จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,510
‘เป็นไปได้ไหมที่จะบ่มเพาะตำนาน…’
พัฒนาการของเคย์ทำให้กริดมองเห็นโอกาส
ปัจจุบัน เคย์อายุมากพอจะถูกเรียกนำหน้าว่า ‘เฒ่า’ หรือต่อให้นับตามมาตรฐานคนแคระ อายุเคย์ก็ถือว่าเป็นไม้ใกล้ฝั่ง
มันเป็นช่างฝีมือมานานกว่าร้อยปีแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะพัฒนาเป็นตำนาน
แต่ผลลัพธ์นั้นกลับเกิดขึ้นหลังจากทำงานกับกริด
‘มีความเป็นไปได้ว่า พัฒนาการของเคย์ในครั้งนี้จะเกิดจากสิ่งที่เขาไม่มีวันทำได้ด้วยตัวเอง ตัวอย่างเช่น… การได้ประจักษ์และเลียนแบบทักษะอันยอดเยี่ยมของเทพโอเวอร์เกียร์ จนเกิดการบรรลุและผลิตผลงานระดับเทวตำนานออกมา…’
นี่เป็นคำถามสำคัญ
หากตำนานสามารถถูกบ่มเพาะได้จริง อนาคตของซาทิสฟายจะเปลี่ยนไปมาก
‘นับแต่นี้ไป เราต้องมีผู้ช่วยทุกครั้งที่ทำงาน…’
เริ่มจากอาวุธมังกรก่อนเลย… ต้องหาช่างฝีมือมาสักคน…
แต่แน่นอน เราจะให้ช่วยแค่งานจิปาถะ ขอเพียงไม่กระทบกับงานหลักก็น่าจะใช้ได้…
‘แค่นี้ก็ช่วยมอบประสบการณ์ล้ำค่าให้พวกเขาแล้ว’
“ดราโกเนี่ยนลอร์ดมาถึงแล้วขอรับ”
“ดี”
เสียงดังกล่าวปลุกให้กริดตื่นจากภวังค์
ขณะชายหนุ่มพยักหน้ารับ ประตูท้องพระโรงบรรจงถูกเปิดออก
[ท่านได้เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งแห่งยุคสมัย]
ปราณต่อสู้
พลังงานที่แข็งแกร่งและเกรี้ยวกราด ยากแก่การควบคุม
แตกต่างจากแหล่งพลังงานของเวทมนตร์และทักษะอย่างมานา ออร่า และปราณดาบที่สามารถกลมกลืนเข้ากับร่างกายและจิตใจได้ง่าย ปราณต่อสู้ไม่ได้เกิดมาเพื่อปรองดองหรืออยู่ร่วมกับใคร
ในตอนที่เห็นเทพสงครามใช้งานปราณต่อสู้ ทุกคนต่างคิดตรงกันว่า ‘นี่แหละธรรมชาติของปราณต่อสู้’
นั่นคือสาระสำคัญ
ปราณต่อสู้ของกริดที่ถูกย้อมด้วยแสงสีส้มกำลังสงบนิ่ง มิได้พลุ่งพล่านอย่างเร่าร้อน
สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะปราณดาบอนันต์และพลังเทพในตัวกริดคอยโอบกอดพวกมันไว้
แม้จะได้เห็นบันส์เดล ปราณต่อสู้ยังคงรายล้อมร่างกายด้วยความเยือกเย็นไม่แปรเปลี่ยน
เพียงคงความน่าเกรงขามไว้ในระดับหนึ่งเพื่อให้กริดสามารถเรียกใช้งานได้ทุกเมื่อ
‘ดราโกเนี่ยนลอร์ด…’
กริดนึกชื่นชม
