จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 257
หน้าที่หลักของวิหารยาธานคือการสร้างความปั่นป่วนให้กับโลกใบนี้
นั่นก็เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมอันเจ็บปวดสิ้นหวังให้เหมาะสมกับการร่ายมนต์ดำ มนต์ดำที่สามารถนำพาจอมอสูรทั้ง 33 ตนจากขุมนรกกลับขึ้นมาบนโลก
นั่นคือเจตจำนงหลักขององค์เทพยานที่มีมาตั้งแต่ต้น
***
เมื่อสามปีก่อน
จักรพรรดิฮวนเดอร์ได้ทำการอัญเชิญฮีลเลอร์และนักบวชมาจากทั่วทั้งทวีป จุดประสงค์ก็เพื่อช่วยชีวิตจักรพรรดินีอาเรียที่ล้มป่วยใกล้ตายอยู่บนเตียง แต่ก็ไม่มีฮีลเลอร์หรือนักบวชคนใดเลยที่รักษาอาเรียได้ และคงไม่มีนักบวชธรรมดาคนใดที่สามารถทำได้อีกแล้ว นอกเสียจากนักบุญหญิงในตำนานจะปรากฏตัวขึ้น
เงินทองที่กองเป็นภูเขาเลากากับทรัพย์สินในท้องพระคลังที่มีสมบัติมีมากมายล้วนไร้ค่า อาเรีย มารดาขององค์ชายลำดับที่ 1 และองค์หญิงลำดับที่ 1 ฮวนเดอร์ได้แต่เฝ้ามองภรรยาตนทุกข์ทรมานจนถึงวินาทีสุดท้าย
หลังจากการตายของอาเรีย
ฮวนเดอร์รักเธอมาก เขาจึงตกอยู่ในภาวะเศร้าเสียใจมากเช่นกัน จักรพรรดิไม่สนใจงานบริหารบ้านเมือง เอาแต่ดื่มกินจนเมามายและล้มป่วย เป็นจักรพรรดินีลำดับที่ 2 อย่างแมรี่ที่คอยอยู่เคียงข้างและปลอบใจ แมรี่เป็นมารดาองค์ชายลำดับที่ 4 แถมเธอยังมีความเลอโฉมในระดับหาตัวจับยาก
เป็นเพราะการอุทิศตนของเธอ ฮวนเดอร์จึงสลัดความเศร้าโศกออกไปได้ หลังจากนั้นเป็นต้นมา โลกของแมรี่ก็เปลี่ยนไป ฮวนเดอร์รู้สึกขอบคุณที่เธอทำให้เขากลับมาได้อีกครั้ง จึงมอบความรักใครและความชื่นชอบให้เป็นพิเศษจนพลังอำนาจของเธอล้นฟ้า
เฉกเฉ่นเรื่องราวการชิงบัลลังก์ทั่วไป แมรี่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้บุตรชายของตนได้ครองราชย์ ใช้ทั้งความงาม พลังอำนาจ และจอมเวทย์มืดในสังกัด เธอกระทำสิ่งชั่วช้ามากมายรวมถึงการแทรกแซงกองอัศวินสีชาดและขุนนางชั้นสูงที่สนับสนุนองค์ชายลำดับหนึ่ง
ผ่านมาแล้วสามปี แมรี่มีพลังอำนาจล้นพ้นในจักรวรรดิ ผู้คนมากมายให้การสนับสนุนทั้งเธอและองค์ชายลำดับสี่ให้ครองบัลลังก์ ในขณะเดียวกัน กองอัศวินสีชาดที่เธอสร้างขึ้นมาใหม่ต่างก็ถวายความจงรักภักดีอย่างสุดหัวใจ
แมรี่พึงพอใจอย่างมาก เธอมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าบุตรชายจะต้องกลายเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป แต่กลับมีคนผู้หนึ่งที่กำลังขบขันอยู่ในความมืด คนๆ นั้นคือจอมเวทย์ที่เธอสนิทชิดเชื้อมากที่สุด ไดฟ
ไดฟ จอมเวทย์มืดที่รับใช้ตระกูลของแม่รี่ก่อนที่เธอจะกลายเป็นจักรพรรดินีเสียอีก แต่ความเป็นจริง เขาเสียชีวิตไปนานแล้วในอดีตด้วยฝีมือของข้ารับใช้ลำดับที่ 7 ดาร์คบัส ใช่แล้ว ดาร์คบัสสวมรอยเป็นไดฟเรื่อยมา มันคือจอมเวทย์ผู้มีวิชาสาปแช่งทรงอานุภาพสูงสุดของวิหารยาธาน และภารกิจคราวนี้ก็คือการทำให้จักรวรรดิซาฮารันตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย
"อีกไม่นานแล้วสินะ..."
