จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,509
“...!”
เฟคเกอร์ตอบสนองทันที
เมื่อสัมผัสถึงคลื่นพลังงานที่พุ่งตรงมาจากด้านบน มันรีบถอยห่างจากตำแหน่งเดิมทันที
ส่งผลให้ลำแสงพุ่งถากไปเพียงหัวไหล่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้รับความเสียหายมากถึงสองหมื่นหน่วย
เป็นความเสียหายแบบคงที่ซึ่งไม่สนใจระยะทางการโจมตี ค่าต้านทาน และพลังป้องกัน
ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือ ลำแสงกำลังพรั่งพรูลงมาประหนึ่งห่าฝน
‘หมายความว่ายังไง…’
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!!
เฟคเกอร์ที่งัดชุดท่าหลบออกมาใช้ เริ่มตระหนักถึงบางสิ่ง
แหล่งกำเนิดพลังมาจากจุดที่สูงกว่าท้องฟ้า
เมื่อนึกถึงข้อความระบบที่แจ้งว่าจันทร์ขุมนรกตกอยู่ในความควบคุมของบาเอล เฟคเกอร์มั่นใจทันที
‘เป็นการยิงจากดวงจันทร์’
แบบนี้แย่แน่
หากบาเอลขึ้นมาเยือนโลกกึ่งกลางด้วยตัวเอง กองทัพนรกจะลุกฮือ
กองทัพหลายแสนที่กริดและลอเอลรวบรวมมาอย่างยากลำบากจะกลายเป็นหมันทันที…
เฟคเกอร์พยายามคำนวณ
ตนสามารถจำกัดบาเอลได้ตามลำพังหรือไม่?
เป็นไปไม่ได้ โอกาสชนะคือ 0%
เช่นนั้นแล้ว ตนสามารถถ่วงเวลาบาเอลได้กี่นาที?
อาจยื้อได้ถึงแปดสิบวินาที แต่โอกาสค่อนข้างต่ำ ยิ่งหนึ่งร้อยวินาทียิ่งไม่มีทาง และหนึ่งร้อยยี่สิบวินาทีคือขอบเขตที่เป็นไปไม่ได้
เป็นข้อสรุปจากการคำนวณอย่างสุดโต่งภายใต้เงื่อนไขที่ว่า หากปล่อยให้ถูกโจมตีเพียงครั้งเดียว ประกันชีวิตอมตะจะทำงานทันที
อย่างไรก็ตาม มันมั่นใจว่าตนสามารถยื้อไว้ได้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งนาที
นั่นเพราะความสามารถที่เป็นจุดแข็งของลันเทียร์ มีระดับสูงกว่าความสามารถรองหลายเท่า
สามารถคาดคะเนผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดได้โดยไม่ต้องสนใจความแข็งแกร่งของศัตรู
แต่นั่นไม่ได้แปลว่าไม่ใช้ฝีมือเลย โชคดีที่ฝีมือของเฟคเกอร์มีเหลือเฟือ
‘ถ้าเราบันทึกไว้ในรายการสังหาร ผลลัพธ์อาจดีขึ้นเล็กน้อย’
กับการต่อสู้ที่ไม่มีโอกาสชนะ คุ้มแล้วหรือที่จะใส่ชื่อศัตรูไว้ในรายการสังหาร?
นั่นดูจะสุดโต่งเกินไปหน่อย
เฟคเกอร์แค่ต้องการยื้อเวลาให้พวกพ้องสังเกตเห็นความผิดปรกติเกี่ยวกับดวงจันทร์ขุมนรก อีกฝ่ายจะได้ตรวจสอบว่า ทำไมดวงจันทร์ถึงยิงลำแสงมายังห้วงนรก รวมถึงการคิดหาวิธีรับมือ
‘นอกจากนั้น…’
ปัจจุบัน ห้วงนรกเป็นเส้นทางลำเลียงกองทัพที่สำคัญที่สุดของฝ่ายอสูร
ณ สุดปลายห้วงนรก มีนรกของจริงรออยู่
อสูรและเผ่าอสูรอาศัยช่องทางดังกล่าวในการรุกรานโลกกึ่งกลาง
นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมถึงมีเสาลำแสงสีเทาสว่างขึ้นมากมายภายในห้วงนรกเวลานี้
กล่าวคือ ลำแสงจากดวงจันทร์ไม่เลือกฝักฝ่าย พวกมันสามารถคร่าชีวิตอสูรที่ขวางทาง และจะไม่หยุดลงจนกว่าเฟคเกอร์จะหมดลมหายใจ
บาเอลทำเพียงเฝ้ามอง
มันฮัมเพลงอย่างมีความสุขท่ามกลางเสียงกรีดร้องอันโหยหวนของอสูร
หมอนี่… เสียสติเหมือนที่ลือกัน… ไม่สนใจความแตกต่างระหว่างศัตรูและมิตร…
“รุงรังชะมัด”
นี่น่ะหรือกายาของครึ่งเทพ?
