จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,226
‘นึกแล้วไม่มีผิด… สีของปราณเข้มข้นยิ่งกว่ามุลเลอร์เสียอีก’
กริดผสานปราณต่อสู้เข้ากับปราณดาบสำเร็จ
ฮายาเตะที่เดินไปแล้ว ถึงกับต้องหันมามองด้วยสีหน้าชื่นชม ขณะเดียวกันรู้สึกยินดีกับความสำเร็จของอีกฝ่าย
แต่ไหนแต่ไร ราชาวีรบุรุษคือผู้สร้างสันติภาพให้แก่โลก การเติบโตของกริดจึงเป็นประโยชน์ต่อหอแห่งปัญญาไม่มากก็น้อย
ไม่ต้องมองไปไหนไกล อดีตราชาบุรุษ อริยดาบมุลเลอร์ ได้สร้างคุณงามความดีด้วยการผนึกจอมอสูรหลักเดียวไปหลายตน
และเป็นเพราะมุลเลอร์ หอแห่งปัญญาจึงมุ่งความสนใจไปยังบาเอลและมังกรเต็มที่
‘หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป… เขาสามารถก้าวข้ามมุลเลอร์ หรือแม้กระทั่งเรา…’
แพ็กม่า บราฮัม และมาดรา… พลังของอัจฉริยะทั้งสามกำลังไหลเวียนภายในร่างกาย คงไม่มีใครทำแบบนี้ได้อีกแล้ว…
กริดมีพื้นฐานแตกต่างจากทุกคน แถมยังเคยประสบความสำเร็จมากมาย หัวใจฟินิกซ์แดงคือเครื่องพิสูจน์ในเรื่องนั้น
“ท่านฮายาเตะ!”
ด้วยร่างกายที่รายล้อมไปด้วยปราณต่อสู้รูปแบบใหม่ กริดเดินไปหาฮายาเตะพร้อมกับโค้งศีรษะคำนับอย่างนอบน้อม
“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะและของขวัญแสนล้ำค่า! ผมจะไม่ลืมบุญคุณในวันนี้เด็ดขาด!”
“อย่าได้มองว่าเป็นบุญคุณ เจ้ามีศักยภาพในตัวเองอยู่แล้ว ข้าเพียงสร้างทางลัดให้”
ฮายาเตะกล่าวอย่างถ่อมตน แต่ในความเป็นจริง หากไม่มีความช่วยเหลือจากนักล่ามังกร กริดคงมิอาจปลดระบบ ‘บรรลุ’ ได้ภายในอนาคตอันใกล้ การฝึกฝนพลังจิตไร้เทียมทานจนถึงขั้นสูงสุดอาจต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองปี
และเหนือสิ่งอื่นใด ของขวัญที่ฮายาเตะมอบให้กริดมิได้มีเพียงปราณดาบอนันต์ แต่ยังรวมถึงบทสนทนาที่มอบข้อมูลและความรู้ในเชิงลึกมากมาย
“ลงไปข้างล่างเถิด บีบันกำลังรอคุยกับเจ้าอยู่ หากรั้งไว้นานกว่านี้ ข้าอาจถูกนินทาลับหลังว่าเป็นตาแก่เอาแต่ใจ”
“ฮะฮะ… นั่นสินะครับ”
เราเองก็อยากถามบีบันเหมือนกันว่า สามารถถ่ายทอดพลังจิตไร้เทียมทานให้ปิอาโร่ได้หรือไม่ และความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบรรพบุรุษของปิอาโร่เป็นอย่างไร
แต่สำหรับตอนนี้ กริดมีคำถามคาใจหนึ่งข้อ
“เอ่อ… ผม…”
“ว่ามาได้เลย”
“ตัวตนสัมบูรณ์กับเทพเหมือนกันไหม…”
ตำนานถือกำเนิดจากการสั่งสมความสำเร็จ และตัวตนเหนือมนุษย์ถือกำเนิดจากการฝึกฝน
แต่ในทางกลับกัน ชอลแดจาถือกำเนิดจากความสำเร็จระดับสังหารเทพหรือมังกร เป็นตัวตนที่สูงกว่าเหนือมนุษย์ไปอีกขั้น
กล่าวได้ว่า เป็นการรวมแนวคิดของตำนานและเหนือมนุษย์เอาไว้ด้วยกัน
ในฐานะผู้ครอบครองสมญานามนักสังหารเทพ กริดย่อมเห็นเค้าลางของชอลแดจาอยู่บ้าง
“หืม…”
อีกฝ่ายแสดงสีหน้าหนักใจชัดเจน คล้ายกับถูกถามในสิ่งที่ตอบได้ยาก
ฮายาเตะเงียบงันสักพัก ก่อนจะมอบคำตอบ
“ถ้าเป็นในเชิงพลัง ชอลแดจากับเทพจะเท่าเทียมกัน ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ถ้าไม่นับเทพสงครามและมหาเทพ ก็แทบไม่มีเทพตนใดสามารถเอาชนะข้าได้”
“…!”