เมื่อถึงวันที่องค์ชายลำดับสี่ผู้ซึ่งไร้พรสวรรค์ทำการครองบัลลังก์ ฝ่ายสนับสนุนองค์ชายลำดับหนึ่งคงไม่ยอมอยู่เฉยแน่ การนองเลือดจะต้องอุบัติขึ้นในจักรวรรดิ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากจักรวรรดิตกอยู่ในความวุ่นวายน่ะหรือ?
หากไม่ตาย ผู้คนจำนวนมากก็จะตกอยู่ในความสิ้นหวัง วันนั้นจะกลายเป็นที่เวทย์มืดสามารถสำแดงพลังออกมาได้ถึงขีดสุด และวิหารยาธานก็จะมีพลังมากพอในการอัญเชิญจอมอสูรออกมาจากขุมนรก!
"งานหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเราจะได้รับการตอบแทนอย่างคุ้มค่า"
เป็นสามปีที่หนักหนาสาหัสอย่างมาก จอมเวทย์และจอมปราชญ์ของจักรวรรดิมีฝีมืออยู่ในระดับแข็งแกร่ง ดาร์คบัสต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเป็นเท่าตัวเพื่อไม่ให้ถูกตรวจพบพิรุธ ไม่มีวันใดเลยที่มันสามารถผ่อนคลายได้ แต่ ณ บัดนี้ อีกไม่นานความเหน็ดเหนื่อยก็จะจบสิ้นลงเสียที
"คิกคิกคิก..."
ในขณะที่เสียงหัวเราะของชายชรากำลังดังก้องอยู่ภายในห้องอันมืดมิด...
"เอ๋?"
เสาสอดแนมที่ตั้งไว้รอบที่พักของอัสโมเฟลถูกทำลายลง ดาร์คบัสที่จับสัมผัสได้จึงเริ่มเกิดความหวั่นวิตกทันที
"ผู้บุกรุก?"
อัสโมเฟลคือเครื่องมือที่สำคัญ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นถึงเสาหลักของจักรวรรดิ ความสิ้นหวังอันรุนแรงที่เกิดจากการป้ายสีปิอาโร่ให้กลายเป็นผู้ทรยศนั้นสำคัญกับแผนของดาร์คบัสมาก ดาร์คบัสจำเป็นต้องคอยประคองเวทย์ล้างสมองอัสโมเฟลไว้เรื่อยๆ มันจึงอาศัยอยู่ใกล้กับที่พักของอัสโมเฟลเพื่อคอยสอดส่องดูแล
หลายปีที่ผ่านมา มันคอยเฝ้าไม่ให้ใครย่างกรายเข้ามาใกล้ที่พักของอัสโมเฟลได้ แต่สิ่งที่ใช้จับตามองกลับถูกทำลายไปแล้วในตอนนี้ มีผู้บุกรุกกำลังย่างกรายเข้ามาอย่างแน่นอน
'เสาสอดแนมของเราถูกทำลายได้ง่ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?'