แขนขาเหยียดยาวประหนึ่งกิ่งก้านต้นไม้โบราณ ร่างกายท่อนบนถูกขัดเกลาจนมีรูปทรงสามเหลี่ยมคว่ำ
ลำคอสั้นหนา ส่วนสูงเกือบสองเมตร
เกล็ดมังกรห่อหุ้มลำคอประหนึ่งเกราะเหล็ก
อวัยวะทุกส่วนของบันส์เดลเหมาะสำหรับการต่อสู้ที่ต้องแลกชีวิต
ยิ่งผนวกกับคิ้วดกหนาและดวงตาเรียวแหลม นั่นยิ่งทำให้บันส์เดลดูน่าเกรงขาม
ราวกับว่า ต่อให้ถูกดาบฟันเข้าที่คอ แต่มันก็จะไม่หลุดออกจากบ่า
นอกจากนั้น ระดับของเหนือมนุษย์ก็ยังสั่งสมมาในระดับสูง…
‘ถ้ามีเขาคอยระวังหลังให้ เราก็คงคลายความกังวล’
กริดค่อนข้างประหลาดใจกับความคิดที่ผุดขึ้นมาเองตามสัญชาตญาณ
มันไม่อยากเชื่อว่าตนจะเกิดความรู้สึกเช่นนี้กับคนที่เพิ่มเคยพบกัน
ทั้งที่กริดเคยพานพบตัวตนที่ยอดเยี่ยมมาแล้วมากมาย
แสดงให้เห็นว่าบันส์เดลน่าเกรงขามมากเพียงใด
‘ตำแหน่งลอร์ดไม่สมควรเป็นของเฮเลน่าตั้งแต่แรก’
กริดเผยสายตาชื่นชมขณะนำอีกฝ่ายไปเปรียบกับนักรบดราโกเนี่ยนที่ตนเอาชนะบนเทือกเขาเคอัส
> ข้าเชือดมันได้ไหม?
น้อยครั้งนักที่ดาบมังกรเพลิงจะเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน
มันกำลังปลดปล่อยจิตสังหารใส่นักรบดราโกเนี่ยนโง่เขลาตนหนึ่งที่ปรี่เข้าหาอย่างไร้เดียงสา
* เป็นอมตะจากการโจมตีทุกชนิดของมังกรจำนวน 1 ครั้ง ระยะหน่วง 24 ชั่วโมง
* เพิ่มพลังโจมตี 20% เมื่อศัตรูเป็นมังกร
* เพิ่มพลังโจมตี 1 หน่วยทุกทั้งที่สังหารมังกร (ผลลัพธ์คงอยู่ถาวร)
ดาบมังกรเพลิงคือศัตรูตามธรรมชาติของมังกรอยู่แล้ว ยิ่งอีกถูกอีกฝ่ายยั่วยุก่อนเช่นนี้ ก็ยิ่งยากจะอดกลั้นจิตสังหาร
กริดไม่ตอบสนอง
เพราะมันทราบดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นถัดไป
“คึ่ก…”
นักรบมังกรตนดังกล่าวเพิ่งมีโอกาสมองเห็นกริดเต็มสองตาเมื่อสาย
ดราโกเนี่ยนนามบันส์วีลล์ผงะและรีบก้าวถอยหลัง
ไม่จำเป็นต้องให้ดาบมังกรเพลิงปรากฏกาย อีกฝ่ายตระหนักได้ทันทีว่า ‘ที่นี่ใครใหญ่’
ในฐานะเผ่าพันธุ์ที่ก้าวร้าวและกระหายสงคราม ดราโกเนี่ยนย่อมไวต่อการรับรู้ความแข็งแกร่งของศัตรู
อีกยิ่งฝ่ายแข็งแกร่ง พวกมันก็ยิ่งฮึกเหิม
แต่นั่นคือในกรณีที่พวกมัน ‘คิดสู้’
ดราโกเนี่ยนไม่ใช่เผ่าพันธุ์โง่เขลาที่ชอบโยนตัวเองลงสู่หุบเหวแห่งความตาย
> ช่างน่าเสียดาย…
จิตสังหารของดาบมังกรเพลิงมอดลงทันที
