จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,209
กริดถูกทำมารุทำให้สั่นกลัว
แม้ว่าพลังของมารุจะด้อยกว่าการัม แต่ระดับความหวาดกลัวในใจกริดกลับสู่กว่า โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับขณะได้พบการัมเป็นหนแรก
ใจนึงนึกชื่นชมเฒ่าดาบมาร ผู้สามารถยื้อชีวิตจากสัตว์ประหลาดตนนี้ได้นานกว่าสิบนาที
แต่อีกใจนึงก็กำลังกระวนกระวาย
‘ถ้าโดนเข้าสักหมัดคงไม่รอด…’
และถ้าฟินิกซ์แดงยังไม่คืนชีพ มารุก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้
แทบไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย ไม่ว่าจะในทางทฤษฎีหรือปฏิบัติ
ต่อให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมเต็มร้อย แต่โอกาสเอาชนะก็ยังค่อนข้างต่ำ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงสภาพขาดแคลนทักษะในปัจจุบัน
ครืนนนน!!
ผืนดินกำลังสั่นสะเทือนในลักษณะคลื่น กริดพยายามรักษาสมดุลไว้ไม่ให้เซล้ม
ลมพายุเกรี้ยวกราดกำลังบดบังการมองเห็นรอบตัวมารุ แต่กริดก็ทดแทนด้วยการใช้ประสาทสัมผัสเหนือมนุษย์หยั่งถึง
ชายหนุ่มไม่แยแสสายฟ้าซึ่งแล่นมากระทบร่างกายเป็นระยะ เพียงเพ่งสมาธิเพื่อหาทางออกให้กับสถานการณ์ปัจจุบัน
‘คงต้องยืมพลังของเมอร์เซเดสมาช่วยเพิ่มโอกาสชนะ แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี’
ความโกงของ <เนตรมองทะลุ> คงไม่มีอะไรให้ต้องพิสูจน์อีกแล้ว
สามารถอ่านความคิดและพฤติกรรมของเป้าหมาย หรือแม้กระทั่งมองเห็นอนาคตล่วงหน้าเล็กน้อย
สุดยอดพลังซึ่งเคยถูกนำมาใช้จัดการการัม
‘ถ้าใช้เนตรมองทะลุ เราคงหลบหลีกการโจมตีได้สักระยะ รวมถึงยังช่วยให้มองเห็นจุดอ่อนของศัตรู’
ไม่ว่าอย่างไร การชิงความได้เปรียบมาไว้ในมือถือเป็นสิ่งสำคัญ
ต้องสร้างความเสียหายให้มากเข้าไว้ และยื้อเวลาจนกว่าไฮแรงเกอร์กับเฒ่าดาบมารจะฟื้นฟูเรี่ยวแรงเสร็จ
นั่นคือแผนในตอนแรก
ขณะกริดวางหมากเสร็จสรรพและเตรียมทำศึกยืดเยื้อ ร่างกายมันพลันสั่นเทากะทันหัน
สืบเนื่องมาจาก มารุ ผู้ยืนห่างออกไปไกลหลายสิบเมตรในตอนแรก ได้งอเข่าเล็กน้อยพร้อมหายตัวมาโผล่ด้านหน้าในระยะประชิด
ครืนนนน—!
‘ทำศึกยืดเยื้อก็เหี้*แล้ว!’
แค่หมัดนี้หมัดเดียว เกรงว่าเราอาจถูกส่งไปเกิดใหม่ได้ในพริบตา
[ได้รับความเสียหาย 190 หน่วย]
[ได้รับความเสียหาย 257 หน่วย]
[ได้รับความเสียหาย 231 หน่วย]
[ได้รับความเสียหาย 305 หน่วย]
ยิ่งมารุเข้าใกล้ ผืนดินยิ่งสั่นสะเทือนหนักหน่วงจนยากจะทรงตัว ลมพายุทวีความรุนแรงจนสัมผัสเหนือมนุษย์เริ่มเสื่อมถอย ปริมาณสายฟ้าถี่กว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ความเสียหายสั่งสมจนเริ่มเป็นภาระร่างกาย
‘บัดซบ…!’