คนที่แข็งแกร่งพอจะทำแบบนั้นได้ในทวีปมีเพียงหยิบมือ อีกฝ่ายจะต้องมีพลังต่อสู้ระดับสูง แต่ในเมื่อเสาสอดแนมตรวจพบผู้บุกรุกเพียงคนเดียว ดาร์คบัสจึงไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกเกินเหตุ มันยังคงรักษาความเยือกเย็นและตัดสินใจเดินไปยังห้องรับรองเพื่อมองหาอัศวิน
เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อัศวินสีชาดเปลี่ยนเวรพอดี กลายเป็นอัศวินทมิฬที่มาทำหน้าที่องครักษ์แทน
"เยี่ยม!"
นี่คือวิกฤติอันร้ายแรง ดาร์คบัสต้องการใช้งานคนที่ไว้ใจได้ พวกอัศวินสีชาดนั้นหยิ่งทระนงจนเกินไป มันชอบที่จะใช้งานอัศวินทมิฬซึ่งมีความสนิทสนมกันมากกว่า ดาร์คบัสเดินไปยังที่พักของอัสโมเฟลพร้อมกับอัศวินทมิฬสองคน
"สวัสดีครับ!"
ทหารที่ยืนประจำการในสวน เมื่อได้เห็นดาร์คบัสจึงแสดงความเคารพออกมา ดูเหมือนทหารพวกนี้จะยังไม่รู้ถึงตัวตนของผู้บุกรุก
'เป็นการบุกรุกที่แนบเนียนมาก...'
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าดาร์คบัส สิ่งเหล่านั้นย่อมไร้ความหมาย มันสามารถตรวจจับตำแหน่งผู้บุกรุกได้ง่ายดายด้วยพลังเวทย์
แสยะ
ดาร์คบัสแสยะยิ้มพร้อมกับหันไปตะโกนบอกกลุ่มอัศวินทมิฬ
"มีผู้บุกรุก! หยิบอาวุธออกมาแล้วตั้งท่าป้องกัน!"
เมื่อได้รับคำสั่ง บรรดาทหารก็กรูเข้ามารวมตัวกันหน้าทางเข้าบ้านพักอัสโมเฟล ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นทหารแถวหน้าของจักรวรรดิกว่า 120 คน และอัศวินทมิฬอีก 2 คน
ฉากตรงหน้าช่างยิ่งใหญ่อลังการ
ซู่วว
ดาร์คบัสใช้พลังเวทย์เพื่อตรวจหาผู้บุกรุก
...บุคคลปริศนาอยู่ห่างออกไป 200 เมตรจากด้านหน้ามันนี่เอง
"เผยตัวออกมาซะ!"
มันตะโกนขึ้นพร้อมกับปลดปล่อยพลังเวทย์ ผู้บุกรุกต้องเผยตัวออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ชายคนดังกล่าวกำลังสวมเสื้้อคลุมหัวแปลกประหลาดโดยมีหน้ากากปิดหน้าปิดตาไว้
'ใครกัน?'
ชายผมดำคนนี้มีดวงตาสีแดงที่กำลังส่องประกายในความมืด ดารค์บัสไม่คุ้นกับบุคคลที่มีลักษณะแบบนี้มาก่อน
"แกเป็นใคร?"
ผู้บุกรุก กริด ได้ตอบคำถามดาร์คบัสกลับไป
"ฉันจะเป็นอะไรได้อีก? ศัตรูของแกยังไงล่ะ!"
กริดไม่พูดพร่ำทำเพลง กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ต้องใช้เวลานานถึงสามสัปดาห์ เขาไม่ต้องการเสียเวลาไปมากกว่านี้อีกแล้ว เพราะจุดสิ้นสุดของภารกิจสำคัญกำลังอยู่ตรงหน้านี่เอง
ฟุ่บ!
กริดย่นระยะ 200 เมตรอย่างรวดเร็วมาปรากฏตัวต่อหน้ากองทหาร
ทหารระดับหัวแถวของจักรวรรดิย่อมไม่ธรรมดา พวกมันปราศจากอาการตื่นตระหนก ดาบถูกชักออกมาตั้งอยู่ในท่าวิชาดาบจักรวรรดิ ส่วนทหารที่อยู่แถวหลังก็เริ่มยิงธนูเข้าใส่
'ไม่เลวแฮะ' กริดกล่าวชื่นชม ทหารกลุ่มนี้นับว่ามีระเบียบวินัยสูงกว่ากองทัพใดที่เขาเคยพบมา
'แต่ก็ไร้ความหมาย'
แคร้งงง!