แม้จะหลับใหลมานานหลายพันปี แต่ร่างของซิกยังคงสดใหม่
ร่องรอยทางกาลเวลาเพียงอย่างเดียวที่มองเห็นได้ คือเส้นผมสีทองที่ยาวสลวยและเปล่งประกาย
ผมของซิกยาวเลยฝ่าเท้าไปหลายเมตร
หากเดินไปบนพื้น มันคงลากยาวไม่ต่างจากผ้าคลุม
ฉึบ
คมมีดปราณอสูรตัดเส้นผมให้ขาดออกจากกัน
ด้วยสีหน้าพึงพอใจ บาเอลขยับตัวพร้อมกับตรวจสอบเส้นผมสีทองที่ยาวประมาณเอว
ทันใดนั้น
“อา… เจ้าเองก็ทำได้ไม่เลว”
บาเอลหันมาจ้องเฟคเกอร์
เฟคเกอร์พยายามขยายระยะยิงของลำแสงจากด้านบนด้วยทักษะการหลบหลีกที่ตนชำนาญ จุดประสงค์เพื่อลากกองทัพอสูรลงนรกไปพร้อมกันให้ได้มากที่สุด
แปะ แปะ แปะ
บาเอลปรบมือ
“พฤติกรรมสมกับเป็นพวกมนุษย์ นั่นเพราะเจ้าอายุขัยสั้นใช่ไหม? มนุษย์ไม่อยากตายเยี่ยงสุนัข จึงพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้ความตายของตนมีคุณค่ามากที่สุด”
ดวงตาเรียวยาวของบาเอลโก้งโค้ง ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้าง
เป็นรอยยิ้มอันสดใสที่ใครๆ ต่างก็หลงรัก
แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ฝืนธรรมชาติ
ถึงบาเอลจะพยายามฉีกยิ้มให้กว้างมากที่สุด แต่บนใบหน้ากลับปราศจากริ้วรอย ประหนึ่งเจ้าของเดิมไม่ถนัดการยิ้มสักเท่าไร
“ข้าชอบนิสัยแบบนี้ของพวกเจ้า ทุกครั้งที่ได้เห็นมนุษย์ปฏิเสธความกระจอกของตัวเอง เหตุการณ์ที่น่าสนุกมักเกิดขึ้นเสมอ”
“…นั่นคือจุดเริ่มต้นของมหาสงคราม? แกอยากเห็นผู้คนดิ้นรนและล้มตายอย่างไร้ความหมายใช่ไหม?”
“ถ้าต้องให้เหตุผล… ก็คงเป็นแบบนั้นกระมัง… แล้วทำไมหรือ? นั่นทำให้เจ้าระคายเคืองใจ?”