นี่คืออำนาจและความยิ่งใหญ่ของยังบัน
กริด ผู้กำลังเผชิญหน้ากับมารุซึ่งเปิดใช้งานลมหายใจเทพผู้ทักษ์สามตนพร้อมกัน กำลังหวนนึกถึงฉากในอดีตขณะสู้กับการัม
ฉากศึกดวลแห่งความเป็นความตายหนแล้วหนเล่าย้อนเริ่มกลับมาหลอกหลอน
แม้จะออกอาการกระสับกระส่าย แต่ชายหนุ่มก็สุขุมพอจะเปิดใช้งานถ้อยคำนักคุณธรรม
ทว่า
[ท่านเข้าสู่สภาวะ <เทพธรณี> โดยการผสานเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณเสือขาว]
ทักษะโอกาสแสดงผลต่ำ จะสุ่มติดก็ต่อเมื่อยืนเท้าติดพื้นเท่านั้น
สำหรับคราวนี้ นับว่าแสดงผลออกมาได้ถูกตำแหน่งถูกเวลามากทีเดียว
กริดอดคิดไม่ได้ว่านี่ต้องเป็นผลมาจาก ‘ค่าความโชคดี’ จำนวนมากในตัว
[ท่านเปิดใช้งานทักษะ 3 ชนิด]
ในฐานะผู้เคยศึกษาร่างเทพธรณีมาตลอดการเดินทาง กริดรีบใช้งานทักษะหนึ่ง ก่อนข้อความระบบจะแจกแจงรายละเอียดเพิ่มเติมเสียอีก
[ท่านใช้งาน <โอบกอดธรณี>]
[วัตถุทั้งหมดในรัศมี 10 เมตรจะแข็งเป็นหินนาน 10 วินาที เป้าหมายในสภาพแข็งเป็นหินจะไม่ได้รับความเสียหายทุกประเภท]
โอบกอด
ชื่อทักษะอาจฟังดูอบอุ่นอ่อนโยน แต่ผลลัพธ์กับน่าสะพรึงกลัวสุดขั้ว บางที เสือขาวอาจเคยใช้พลังนี้ปกป้องมวลมนุษย์มาแล้วในอดีต
“ผสานไอเท็ม”
เมื่อเห็นกำปั้นมารุหยุดกึกตรงหน้า กริดฉีกยิ้มกว้างอย่างเหยียดหยัน พลางสานต่อทักษะถัดไปโดยไม่รีรอ
หลังจากอาวุธสองเล่มถูกรวมเข้าด้วยกันเสร็จสรรพ บัฟโทสะช่างเหล็กและพลิ้วไหวได้ส่งเสริมให้พลังโจมตีถูกรีดเร้นจนถึงค่าสูงสุด
แผนการเปลี่ยนไปจากตอนแรก
“ถ้อยคำนักคุณธรรม”
[ด้วยพลัง <ดยุคแห่งคุณธรรม> ท่านขอความช่วยเหลือจากอัศวิน ‘ปิอาโร่’]
[ปิอาโร่ตอบรับคำขอร้อง]
[ทักษะ <บดข้าวเปลือก> ถูกเปิดใช้งาน]
[ทรัพยากร <ปราณดาบ> ของท่าน เปลี่ยนเป็น <ปราณธรรมชาติ> ชั่วคราว]
[หากทักษะใดใช้ปราณดาบ จะเปลี่ยนมาใช้ปราณธรรมชาติแทน]
[ด้วยลักษณะพิเศษของปราณธรรมชาติ ความรุนแรงทักษะจะเพิ่มขึ้น 20% แต่ความแม่นยำจะลดลง 30%]
เหตุผลให้กริดเปลี่ยนแผนนั้นไม่ซับซ้อน
มารุในสภาพถูกสาปให้เป็นหิน ย่อมไม่มีทางหลบการโจมตีถัดไปพ้น
ฉะนั้น การปลดปล่อยทักษะโจมตีสุดทรงพลังหนึ่งครั้ง ย่อมมีประโยชน์มากกว่าการทำศึกยืดเยื้อด้วยเนตรมองทะลุ
<บดข้าวเปลือก>
เฉกเช่นการบดขยี้ธัญพืชด้วยสาก ผู้ใช้งานจะทำการบดขยี้เป้าหมายด้วยปราณธรรมชาติ
สร้างความเสียหาย 6,200% ของพลังโจมตีกายภาพใส่หนึ่งเป้าหมาย จากนั้นจะมองข้ามพลังป้องกันแบบสุ่มตั้งแต่ 30% ถึง 80%
สร้างความเสียหายครึ่งหนึ่งแก่ศัตรูรอบตัวเป้าหมาย และสุ่มมองข้ามพลังป้องกันตั้งแต่ 10% ถึง 60%
★ ทำการโจมตีสามครั้งในกรณีติดคริติคอล
ทรัพยากร : ปราณธรรมชาติ 1,000
ระยะหน่วงหลังใช้ : 1 ชั่วโมง
‘โจมตีสามครั้ง?’