ชายหนุ่มใช้โล่เทวะปัดป้องลูกธนูไว้ หลังจากนั้นก็สลับ <ความผิดพลาด> ขึ้นมาถือเตรียมโจมตี
เปรี้ยงงง!!
"อั่ก… แค่ก!"
ทหารจำนวนห้าคนถูกดาบใหญ่สีน้ำเงินซัดเข้าจนกระเด็นลอยขึ้นฟ้า พละกำลังของกริดอยู่เหนือกว่าเผ่าพันธุ์ยักษ์ไปไกลมากแล้ว ไม่มีทางที่ทหารทั่วไปจะทนไหวแน่
"ย๊าาาก!"
ทหารที่เหลือต่างกรูเข้าใส่ พวกมันไม่สนใจซากศพของพวกพ้องด้านล่างเลยสักนิด ทุกคนเหยียบข้ามไปอย่างไม่ใยดี
กริดเริ่มใช้ทักษะ
"โทสะช่างตีเหล็ก"
โทสะช่างตีเหล็กเลเวล 4 จะช่วยเพิ่มพลังโจมตี 25% และความเร็วโจมตีอีก 40%
แถม <ความผิดพลาด> ในมือก็ยังช่วยเพิ่มพลังโจมตีขึ้นอีก 20% ในที่มืด
ฉึก! ฉั่วะ!
ท่ามกลางแสงจันทร์ ดาบใหญ่อันทรงพลังได้ฟาดฟันทะลุผ่านโล่และชุดเกราะไปอย่างง่ายดาย ร่างเนื้ออันแสนอ่อนแอของเหล่าทหารถูกเชือดเฉือน ถือเป็นการเต้นรำอันน่าตื่นตา
แต่พวกมันก็ไม่ได้โง่ หากเข้าไปทีละคนสองคน ความเสียหายที่เกิดขึ้นคงเกิดขึ้นไม่มีจบสิ้น กองทหารรีบตั้งขบวนล้อมกริดไว้และให้สัญญานสลับกันโจมตี กริดแสยะยิ้มอย่างขบขันให้พวกมันที่พยายามตั้งขบวนล้อม
'เราสามารถฝ่าออกไปได้ด้วยพลัง'
กลยุทธจะไร้ผลเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่่ต่างชั้นเกินไป อันที่จริง กริดสามารถใช้มายาร่ายรำเพื่อสังหารพวกมันเกินกว่าครึ่งในทักษะเดียวได้ แต่เขาก็จะไม่ทำเช่นนั้น ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่โง่เขลาเพียงใดกับการเสียทักษะอันมีค่าไปกับสิ่งเล็กน้อย
ทว่า การไล่เข่นฆ่าไปทีละคนก็ไม่ใช่เรื่องฉลาดเช่นกัน
'ทำให้ง่ายลงหน่อยดีกว่า'
ตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ประสบการณ์ต่อสู้ของกริดเพิ่มขึ้นจากการล่ามอนสเตอร์อย่างไม่หยุดพัก
การมองเห็นของเขากว้างขึ้น และเลือกมองภาพรวมของสนามรบมากกว่าจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้า สิ่งกีดขวางที่อยู่โดยรอบมีทั้งกระถางดอกไม้ ต้นไม้ และน้ำพุ กริดเคลื่อนตัวไปยืนในจุดที่ยากจะข้ามผ่านเพื่อให้ศัตรูตั้งขบวนได้ยากขึ้น
ขบวนรบที่เหล่าทหารพยายามก่อตัวค่อยๆ พังลงทีละนิด กลุ่มทหารสามารถพุ่งเข้าถึงตัวกริดได้ทีละสองสามคนเท่านั้น และทั้งหมดก็จะถูกดาบใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวดับลมหายใจก่อนจะได้เฉียดใกล้กริด
"อั่ก!"