“แกมันชั่ว…”
เฟคเกอร์สบถเสียงดังฟังชัด เป็นสิ่งที่มันทำไม่บ่อยนัก
จิตใจบาเอลต่ำช้าจนเฟคเกอร์แทบมิอาจระงับโทสะ เฟคเกอร์ผู้ไม่เคยเดือดดาลกับเรื่องใดมาก่อน
ความชั่วช้าแสนบริสุทธิ์ที่หาเหตุผลมารองรับไม่ได้
แม้แต่ในนรกก็ยังมีเพียงน้อยคนที่ชื่นชอบบาเอลจากก้นบึ้ง
“ฟู่ว…”
เฟคเกอร์สูดลมหายใจยาวเพื่อข่มสติ
ยิ่งมันเยือกเย็นมากแค่ไหน การเคลื่อนไหวร่างกายก็ยิ่งเฉียบขาด
สามารถหลบลำแสงสามเส้นได้ด้วยการขยับตัวครั้งเดียว และบางครั้งก็มากถึงสี่เส้น
ยิ่งเวลาผ่านไป ลำแสงก็ยิ่งกระหน่ำใส่เฟคเกอร์มากขึ้น และในทำนองเดียวกัน เสียงกรีดร้องของอสูรก็ยิ่งดังระงม
ปัจจุบัน ห้วงนรกถูกฉาบด้วยสีเทาแทนที่จะเป็นสีดำ
มอนสเตอร์จำนวนมากเสียชีวิตท่ามกลางลำแสงจากดวงจันทร์
“อา…”
บาเอลมิได้แยแส
มันสำรวจร่างกายตัวเองหัวจรดเท้าพลางชื่นชมในความพยายามของเฟคเกอร์
ร่างกายที่เคยถูกใช้งานและขัดเกลาโดยอดีตมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของโลก
ระดับตัวตนสูงมากทีเดียว
เรียกได้ว่าเกินความคาดหมาย
ในสายตาบาเอล ความเป็นครึ่งเทพมิได้สลักสำคัญแต่อย่างใด ดังนั้นในตอนที่ได้ยินว่ามีการพบร่างซิก มันจึงไม่ได้คาดหวัง
เพียงคิดว่าคงเป็นของเล่นที่ช่วยให้สนุกได้สักสองสามวัน
แต่เมื่อได้ครอบครอง มันพบว่าระดับกายาของซิกค่อนข้างสูง
พิจารณาจากแกนมานาขนาดใหญ่และลักษณะของกระดูก เดาได้ไม่ยากว่าซิกเป็นคนแบบใดในตอนที่ยังมีชีวิต
‘คงฝึกหนักจนเจียนตาย’
นั่นเพราะมีเจตจำนงในการสังหารเทพ?
อวัยวะของร่างกายที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ไปไกลที่สุดคือสมอง สมองของซิกพัฒนาจนมีระดับเหนือสามัญสำนึก สามารถเข้าใจแนวคิดทุกชนิดทันทีที่ได้ยิน
นอกจากนั้นยังคำนวณได้รวดเร็ว แถมยังมีพลังจิตที่แข็งแกร่ง
ด้วยเหตุนี้ มันจึงควบคุมจันทร์ขุมนรกได้อย่างชำนาญ ไม่สิ ระบุให้ชัดก็คือ ถ้าไม่ใช่ร่างนี้ก็ไม่มีทางควบคุมจันทร์ขุมนรกได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เข้าใจแล้วว่าทำไมนักพรตเซียนถึงหมกมุ่นอยู่กับการทะลวงจุดตันเถียน
“นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกแอสการ์ดหวาดระแวง”
หากซิกเข้าร่วมในสงครามทวยเทพ มันคงพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องตลอดสงคราม จนถึงระดับที่สามารถสังหารเทพชั้นผู้น้อยบางตน
บาเอลแสยะยิ้มอย่างมั่นใจพลางปรับแต่งร่างกาย
หลังจากถ่ายเทพลังเวทปริมาณมหาศาลเข้าไปจนแก่นมานาขยายออก บาเอลผลาญพลังเวททั้งหมดในพริบตาเพื่อทำให้มันหดตัว
เป็นวิธีการที่ไม่ซับซ้อน แค่ต้องพึ่งพาพลังเวทปริมาณใกล้เคียงอนันต์ของห้วงนรกโดยอาศัยความสามารถของจอมอสูรลำดับหนึ่ง
ครึก! ปึด!
โครงกระดูกมีการจัดเรียงใหม่
เนื่องจากเคยเป็นมนุษย์มาก่อน กระดูกบางส่วนจึงไม่ได้อยู่ในรูปทรงที่สมบูรณ์แบบ
ความยาวแขนขาเพิ่มขึ้น ลักษณะของต้นขาและปลายนิ้วมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
แต่นั่นช่วยปรับปรุงสมดุลร่างกายอย่างมาก สามารถเรียกได้เต็มปากว่าการยกเครื่องใหม่
“…!”