หมายความว่า การโจมตี 6,200% จะรุนแรงขึ้นไปอีกสามเท่า?
ในวินาทีนี้ กริดเข้าใจอย่างแจ่มชัดว่า เพราะเหตุใดปิอาโร่ถึงเลือกใช้งาน ‘บดข้าวเปลือก’ บ่อยครั้งกว่า ‘ความตายซึ่งถูกลิขิต’ ในการต่อสู้ครั้งสำคัญ
ถึงแม้ศัตรูจะต้านทานการ ‘สั่งตาย’ แต่ค่าพลังโจมตีของ ‘ความตายซึ่งถูกลิขิต’ ก็ยังสูงกว่า ‘บดข้าวเปลือก’ ค่อนข้างมาก
ถึงกระนั้น ปิอาโร่กลับเลือกใช้อย่างหลังในช่วงเวลาสำคัญแทบทุกครั้ง
เหตุผลไม่ซับซ้อน
ในกรณีดวงดี ค่าความเสียหายสูงสุดของบดข้าวเปลือกจะเหนือกว่า ‘สั่งตาย’ หลายเท่า
‘นายสร้างทักษะแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไง…’
สมกับเป็นปิอาโร่
จริงอยู่ เมื่อนำไปเทียบกับอดีตตำนาน ปิอาโร่อาจยังไม่เบ่งบานถึงขีดสุด แต่ในอนาคต ชายคนนี้จะได้เกิดใหม่ในฐานะตำนานอย่างสมศักดิ์ศรี เป็นระดับเดียวกับมหาจอมเวทในตำนาน บราฮัม และราชาไร้พ่าย มาดรา
ร่วมกันกับเมอร์เซเดส
ทันใดนั้น ข้อความระบบอันไม่คาดฝันได้แจ้งเตือนเข้ามาตรงมุมสายตากริด
[ทักษะ <พลังจิตไร้เทียมทาน> ของท่าน ช่วยเสริมประสิทธิภาพให้กับวิชา <ทำฟาร์มอิสระ>]
<พลังจิตไร้เทียมทาน> Lv.1
หลังจากอริยดาบบีบันทำการค้นคว้าวิจัยอย่างยาวนาน เขาสามารถปรับเปลี่ยนจุดไหลเวียนพลังภายในร่างกาย ส่งผลให้ปราณดาบพวยพุ่งประหนึ่งบ่อน้ำพุไม่มีวันเหือดแห้ง
หากปิดใช้งานทักษะ : ฟื้นฟูปราณดาบ 10 หน่วยต่อหนึ่งวินาที
หากเปิดใช้งานทักษะ : ท่านจะได้รับปราณดาบครึ่งหนึ่งของค่าสูงสุดทันที แต่จะส่งผลให้ปราณดาบฟื้นฟูวินาทีละ 1 หน่วยเป็นเวลาสิบนาที ระยะหน่วงหลังใช้ 1 ชั่วโมง
“…!”
กล่าวกันว่า ‘วิชาดาบอิสระ’ ถูกสืบทอดภายในตระกูลปิอาโร่มาหลายรุ่น
โดย ‘ทำฟาร์มอิสระ’ ของปิอาโร่ก็ถูกประยุกต์จาก ‘วิชาดาบอิสระ’ เช่นกัน
ในอดีต บีบันได้สะบั้นปีกของมังกรศิลา กูเซล ด้วยวิชาดาบไร้เทียมทานอันลือเลื่อง
ขณะยืนวิเคราะห์ข้อมูลอย่างสุขุม กริดพลันเย็นวาบไปถึงสันหลัง
‘หรือว่า… วิชาดาบอิสระของตระกูลปิอาโร่ แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดจากวิชาดาบไร้เทียมทานของบีบัน?’