"อ๊ากกก!"
เมื่อกริดวิ่งพล่านไปทั่วสวน ความได้เปรียบด้านจำนวนของกองทหารก็ดูเหมือนจะไร้ค่า ยิ่งเวลาผ่านไปนาน โลหิตและเศษชิ้นเนื้อของพวกพ้องก็เริ่มสาดกระเซ็นเข้าใส่กลุ่มทหาร พวกมันเริ่มสั่นกลัว ไม่มีใครที่กล้าไล่ตามกริดอีกต่อไป
อัศวินทมิฬเห็นดังนั้นจึงรีบหันไปกล่าวกับดาร์คบัส
"เซอร์ไดฟ ได้โปรดใช้เวทย์คำสาปสนับสนุนด้วย"
"ไม่มีปัญหา"
ดาร์คบัสตอบกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับวาดวงเวทย์สีแดง การปรากฏตัวของวงเวทย์ได้ทำให้มันร่ายคำสาปได้ไวขึ้น เมื่อดาร์คบัสวาดเสร็จ มันก็เริ่มใช้คำสาปใส่กริดอย่างต่อเนื่อง
"ถูกโจมตีแรงขึ้น! ลดค่าต้านทาน! ลดค่าอวยพร!"
เป็นวินาทีที่คำสาปอันทรงพลัง เช่นสาปให้ถูกโจมตีแรง สาปให้ค่าต้านทานทุกชนิดลดลง สาปให้ค่าสถานะทั้งหมดลดลง รุมกระหน่ำใส่กริดแต่เพียงผู้เดียว
"ไปกันเถอะ"
อัศวินทมิฬทั้งสองคนเริ่มเคลื่อนไหว ผู้บุกรุกที่ถูกทำให้อ่อนแอลงคนนี้ พวกมันมั่นใจว่าสามารถดับลมหายใจได้ในเวลาเพียงสิบวินาที
ดาร์คบัสพลันตะโกนห้ามอย่างตื่นตระหนก
"ด--เดี๋ยวก่อน...!"
คำสาปไม่ได้ผล! แต่มันก็พูดออกไปไม่ทันเสียแล้ว อัศวินทมิฬทั้งสองที่ถูกฝึกหนักจนร่ายกายเกินขีดจำกัดมนุษย์ได้พุ่งเข้าถึงตัวกริดในเวลาอันสั้น กริดเผชิญหน้ากับพวกมันพร้อมกับอมยิ้มอย่างขบขัน
"วิชาดาบแพ็กม่า... หน่วง!"
ความกลัวอันไม่ทราบที่มาได้สะกดข่มการกระทำของพวกมันเอาไว้
"อะไรกัน...?"
"หมายความว่ายังไง?"
อัศวินทมิฬต่างสับสนและผงะถอยหลังออกมาอย่างไร้เหตุผล กริดพุ่งตัวออกจากน้ำพุ่พร้อมกับย่นระยะด้วยจังหวะเท้าของ <สังหาร>
เปรี้ยงงง!
"...!"
อัศวินทมิฬที่ถูกแทงด้วยดาบใหญ่สีน้ำเงินไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้อง กองเลือดคำโตถูกกระอักออกมาจากปากพร้อมกับคุกเข่าทรุดลงไป
"บ้าน่า!"
อัศวินทมิฬอีกคนพลันโพล่งขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนถูกซัดหมอบ ตัวมันพยายามขัดขันออกจากผลของหน่วงอย่างสุดความสามารถ
"แกใช้มนต์ดำอะไรกับพวกเรากันแน่?"
"มนต์ดำ?"
กริดเพ่งพิจารณาทั่วร่างของอัศวินทมิฬคนที่เหลืออย่างละเอียด ผ้าปิดตาเพชฌฆาตได้เผยจุดอ่อนของมันให้เห็นอย่างเด่นชัด แสงสีแดงในแววตาของชายหนุ่มพลันเข้มข้นขึ้นยิ่งกว่าเดิม
"นั่นคือเทคนิค... ไม่ใช่มนต์ดำสักหน่อย"
มีดสีทองทั้งเจ็ดเล่มปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของกริด
ฉึกกก!
