบนเทวตำนานของปลอมซึ่งหลอกลวงผู้คนมาอย่างยาวนาน]
ก็อดกริด💪
ReplyDeleteขนลุกเลย
ReplyDeleteเควสระดับ 'GOD' ชัดๆ เหนือSss เหนือZ เหนือLg
ReplyDelete