ตามตำนานกล่าวไว้ว่า วิชาดาบอิสระมีต้นกำเนิดมาจากทวีปตะวันออก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นจริงเสมอไป
[<พลังจิตไร้เทียมทาน> เพิ่มพลังโจมตีของ <บดข้าวเปลือก> อีก 1,200% เพิ่มประสิทธิภาพการมองข้ามพลังป้องกันเล็กน้อย และลดการใช้ทรัพยากรลงครึ่งหนึ่ง]
ฟ้าว—!
ปราณธรรมชาติของบดข้าวเปลือก กำลังลอยลงมาจากฟากฟ้าด้วยบรรยากาศคุกคามยิ่งกว่าขณะถูกใช้งานโดยปิอาโร่
แม้จะสลายพายุในคราวเดียวไม่ได้ แต่ก็ทรงพลังพอจะกรีดเฉือนท้องฟ้าลงมาเป็นเส้นตรงโดยไม่ถูกสิ่งใดขัดขวาง ฉากดังกล่าวกำลังปรากฏอยู่ในกระจกตาของมารุ
คล้ายกับกำลังเย้ยหยันเทพนภา ฮานึล
‘เจ้านี่… มันเป็นใครกันแน่…’
มารุเริ่มตระหนักถึงความผิดปรกตินับตั้งแต่ตนได้ยินเสียงคำรามของเสือขาว
แม้จะเป็นเพียงมนุษย์ แต่อีกฝ่ายกลับสำแดงอิทธิฤทธิ์สมบูรณ์แบบของเสือขาวได้อย่างไร้ข้อบกพร่อง
ในส่วนของมารุ มันต้องพึ่งพาสมบัติเทพอย่างอัญมณีเต่าดำ เพื่อจะสำแดงฤทธิ์เดชแท้จริงของเทพเต่าดำออกมา เมื่อเห็นกริดทำในสิ่งเดียวกันโดยปราศจากอุปกรณ์ช่วย ความประหลาดใจจึงกำลังท่วมท้นหน้าอก มันชักไม่แน่ใจแล้วว่า อีกฝ่ายมีพรสวรรค์สูงส่ง หรือได้รับพรจากเทพโดยตรงกันแน่ (แต่ในความเป็นจริง กริดก็ใช้พลังผ่านสมบัติเทพเช่นกัน เป็นรูปแบบหนึ่งของ ‘โอเวอร์เกียร์’)
‘มันเป็นใคร… ทำไมถึงครอบครองพลังทัดเทียมกับมีร์ได้?’
อาจเกินจริงไปสักนิดหากนำไปเทียบกับมีร์
มีร์สามารถสำแดงพลังของเทพสี่ทิศทุกตนได้อยู่สมบูรณ์โดยไม่มีข้อยกเว้น
แต่นั่นพราะมีร์คือผู้ครอบครองพรสวรรค์สูงสุดนับตั้งแต่เคยมียังบันถือกำเนิดขึ้นมา
มีร์ ผู้ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากฮานึลเป็นล้นพ้น สามารถไปถึงจุดดังกล่าวได้โดยยังไม่ต้องมีพลังของศาสนาและความเชื่อมาค้ำจุน การนำมนุษย์ไปเปรียบกับมีร์จึงออกจะเกินเลยไปสักนิด
แต่ในวินาทีนี้
ฟ้าว—!
เบื้องหน้ามัน มนุษย์กำลังสำแดงพลังในระดับเดียวกับมีร์ให้ประจักษ์แจ่มชัด
‘เป็นไปไม่ได้!’
มารุยืนกรานปฏิเสธ
มันมิอาจยอมรับได้ว่า ตนจะอ่อนแอกว่ามนุษย์แสนต่ำต้อย
และถ้ามันยอมรับ เกรงว่าความเป็นเทพจะยิ่งห่างไกลออกไปทุกที
‘คิดว่าของแค่นี้จะทำอะไรข้าได้รึไง…!’
มารุกัดฟันกรอด พลางปรับเปลี่ยนกระแสพลังของลมหายใจเต่าดำ
เปลี่ยนจากการแผ่ปราณวารี กลายเป็นออร่ากัดกร่อนอันน่ารังเกียจ
เป้าหมายคือ ทำลายก้อนหินซึ่งจับตัวจนร่างกายของมันแข็งทื่อ
เปรี้ยะ!
‘ได้ผล!’
สภาพแข็งตัวเริ่มคลายออก
ขณะมารุกำลังตื่นเต้นยินดี
ชิ้ง!