ทั้งรวดเร็วและแม่นยำจนไม่อาจหลบพ้น มีดสีทองได้ปักเข้าไปตามตะเข็บช่องว่างของชุดเกราะ การเคลื่อนไหวของมันพลันชะงักไปทันที
กริดปิดฉากด้วยร่ายรำ
ฟุ่บฟุ่บฟุ่บ...!
อัศวินทมิฬพยายามดิ้นรนจนเฮือกสุดท้าย มันกวัดแกว่งดาบอย่างมั่วซั่วเท่าที่จะทำได้ แต่การขีดขืนก็ไร้ผล ร่ายรำของกริดมีเลเวล 5 แล้ว ไม่ใช่สิ่งที่อัศวินทมิฬเลเวล 255 จะทนไหว
10, 15, 20, 25, 30 ครั้ง รัศมีดาบอันคมกริบได้เฉือนร่างของมันจนกลายเป็นเศษผ้าขี้ริ้ว
"แค่ก...!"
ตุ้บ!
ร่ายกายที่หมดสภาพได้หัวทิ่มลงไปในบ่อน้ำพุ บรรดาทหารที่ยืนมองอยู่ต่างหมดคำพูดทันทีเมื่อต้องเห็นโลหิตสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ขนาดสองอัศวินทมิฬที่ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิยังถูกสังหารในพริบตา? นี่พวกมันกำลังฝันไปงั้นหรือ?
กองทหารกำลังยืนสั่นกลัวราวกับเห็นฝันร้าย ส่วนดาร์คบัสก็กำลังตกตะลึงที่เวทย์คำสาปของตนไม่ได้ผล
ในที่สุดมันก็รู้ตัวจริงของกริด
'ต้านทานคำสาป ดาบใหญ่สีน้ำเงิน มีดสีทองที่เคลื่อนไหวได้เอง...! ไม่ผิดแน่! หมอนี่คือคนที่บาลัคเคยพูดถึง!'
ข้ารับใช้ลำดับที่ห้าแห่งวิหารยาธาน บาลัค มันเคยรุกรานไบรันพร้อมกับข้ารับใช้ลำดับที่สี่ เนบีเรียส และทั้งคู่ก็พ่ายแพ้กลับมา ในครั้งนั้นบาลัคได้กล่าวว่า ไบรันมีปีศาจอยู่ตนหนึ่งซึ่งใช้ดาบใหญ่สีน้ำเงินและของวิเศษสีทองเป็นอาวุธ มันผู้นี้เคยสังหารทั้งมาลาคัสและเนบีเรียสมาแล้ว
มันเรียกตัวเองว่า...
"เท็มพล่า..."
ไม่สิ
"โอเวอร์เกียร์!"
(ผู้แปล : เตือนความจำสักหน่อย คำว่า 템빨 [โอเวอร์เกียร์] - ออกเสียงคล้ายเท็มพล่า )
ทำไมชายคนนั้นถึงมาอยู่ที่นี่ได้? มันควรจะอยู่ที่อีเทอนัลมิใช่หรือ? เหตุใดถึงมาปรากฏตัวในจักรวรรดิและกำลังเผชิญหน้ากับตน?
"แกคิดจะทำลายสิ่งที่ฉันเหน็ดเหนื่อยมาตลอดสามปีงั้นหรือ?"
ดาร์คบัสพลันโมโหสุดขีด มันได้แต่คิดในใจว่า หรือจะถูกองค์เทพยาธานจะทอดทิ้งเข้าแล้ว?
กริดบอกไม่เกียวกะเทพ ตูจะทำเควสเฉยๆ มาขวางทางทำไมละเฮ้ย
ReplyDelete555555
Deleteฆ่ามันแล้วรับตัวอัสโมเฟลมาเป็นลูกน้องแน่ๆ
ReplyDeleteสนุกสนานมากมายครับ
ReplyDeleteได้ลูกน้อง 1ea
ReplyDelete