เฟคเกอร์ซึ่งกำลังใช้วิชาเงาเพื่อล่อให้ลำแสงยิงใส่กองทัพอสูรด้านข้าง มีอันต้องชะงักพลางเผยสีหน้าตกตะลึง
เพราะมันสัมผัสได้ว่า บาเอลที่หัวเราะคิกคักตามลำพัง แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ถูกต้อง
ร่างของซิกถูกปรับสมดุลในทุกด้านจนพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ที่ทำเช่นนี้ได้เพราะเป็นบาเอล และถ้าไม่ใช่ร่างของซิกก็คงมิอาจทนรับการเปลี่ยนแปลงไหว
“เอาล่ะ ได้เวลายืดเส้นยืดสาย”
“คงให้ผ่านไปไม่ได้”
เฟคเกอร์กระโดดไปขวางทางบาเอลที่เริ่มเคลื่อนไหว
มันยอมลงทุนบันทึกชื่ออีกฝ่ายลงในรายการสังหาร
หลังจากการปะทะอันดุเดือดผ่านไปหนึ่งนาที ห้าสิบเก้าวินาที
ซ่า—
เสาลำแสงสีเทาต้นใหม่ส่องสว่างขึ้นด้านบน
***
‘ดีล่ะ ทุกสิ่งกำลังราบรื่น’
เตาหลอมขนาดมโหฬารที่ไม่น่าจะเป็นรองใครในโลก
สัดส่วนใกล้เคียงป้อมปราการขนาดเล็ก แต่กลับก่อสร้างได้รวดเร็วจนน่าทึ่ง
คล้ายกับว่าใกล้เสร็จเต็มที เร็วกว่าที่กำหนดการเดิมราวหนึ่งวัน
‘ขอบคุณทุกคนที่พยายามอย่างหนัก…’
คนแคระเคย์และทีมวิศวกรอีกเป็นจำนวนมาก
สีหน้าของทีมสร้างเตาหลอมกำลังสดใส
ต้องขอบคุณทักษะอันยอดเยี่ยมและความทุ่มเทที่พวกมันมอบให้ โชคจึงเข้าข้างกริดหลายครั้ง
ระหว่างการทำงาน ทักษะติดตัวที่ช่วยเร่งความเร็วการก่อสร้าง สุ่มแสดงผลขึ้นมาบ่อยครั้ง
เฉกเช่นทักษะ <ลมหายใจของช่างตีเหล็กในตำนาน> ที่เป็นแบบสุ่มติด ทักษะการสร้างของสถาปนิกก็แสดงผลในทำนองเดียวกัน
เป็นเกมห่วยๆ ที่ผู้เล่นต้องสวดภาวนาเพื่อพึ่งพาดวง และพวกมันถูกรางวัลที่หนึ่ง
‘ต้องเกี่ยวกับค่าความโชคดีของเราแน่’
เพราะเราคือแกนหลักในการก่อสร้าง…
กริดเค้นสมาธิเพื่อลงมือในขั้นตอนสุดท้าย
ก้อนอิฐที่กองสูงประหนึ่งภูเขา
หลังจากตรวจสอบภายในอีกครั้งและยืนยันว่าเตาหลอมจะรองรับฟืนฟอสฟอรัสขาวได้สิบตัน
ชายหนุ่มลงมือปรับแต่งความสมดุลของโครงสร้างที่ถูกเสริมเพิ่มเข้ามาหลายจุด
เคย์คอยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย
ยอดฝีมือสองคนที่ทำงานร่วมกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำเป็นเวลาสามวันติดต่อ ลมหายใจพวกมันประสานกันเป็นหนึ่ง
ก่อเกิดเป็นสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น
[การก่อสร้าง <เตาหลอมแห่งเทพ> เสร็จสิ้น]
[เป็นครั้งแรกที่ผู้เล่นสร้างสิ่งก่อสร้างระดับเทวตำนาน!]
[ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้มาพร้อมรางวัลตอบแทนมหาศาล]
[ค่าสถานะทุกชนิดเพิ่มขึ้น 100 หน่วย, ชื่อเสียงระดับทวีปเพิ่มขึ้น 5,000 แต้ม]
[ทุกคนที่เข้าร่วมการก่อสร้างจะได้รับเลเวลทักษะก่อสร้าง 1 ระดับ]
[ระดับช่างฝีมือของคนแคระ ‘เคย์’ ถูกเลือนเป็นตำนาน!]
[สถาปนิกในตำนานปรากฏตัว!]
“สุดยอด…”
“ฮะ…”
กริดยินดีเป็นล้นพ้น ส่วนเคย์ล้มฟุบหมดสติ
ในแง่หนึ่ง เคย์ตกตะลึงที่ตนได้รับรางวัลตอบแทนเหนือความคาดหมาย และอีกแง่หนึ่ง มันอ่อนเพลียสะสมมาหลายวัน
ก็แก่ปูนนี้แล้ว
“เขาเป็นคนสำคัญของผม ช่วยพาไปที่ห้องพยาบาลด้วย”
“ขอรับ!”