เต่าตัวหนึ่ง ยืนท่ามกลางกลุ่มมนุษย์ ได้จ้องมาทางมารุด้วยดวงตาแดงก่ำ
ทันใดนั้น ออร่ากัดกร่อนรอบตัวมารุพลันสลายไปราวกับเป็นเรื่องโกหก พลังธรณีโดยรอบเริ่มกลับมาแข็งตัวอีกครั้ง
‘เต่าดำ…!’
เป็นแค่อีกหนึ่งจิตอันบ้าคลั่งของเทพผู้พิทักษ์ กล้าดียังไงมาขัดขวางข้าคนนี้!
…สามหาว!!
มันแหกปากในใจจนแทบกระอักเลือด
แต่การยื้อยุดผ่านไปเพียงไม่นาน เนื่องจากผลของอาการแข็งเป็นหินได้หมดเวลาลงพอดี
น่าเสียดาย ตอนนี้สายเกินไปแล้ว
‘อะไรกัน?’
มารุพลันเย็นสันหลัง
เมื่อประสัมผัสกลับคืนมาหลังจากร่างกายแข็งเป็นหิน มันสามารถประเมินความรุนแรงการโจมตีบนฟากฟ้าได้อย่างคร่าว
‘นี่มัน… หอกของเซราทุลรึไง?’
การโจมตีแฝงไว้ด้วยอำนาจทำลายล้างมหาศาล จนมันอดนำไปเทียบกับการโจมตีของเทพสงครามมิได้
มารุตัดสินใจหลบหลีก
ไม่มีความคิดใดสนับสนุนให้มันเผชิญหน้ากับวัตถุแปลกปลอมจากท้องฟ้าซึ่งหน้า
แต่ยังไม่ทันจะขยับตัว
กริดคำนวณเวลาในการตกของบดข้าวเปลือก ให้ตรงกับเวลาหมดดีบัฟแข็งเป็นหินพอดี
กร็อบ!
“คึ่ก…!”
กระดูกท่อนแขนของมันแตกหักทันที
สะโพกมิอาจทนรับแรงกระแทกมหาศาลไหว ร่างกายทรุดตัวลงในสภาพเข่างอ
ร่างกายมารุเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล โดยมิอาจหลีกหนีชะตากรรมต้องถูกตอกด้วยสากยักษ์ประหนึ่งหมุดโลหะ
แต่บดข้าวเปลือกยังไม่จบลง
บึ้มมมมมมมม!!
ครืนนนนน!!
เมื่อตกถึงพื้น บดข้าวเปลือกได้กระแทกร่างกายมารุซ้ำลงไปอีกสองหนจนจมดิน
นี่คือการโจมตีสามครั้งซ้อนอันเนื่องมาจากเอฟเฟคของคริติคอล
[คริติคอล!]
[สมญานาม <ตายในครั้งเดียว> แสดงผล! ความเสียหายคริติคอลเพิ่มขึ้น 40%]
[สร้างความเสียหายต่อเป้าหมาย 35,690,650 หน่วย]
[สร้างความเสียหายต่อเป้าหมาย 38,820,100 หน่วย]
[สร้างความเสียหายต่อเป้าหมาย 37,705,244 หน่วย]
[กระดูกส่วนแขน ไหล่ เอว และขาของเป้าหมายเกิดการชำรุด!]
ครืนนนน…
ผลข้างเคียงจากการโจมตียังไม่จบลงโดยง่าย
ผืนดินในบริเวณดังกล่าวยังคงสั่นกระเพื่อมในลักษณะคล้ายคลื่นน้ำ
ไฮแรงเกอร์ออกอาการวิงเวียนศีรษะ
ในทางกลับกัน กริด ผู้ทำการลอยตัวขึ้นฟ้าล่วงหน้าและไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ก้มมองผลลัพธ์อันเกิดจากบดข้าวเปลือกอย่างสุขุม
เบื้องล่างเกิดหลุมลึกขนาดใหญ่
เทียบกับอุกกาบาตของบราฮัม ปากหลุมอาจมีขนาดไม่ใหญ่เท่า แต่ความลึกนั้นมากกว่าถึงสองเท่า
กึ่งกลางหลุมมีจุดเล็ก สีดำ หนึ่งจุด
แค่ก! แค่ก!