กริดเข้าใจหัวอกอีกฝ่าย
สิ่งมีชีวิตประเภทมังกรอย่างดราโกเนี่ยนและไวเวิร์นมีจำนวนน้อยมาก
ไม่ผิดนักถ้าจะเรียกว่าสัตว์ใกล้สูญพันธุ์
แถมดราโกเนี่ยนยังเอาแต่หมกตัวอยู่ในหุบเหวลึกที่ยากจะหาพบ ส่วนไวเวิร์นคือพาหนะชั้นเลิศ จึงถูกมนุษย์รุมล่ามาฝึกให้เชื่อง
โอกาสที่จะได้สู้กับสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ ริบหรี่ประหนึ่งงมเข็มในมหาสมุทร
ไม่เพียงเท่านั้น เผ่าดราโกเนี่ยนกำลังจะกลายมาเป็นพันธมิตร
ถึงยังจะไม่แน่ใจเกี่ยวกับระยะเวลาของสัญญา แต่สิ่งที่ชัดเจนก็คือ จะไม่เกิดการต่อสู้ไปอีกสักพักใหญ่
พิจารณาจากมุมมองดังกล่าว กริดอดไม่ได้ที่จะสงสารดาบมังกรเพลิง
“ป…เป็นไปไม่ได้…”
ขณะนักรบมังกรตนดังกล่าวกำลังสั่นกลัวกริด
กึก
บันส์เดลก้าวออกมาข้างหน้า
มันจ้องกริดด้วยสายตาลึกซึ้ง เป็นสายตาแบบเดียวกับที่กริดจ้องบันส์เดลในตอนแรก
ชายหนุ่มยกมุมปากยิ้ม
‘นั่นสินะ… คงต้องทำให้ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้นำ’
กริดไม่เคยกลัวตาย
มันเคยต่อกรกับเหนือมนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่ข้ามขีดจำกัดมานับไม่ถ้วน หรือแม้กระทั่งการหันคมดาบเข้าหาเทพ
ดราโกเนี่ยนอาจกลัวการตายเยี่ยงสุนัข แต่สำหรับกริด ตนจะตายเยี่ยงสุนัขหรือไม่ นั่นมิได้สลักสำคัญ
มันเคยอาศัยจุดแข็งของผู้เล่นอย่างการคืนชีพ เพื่อพัฒนาตัวเองจนก้าวข้ามศัตรูที่แข็งแกร่งมากมาย
‘บันส์เดล’
จะแข็งแกร่งขนาดไหนกันนะ
เกล็ดมังกรที่ปกคลุมลำคอและข้อมือทั้งสองข้าง จะทนรับดาบของตนได้กี่กระบวนท่า?
ขณะกริดกำลังลุกขึ้นจากบัลลังก์
“โฮ่ง!”
บันส์เดลเห่า
“…?”
สติปัญญาและสมาธิของกริด ประมวลผลตามสถานการณ์ตรงหน้าไม่ทัน
ท่ามกลางความกระวนกระวายของผู้คน บันส์เดลตะโกนกึกก้อง
“ท่านมหาเทพโอเวอร์เกียร์ผู้พิชิตเทพสงครามเอ๋ย… ตัวข้า… ในนามแห่ง ‘บัน’ และเผ่าดราโกเนี่ยน… ข้าขอยอมศิโรราบต่อความน่าเกรงขามและสูงส่งของท่าน… ข้าขอสาบานว่าจะรับใช้ท่านในฐานะเสาหลักและองค์เทพเพียงหนึ่งเดียวของพวกเราชาวดราโกเนี่ยน… นับตั้งแต่นี้ไป ข้าจะกลายเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของท่าน!! ได้โปรดยอมรับพวกเรา และนำพาพวกเราไปสู่แสงสว่างด้วยขอรับ!!”
“…!”
“…!”