ขณะกริดส่งเคย์ไปพักและหันกลับมาตรวจสอบการทำงานของเตาหลอม
“มีแขกมาเยือน”
ในที่สุด สิ่งที่มันรอคอยหลายวันก็มาถึง
กริดพยักหน้าพลางเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย
เป็นชุดผ้าไหมสีน้ำเงินครามที่ผลิตจากช่างตัดเย็บอันดับหนึ่งของทวีปตะวันออก ชายแขนเสื้อกว้าง ชายเสื้อด้านล่างยาวถึงข้อเท้า
คล้ายกับโดโปที่ยังบันชอบสวม แต่ไม่เปิดท้ายทอยและแผ่นหลัง เป็นเครื่องแต่งกายที่เหมาะกับทุกโอกาสและสถานที่
หากพิจารณาจากด้ายหลากสีที่ปักลงไป ลวดลายอาจดูโอหังเกินพอดี แต่เมื่อผู้สวมใส่เป็นกริด ทุกสิ่งกลับกลายเป็นลงตัว
ไม่มีคุณสมบัติที่ช่วยสนับสนุนด้านต่อสู้
แต่เป็นชุดที่ยอดเยี่ยมสำหรับพิธีการ เพราะมันช่วยเพิ่มค่าความน่าเกรงขามและความน่าหลงใหล
‘ถ้าจำไม่ผิด เราได้เสื้อผ้าเป็นของขวัญไม่ต่ำกว่าสามสิบชุดแล้ว…’
อันที่จริง รูปแบบเครื่องแต่งกายในซาทิสฟายค่อนข้างหลากหลาย อาณาจักรหนึ่งมีวัฒนธรรมแบบหนึ่ง และนั่นหมายถึงการแต่งกายที่แตกต่างกันออกไป
กริดค่อนข้างชอบ
การได้สวมชุดที่ไม่จำเจนั้นมีประโยชน์หลากหลายด้าน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และอารมณ์เป็นหลัก
นอกจากนั้น ชุดแต่ละชุดยังมีราคาเทียบเท่าเงินสดหลายสิบล้านวอน
‘ขอแค่เราคอยดูแลเสื้อผ้าพวกนี้ให้ดูใหม่อยู่เสมอ ชีวิตนี้คงไม่อดตายแล้ว’
***
ดราโกเนี่ยน
เผ่าพันธุ์ที่ภาคภูมิใจในสายเลือดของบันเฮเลียร์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่าง
มนุษย์จำแนกให้พวกมันเป็น ‘เผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่า’ และถือว่าความดุร้ายที่มาพร้อมสายเลือดคือเกียรติแห่งนักรบ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้แต่ปราชญ์ชาวมนุษย์ก็ยังยอมรับในความเหนือกว่าของดราโกเนี่ยน
“อะ…”
“น…นั่นมันดราโกเนี่ยน…”
ราวกับกรุงไรน์ฮาร์ทถูกแช่แข็ง
ผู้คนจำนวนไม่น้อยเสียขวัญจากขบวนทัพที่น่าเกรงขามของดราโกเนี่ยน พวกมันมีร่างกายกำยำ แผ่บรรยากาศดุร้ายตลอดเวลา โดยเฉพาะเกล็ดมังกรที่สะกดทุกสิ่งจนอยู่หมัด
“อาณาจักรโอเวอร์เกียร์? เหตุใดพวกเราที่ปฏิเสธการเจรจากับจักรวรรดิ ถึงตัดสินใจมาเยือนอาณาจักรเล็กตามบ้านนอกแห่งนี้?”