จุดดังกล่าวเป็นสิ่งใดไปไม่ได้นอกจากมารุผู้กำลังอาเจียนเป็นเลือดอย่างหมดสภาพ
แขนขาหักงอผิดรูป หน้าอกยุบตัว ริมฝีปากอาเจียนก้อนเลือดออกมาเป็นระยะด้วยลมหายใจขาดห้วง
ยังบันระดับเดียวกับการัม มีอันต้องหมดสภาพภายในการโจมตีหนเดียว
ด้วยความสัตย์จริง แม้แต่กริดก็ยังขนลุก
ผลเพิ่มอัตราคริติคอลจาก <วิชาดาบกริด>
สมญานาม <ตายในดาบเดียว>
พลังโจมตีมหาศาลจากอาวุธผสาน
ความรุนแรงของทักษะเพิ่มขึ้นจากทักษะ <พลังจิตไร้เทียมทาน>
ปัจจัยข้างต้นส่งเสริมให้บดข้าวเปลือกของกริด ทรงพลังยิ่งกว่าการบดข้าวเปลือกครั้งใด ๆ ของปิอาโร่
เป็นเพราะได้รับบัฟ <เทพธรณี> และทำให้อีกฝ่ายแข็งเป็นหิน โอกาสโจมตีสำเร็จจึงสูงเกือบ 100% เต็ม แม้แต่เทพก็คงมิอาจหลบการโจมตีเมื่อครู่พ้น
‘ไม่สิ เทพคงไม่แข็งเป็นหินแต่แรก’
อย่างไรก็ตาม
‘…นี่คือท่าไม้ตายใหม่ของเราใช่ไหม?’
กริดเริ่มตื่นเต้นเมื่อตระหนักถึงพัฒนาการอันก้าวกระโดดของตัวเอง
จริงอยู่ อาจมีข้อกำหนดและเงื่อนไขหลายอย่างให้ต้องบรรลุพร้อมกัน แต่ถ้าทำสำเร็จ เพียงการโจมตีเดียวก็มากพอจะส่งยังบันสั่งสมบารมีเทพไปอยู่ในสภาพปางตาย
เมื่อเทียบกับการมาเยือนทวีปตะวันออกในช่วงแรก กริดแตกต่างจากเดิมราวกับคนละคน
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มยังดีใจไม่สุด
หากยังต้องพึ่งพาโชคเป็นหลัก คงพูดได้ไม่เต็มปากนักว่า สิ่งนี้คือสุดยอดพลังไร้เทียมทาน
แน่นอน ไฮแรงเกอร์ด้านข้างย่อมไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อครู่ และไม่รู้ว่ารายละเอียดเบื้องหลังเป็นอย่างไร
พวกมันทุกคน รวมถึงบองเดรและบูบัต ต่างยอมรับ และเกิดความหวาดกลัวต่อพลังทำลายมหาศาลของกริด พลังอันสามารถบดขยี้ยังบันให้พินาศได้ในคราวเดียว
พร้อมกันนั้น เฒ่าดาบมารเริ่มมองเห็นแสงแห่งความหวังซึ่งตนเคยถอดใจไปนานแล้ว
‘กริด.. ถ้าเป็นนาย อาณาจักรคายาคง…’
กึก.
กริดร่อนลงบนพื้น
มันกรายเข้าหามารุผู้มีร่างกายสั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม พร้อมกับจ่อปลายดาบไว้ข้างลำคอด้วยสีหน้าเลือดเย็น
แม้ยามกำลังใกล้ตาย แต่มารุกลับยิ้มได้
“ถูกมนุษย์ไล่ต้อนจนจ้องตกอยู่ในสภาพน่าสมเพช… ข้าไม่เคยเห็นละครใดน่าขบขันไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
“เสียใจไปก็เท่านั้น พวกแกเอาเปรียบมนุษย์มานับครั้งไม่ถ้วน ถึงคราวต้องถูกลงทัณฑ์สักที”
“ลงทัณฑ์…? คึฮ่าฮ่าฮ่า!!”
“…”
บทสนทนาคงไม่มีประโยชน์อันใด
กริดยืนเงียบงันพลางไตร่ตรองจากประสบการณ์ของตน แต่เมื่อเห็นว่าบัฟผสานไอเท็มใกล้หมดลง มันจึงเตรียมตวัดดาบเพื่อปิดบัญชียังบันผู้มีลมหายใจรวยริน
“การลงทัณฑ์จะถูกใช้ก็ต่อเมื่อเทพกระทำกับมนุษย์… แบบนี้เป็นต้น”
ฉ่า—!