ขณะอยู่ร่วมกับสมาชิกเผ่า บันส์เดลมักไม่ค่อยสนทนากับใคร อาจมีการพูดคุยกับเฮ่าบ้างเพราะอีกฝ่ายทำตัวเป็นกันเองและเข้าถึงง่าย แต่บันส์เดลก็มิได้มีกลุ่มพวกพ้องที่สนิทสนมเป็นพิเศษ
นั่นเพราะมันรู้สึกผิดที่ต้องกักขังเหล่าพี่น้องไว้ใน ‘กะลา’ เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
ขณะเดียวกัน บรรดานักรบมังกรที่เพิ่งเข้าใจสถานการณ์ ต่างเผยสีหน้าตกตะลึงสุดขีด
มนุษย์บนบัลลังก์
เข้าใจว่าแข็งแกร่ง แต่เป็นถึงเทพเลยหรือ?
แถมยังพิชิตเทพสงคราม?
ด้วยเหตุนี้
“โฮ่ง! โฮ่ง! บ๊อก! บ๊อก!”
“บรู๋วววว! โฮ่ง โฮ่ง!”
“กรร~!”
“เอ๋ง!”
ดราโกเนี่ยนต่างพากันเลียนเสียงสุนัข
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมถึงต้องเห่า
เพราะพวกมันไม่เคยเคารพนับถือเทพ
ก็แค่เลียนแบบลอร์ดของตน
“ฝ่าบาท…”
ลอเอลที่ปิดปากเงียบมาสักพัก รีบกล่าวอย่างร้อนรนขณะกริดกำลังทำสีหน้าสับสน
“ดูเหมือนว่า… ถึงเวลาต้องออกโรงแล้ว”
***
“ตั้งแนวรบเร็วเข้า! โล่อยู่ไหน? รีบเตรียมตัวให้พร้อม!!”
เซร่า ริบบ้อน เซลดาร์ค และโฮริว
สิ่งที่เหมือนกันก็คือ คนเหล่านี้เป็นสมาชิกเก่าแก่จากกิลด์เซดากาห์
อาจยังห่างชั้นกับเหล่าสิบวีรชนฯ หรือไฮแรงเกอร์ชื่อดัง แต่ฝีมือของพวกมันคู่ควรกับการเป็นชาวโอเวอร์เกียร์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเก่งกาจในด้านคุมกองทัพ
เนื่องจากมีบ่อยครั้งที่ในอดีต พวกมันได้รับหน้าที่บัญชาการกองพลย่อยแทนเหล่าขุนพลชื่อดังซึ่งต้องมีสมาธิกับการต่อสู้ ส่งผลให้ได้รับทักษะด้านการควบคุมทหารติดตัวมา
เฉกเช่นอดีตสมาชิกกิลด์ไจแอนท์อย่างเซอร์คาน มิฮาร่า และอัสเซลลัส
พวกมันคือลูกน้องของคริสที่เคยมีประสบการณ์ควบคุมกองทหารตั้งแต่ก่อนจะเข้าร่วมโอเวอร์เกียร์
นอกจากนั้นยังมีโทบันที่เปี่ยมด้วยความเป็นผู้นำ การสนับสนุนจากแม่ทัพฝ่ายพันธมิตร สิบวีรชนที่อยู่ในสนามรบ และโนลล์
“ดีมาก! ถอยหลังพร้อมกับรักษารูปขบวน! อย่ารีบ! ค่อยๆ เดิน!!”