“ดูพวกมนุษย์ที่สั่นกลัวขณะจ้องมองเรานั่นสิ… นี่น่ะหรือเผ่าพันธุ์ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ปกครองทวีป… เก่งแต่อาละวาดไปทั่วโดยไม่รู้จักจุดยืนของตัวเอง อาศัยอยู่แต่ในกะลาโดยไม่เปิดตามองหาผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง”
“มนุษย์ปกครองทวีปได้เพราะจำนวน”
เผ่าดราโกเนี่ยนไม่คิดปกปิดถ้อยคำและพฤติกรรมดูแคลนของตน พวกมันเย้ยหยันมนุษย์จำนวนมากอย่างเปิดเผยขณะเดินไปตามถนนสายหลักของเมืองหลวง
เฮ่าซึ่งเดินนำทางเคียงข้างบันส์เดล พยายามตักเตือนอยู่หลายครั้ง แต่สิ่งที่ได้รับคือการพ่นลมหายใจและทำหูทวนลม
ยังมีดราโกเนี่ยนอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการฆ่าเฮ่า นั่นคือเหตุผลว่าทำไมยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ
ด้วยเกรงว่าสถานการณ์จะแย่ลง เฮ่าทำเพียงถอนหายใจและปิดปากเงียบ
‘พวกดราโกเนี่ยนก็เป็นซะแบบนี้’
เผ่าพันธุ์ที่สืบสายเลือดมาจากมังกรมาร
คงยากที่จะดัดสันดานความรุนแรงและคลั่งไคล้สงคราม
แม้แต่กริดก็ไม่น่าจะปกครองพวกมันให้อยู่กรอบได้อย่างสมบูรณ์
ข่าวดีก็คือ บันส์เดลยังพอเป็นผู้เป็นคน และเฮ่าไม่มีทางเลือกนอกจากคาดหวังในตัวบันส์เดล
‘ถึงเขาจะพูดว่ายอมเป็นสุนัขรับใช้ แต่นั่นก็แค่การเปรียบเปรย… อย่างน้อยลงนามเป็นพันธมิตรกันก็พอ’
เฮ่าที่กำลังครุ่นคิด หยุดเดินกะทันหัน
ลอเอลออกมาต้อนรับด้วยตัวเองตั้งแต่หน้าประตูวังชั้นใน
“เชิญ… เลือดที่เดือดพล่านของครึ่งมังกรกำลังกระตุ้นจิตวิญญาณมังกรทมิฬในตัวข้าให้ลืมตาตื่น… ยินดีต้อนรับ สหาย”
“เจ้านั่นหมายความว่ายังไง?”
“นี่คือผู้นำสูงสุดของอาณาจักร?”
“อ่อนแอเช่นนี้จะมีมังกรอยู่ในตัวได้ยังไง…”
“ชิ… พวกมันก็ได้แค่นี้แหละ ทำไมข้าถึงต้องเสียเวลาถ่อมาที่นี่ด้วย”
ยอดนักรบทั้งยี่สิบห้าตนที่เป็นตัวแทนเผ่าดราโกเนี่ยน เริ่มแสดงความไม่พอใจ
หนึ่งในนั้นคือกลุ่มที่มิได้สนับสนุนลอร์ดบันส์เดล จึงเผยท่าทีคัดค้านอย่างโจ่งแจ้ง
บันส์เดลมิได้แยแส เพียงยอมรับอย่างใจเย็น
มันตระหนักดีกว่าใคร ว่าดราโกเนี่ยนเป็นเพียงกบในกะลา
และคนที่คอยขังกบพวกนี้เอาไว้ก็คือบรรดาลอร์ดรุ่นก่อน
มันนำทางเผ่าพันธุ์เข้าไปในวังอย่างเงียบงัน
“ยินดีต้อนรับ”
ชายบนบัลลังก์กล่าวต้อนรับคณะเดินทาง
นักรบดราโกเนี่ยนบางตนเริ่มถึงขีดจำกัดความอดทน
เป็นแค่ราชาของมนุษย์ กล้าดียังไงถึงดูแคลนพวกตนจากที่สูง
“ฮะฮะ! ดูสารรูปเข้าสิ ไม่คิดว่าน่าขันบ้างหรือ? เจ้าก็แค่มนุษย์ที่ถูกพวกมดปลวกสรรเสริญเยินยอให้เป็นราชา”
เฮ่าห้ามไว้ไม่ทัน
บันส์วีลล์
มาจากตระกูลเดียวกับลอร์ดคนปัจจุบัน
มันปรี่เข้าหาชายบนบัลลังก์ด้วยชื่อเหนือศีรษะสีทอง
จากนั้น
“…!”
หลังจากได้เห็นรูปลักษณ์ของกริดอย่างชัดเจนเมื่อสาย ร่างกายบันส์วีลล์พลันแข็งทื่อ
จนกระทั่งไฟห้องท้องพระโรงถูกเปิด
แสงสีส้มจากฉากพระอาทิตย์ตกดินด้านนอกหน้าต่างสูงเลือนหายไปโดยสมบูรณ์ รูปโฉมของกริดถูกเผยเต็มสองตาทุกคน
“ป…เป็นไปไม่ได้…”
เมื่อต้องเผชิญกับความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของกริด เหล่านักรบมังกรพลันกระอักกระอ่วน
ขณะพวกมันรู้สึกราวกับเพิ่งกระโดดเข้ามาในกรามมังกร หางตาชำเลืองเห็นการตอบสนองที่ว่องไวของดราโกเนี่ยนลอร์ด
ท่ามกลางสายตาทุกคู่ของบริวารในบัญชา
กึก
บันส์เดลก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเปล่งเสียง
“โฮ่ง!”
Comments
Post a Comment