ไอความร้อนปริมาณมหาศาลพวยพุ่งออกจากร่างกายมารุกะทันหัน
กริดสัมผัสได้ถึงการอาละวาดอย่างบ้าคลั่งของลมหายใจเทพสี่ทิศในร่างกายอีกฝ่าย
“แค่ก.”
มารุจ้องกริดด้วยสายตาอาฆาต ก่อนจะพ่นเสียงสุดท้ายของชีวิตออกมา
บึ้มมมมมมมมมมมมมมมม!!
แรงระเบิดมหาศาลถือกำเนิดโดยมีร่างกายยังบันมารุเป็นจุดศูนย์กลาง หลุมลึกจากบดข้าวเปลือกถูกเติมเต็มด้วยแสงสว่าง กริดถูกแสงของระเบิดโอบล้อมท่วมท้นจนลับสายตาทุกคน
“กริด!!”
บูบัตและบองเดรต่างพากันหน้าซีด บองเดรใช้พลังเฮือกสุดท้ายเพื่อใช้พลังน้ำแข็งระงับไอความร้อนโดยรอบ บูบัตฉวยโอกาสพุ่งชาร์จเข้าไปในกลุ่มควันคละคลุ้ง
“บัดซบ! บัดซบ!!”
นายจะตายไปคนเดียวหลังจากต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับฉันไม่ได้!
ฉันไม่อยากติดหนี้ชีวิตใคร!
ขณะบองเดรและบูบัตพยายามค้นหาอย่างสุดฝีมือ เสียงของกริดดังแว่วท่ามกลางละอองฝุ่น
“พวกนายแหกปากทำไม”
ชายหนุ่มยังสบายดี ปราศจากรอยขีดข่วน
ขณะบูบัตเดินเข้าไปพยุง มันเห็นห่อผ้าเล็ก ๆ ผืนหนึ่งซึ่งตนเคยพบมาก่อน
“โอเวอร์เกียร์อีกแล้ว… นายมันตัวขี้โกง”
บองเดรไม่เก็บซ่อนสีหน้ายินดีปรีดา
อย่างน้อยในวันนี้ มันและกริดคือสหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ จนสามารถฝ่าฟันวิกฤติอันยากลำบากมาได้
เฉกเช่นบูบัตและเหล่าไฮแรงเกอร์
ทันใดนั้น
วาบ—!
เสาลำแสงสีฟ้าอ่อน พลันพวยพุ่งเป็นเส้นตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า กึ่งกลางคือยอดเขาแบ็กมีด้านนอกเมืองเฉาจื่อ
“นั่นมันอะไร…?”
ขณะไฮแรงเกอร์ยืนสับสน กริดเริ่มเข้าใจสถานการณ์
‘ฮวางกิลดงคืนชีพเทพเต่าดำแล้ว…’
พร้อมกันนั้น
ซ่า—!
เปาะแปะ. เปาะแปะ. เปาะแปะ.
สายฝนชุ่มฉ่ำโปรยปราย
หยดน้ำบริสุทธิ์ ใสสะอาด และเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น เริ่มชะล้างความอัปมงคลไปพร้อมกับอวยพรทุกชีวิตบนดินแดนภาคเหนือ
เหตุการณ์คล้ายกับขณะฟินิกซ์แดงคืนชีพ
แต่ว่า
“…แล้วทำไมคุณถึงยังอยู่?”
เมื่อกริดหันไปเห็นเต่าตัวเล็ก ชายหนุ่มซักถามอย่างฉงน
เต่าดำตอบกระอักกระอ่วน
『ป…เป็นเพราะถูกแทรกแซงด้วยฝีมือมนุษย์นิรนาม จิตของ ‘เรา’ จึงแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ กลายเป็น ‘ข้า’ กับ ‘เขา’ 』
“…??”
[★ภารกิจลับ★ รายละเอียดของภารกิจ <ปกป้องเทพเต่าดำ> มีการเปลี่ยนแปลง]
นายท่านกริดกำลังจะชุบเลี้ยงร่างแยกของเทพเต่าดำสินะ 55555
ReplyDeleteทหารยามบอกว่า "มีพวกกรูไว้ทำไม" 5555+
Deleteก็อดกริด💪
ReplyDeleteสนุกสุดมันส์
ขอบคุณครับ😊🙏