ทหารฝ่ายพันธมิตรที่กำลังต่อสู้กับกองทัพอสูรอย่างยากลำบาก รีบจัดขบวนรบด้วยความกระฉับกระเฉง
อาศัยกำบังจากพลโล่ด้านหน้าสุดที่คอยค้ำแนวรบ พวกมันล่าถอยอย่างเป็นระเบียบและไม่รีบร้อน
เหล่าผู้บัญชาการยังคงแหงนหน้ามองจันทร์ขุมนรกด้านบน
พระจันทร์ชั่วร้ายกึ่งกลางท้องฟ้าที่กลอกดวงตานับหมื่นไปมาตลอดเวลา
จนกระทั่งไม่กี่วินาทีเมื่อครู่ สายตาทั้งหมดจดจ้องไปยังห้วงนรกและเริ่มยิงลำแสง
ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างถ่องแท้
แต่เมื่อเห็นกองทัพอสูรที่ปากห้วงนรกทยอยกลายเป็นแสงสีเทา ทุกคนตัดสินใจมองว่านั่นเป็นผลดีกับฝ่ายตน
อย่างไรก็ถาม ไม่กี่วินาทีถัดมา หลายคนเริ่มตระหนัก
เมื่อใดที่จันทร์ขุมนรกจ้องมองมาทางพวกต้นบ้าง นั่นจะกลายเป็นนรกโดยแท้จริง
เป็นแห่งเหตุที่เริ่มมีการสั่งถอยทัพอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อได้เห็นทหารกว่าแสนนายถอยร่นอย่างเป็นระเบียบภายในไม่กี่นาที ผู้ชมทางบ้านอดไม่ได้ที่จะชมเชย
เป็นภาพที่น่าทึ่งมาก แม้แต่พิธีกรรายการสดก็ยังอดไม่ได้ที่จะบรรยากาศถึงคุณภาพของกองทหาร
คนที่ได้รับคำชมมากที่สุดคือเหล่าแม่ทัพและผู้บังคับบัญชาของโอเวอร์เกียร์
แต่เพียงไม่นาน เสียงสรรเสริญและเสียงเชียร์พลันแปรเปลี่ยนเป็นความเงียบสงัด
ด้วยสาเหตุที่น่าสะพรึง
[จอมอสูรลำดับหนึ่ง บาเอล ปรากฏกาย]
[ท่านสัมผัสถึงจิตสังหารอันท่วมท้น ท่านจะได้รับอาการผิดปรกติหวาดกลัว อ่อนแอ ติดพิษ เผาไหม้ และเลือดออก]
[เงาแห่งนรกเกิดการบิดเบี้ยวท่ามกลางจิตสังหารอันแรงกล้า ค่าต้านทานธาตุมืดถูกกำหนดให้เป็น 0%, ระดับตัวตนของท่านถูกลดทอนอย่างมาก, จุดอ่อนของท่านถูกเปิดเผยตลอดเวลา, สมาธิของท่านลดลง ส่งผลให้สูญเสียค่าความแม่นยำอย่างมาก, ความเร็วในการร่ายทักษะและเวทมนตร์ช้าลงหลายเท่า]
[เงาแห่งเทพสัมบูรณ์เกิดการบิดเบี้ยวท่ามกลางจิตสังหารอันแรงกล้า ความสำเร็จที่ท่านสั่งสมมาล้วนกลายเป็นสิ่งไร้ค่า ทักษะและค่าสถานะทุกชนิดที่ได้รับจากสมญานามถูกผนึก]
[จันทร์ขุมนรกอยู่ภายใต้การควบคุมของบาเอล การจ้องมองจากจันทร์ขุมนรกกำลังเพ่งมาทางท่าน]
“…!”
“…!”
บั๊ก?
ผู้เล่นฝ่ายพันธมิตรที่กำลังถอยท่ามกลางเปลวไฟจากอสูร รวมถึงผู้ชมทางบ้านจากทั่วทุกมุมโลก ล้วนผุดคำถามแบบเดียวกัน
ไม่ใช่เพราะพวกมันตระหนักถึงการมาเยือนของจุดสูงสุดแห่งนรก
แต่เป็นเพราะนี่คือกลุ่มดีบัฟที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่พวกมันเคยเห็น
แถมรูปลักษณ์บาเอลก็ยังแตกต่างจากที่จินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง
ทุกคนเคยวาดภาพปีศาจตัวใหญ่ที่น่าเกลียดและน่าสะพรึง แต่ฉากตรงหน้ากลับเป็นชายรูปงามผมสีทอง
ดูราวกับเป็นเทวทูตมากกว่าจอมอสูร
“อึก…”
สมองของเหล่าผู้บัญชาการพลันขาวโพลน
แต่เหนือความคาดหมาย ยังมีบางคนที่สามารถออกคำสั่งได้
“ถอย…!”
“ถอย… ถอย!”
เสียงเดิมก้องวานทั่วสนามรบ
แต่ทหารไม่ได้ยิน
แม้พวกมันจะผ่านการฝึกหนักเจียนตายและกลายเป็นทหารหัวกะทิ แต่ในวินาทีนี้ ทุกคนถูกเปลี่ยนให้เป็นหนอนแมลงชั้นต่ำ
ดีบัฟจากบาเอลทรงพลังเกินไป สมองทุกคนท่วมท้นด้วยความกลัวจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น
ในที่สุด แนวรบพังทลายพร้อมกับการกรูเข้ามาของกองทัพอสูร
<บาเอลขโมยร่างซิกไป>
<บาเอลปรากฏอยู่ที่ห้วงนรก>
<รีบถอนตัวจากห้วงนรก ระวังการจ้องมองจากจันทร์ขุมนรกให้ดี>
ข้อมูลสำคัญถูกลำเลียงมาช้าไปหนึ่งก้าว
ข้อมูลที่เฟคเกอร์รีบรายงานทันทีหลังจากคืนชีพ เพิ่งจะปรากฏสู่สายตาทุกคนเมื่อสาย
“บาเอล!!”
เหล่าทหารตายไปทั้งที่ยังถูกความกลัวครอบงำ ไม่มีใครส่งเสียงกรีดร้อง
ท่ามกลางหายนะและความสูญเสีย เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นดังกังวาน
เป็นเสียงของโนลล์
ความเกลียดชังอันท่วมท้นมุ่งไปยังบาเอล ตัวการสำคัญที่ขับไล่มารดาของตนออกจากนรกและสาปลูกหลานด้วยคำสาปเกียจคร้าน
“หืม… ทายาทเบริอาเช่?”
ในท่ายืนหันหลังให้พระจันทร์ บาเอลก้มหน้ามอง
รอยยิ้มเริ่มกระจายไปบนใบหน้าที่เคยไร้อารมณ์
“เข้ามา”
“…!”
ถ้อยคำที่พ่นออกมา รวมถึงกิริยามารยาทของบาเอล ปราศจากความสง่างามโดยสิ้นเชิง
ไม่สอดคล้องกับจุดสูงสุดแห่งนรกเลยสักนิด
โนลล์สะดุ้งไปสักพัก แต่จากนั้นก็ได้สติและพุ่งตัวเข้าไปในดงอสูร
มันเร่งความเร็วก่อนจะบินข้ามสนามรบไปหาบาเอลบนท้องฟ้า กลุ่มก้อนเวทโลหิตปริมาณมหาศาลควบแน่นในสองมือเล็กๆ และถูกปลดปล่อยใส่อีกฝ่าย
“ตายซะ!!”
“ในช่วงบั้นปลาย… เบริอาเช่ฝีมือตกหรือ?”
นั่นคือสิ่งที่มันประเมินโนลล์
เพียงบาเอลตวัดมือ เวทโลหิตของโนลล์สลายไปในพริบตาราวกับเป็นภาพมายา
แต่โนลล์ยังไม่หยุดเร่งความเร็ว
มันคอมโบเวทโลหิตชนิดใหม่ต่อทันทีและยิงใส่บาเอลอีกครั้ง
ไม่ได้สูสีเลยสักนิด
แต่ไหนแต่ไร พลังเวทของโนลล์ไม่เหมาะแก่การดวลตัวต่อตัว
เวทโลหิตและพลังส่วนใหญ่ของมันเน้นหนักในด้านการสนับสนุนพวกพ้อง
เปรี้ยง!!
ในวินาทีที่เข้าใกล้บาเอล โนลล์ถูกกระแทกด้วยปราณอสูรจนร่วงหล่นลงไปแน่นิ่งบนพื้น
หลังจากตกลงมายังใจกลางดงศัตรู โนลล์ถูกรุมล้อมด้วยอสูรหลายร้อยในพริบตา
แม้จะถูกพวกมันฝังเขี้ยว ฉีกกระชาก เชือดเฉือน และแทงใส่ร่างเล็กๆ ของตน โนลล์ยังคงจ้องเขม็งไปทางบาเอลอย่างไม่ละสายตา
Comments
Post a Comment