หากไตร่ตรองสักนิด จะพบว่าไม่ใช่เรื่องแปลก
กว่าจะกลายเป็นชอลแดจาได้ บุคคลดังกล่าวต้องสำแดงพลังในระดับทัดเทียมเทพหรือมังกรออกมาเสียก่อน
ดังนั้น ไม่ต้องเอ่ยถึงนักล่ามังกร
แต่เมื่อได้ยินฮายาเตะอธิบายด้วยดวงตาไม่สั่นคลอน หัวใจกริดเริ่มเต้นระรัว พร้อมกับตระหนักว่าบุคคลตรงหน้ายิ่งใหญ่มากเพียงใด
ตามด้วยคำถาม
“ถ้าแม้แต่ท่านฮายาเตะยังสังหารมังกรได้ยากลำบาก… มังกรแข็งแกร่งระดับใดกันแน่”
“มังกรคือสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อนจักรวาลต้นกำเนิด ระดับตัวตนเทียบได้กับเทพ เพียงแต่ไม่ขาดพลังบารมี ส่งผลให้อำนาจโดยร่วมต่ำกว่า แต่กระนั้น มังกรเป็นสัตว์ที่พรสวรรค์สูง เกิดมาพร้อมพลังเวทมนตร์มหาศาลและร่างกายที่ทนทานจนยากจะหาใครทัดเทียม… โชคยังดี มังกรเด็กเกิดใหม่นั้นห่างไกลจากความแข็งแกร่งที่แท้จริงอยู่มาก พวกมันจึงต้องซ่อนตัวให้ดี ห้ามมิให้โลกรับรู้ว่ามีตัวตน”
“…”
กริดเริ่มเข้าใจว่า เนเฟลิน่าค่อนข้างอับโชคเมื่อเทียบกับมังกรอื่น
ในเมื่อฮายาเตะยืนกรานว่ามังกรเด็กนั้นอ่อนแออย่างมากเมื่อเทียบกับโตเต็มวัย หมายความว่า อนาคตอันโหดร้ายกำลังรอคอยเนเฟลิน่าอยู่ เธอต้องอดทนซ่อนตัวไปอีกหลายปี กว่าจะได้ออกมาดูโลกและแก้แค้นให้บุพการี
‘ฉันจะดูแลเธอ จนกว่าจะปีกกล้าขาแข็ง…’
เนเฟลิน่าไม่ใช่มังกรกินคน หรืออย่างน้อยก็ในช่วงนี้ ลำพังเอฟเฟคพรมังกรก็คุ้มค่าแล้วที่จะชุบเลี้ยงเอาไว้ กริดคิดเช่นนั้น
เหนือสิ่งอื่นใด ชายหนุ่มสัญญาว่าจะคอยปกป้องจนกว่าเธอจะโตเต็มวัย
กริดยังจดจำคำ ‘ขอบใจ’ อันทรงพลังและสง่างามในตอนนั้นได้อย่างแจ่มชัด
เป็นสาเหตุว่าทำไม กริดถึงไม่นำเรื่องของเนเฟลิน่ามาพูดต่อหน้าฮายาเตะ
‘เขาไม่น่าจะเห็นพรมังกร…’
กริดสบตากับฮายาเตะ ผู้กำลังจ้องกลับด้วยสีหน้าอ่อนโยน
พรมังกรเป็นพลังนามธรรม แตกต่างจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมอย่างหัวใจฟินิกซ์แดง คงเป็นเรื่องยากที่ฮายาเตะจะมองเห็น
และเหนือสิ่งอื่นใด ฮายาเตะเป็นคนพูดเองว่า ข้อสงสัยทั้งหมดในตัวกริดถูกลบล้างจนหมดแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อน หากมีปัญหาใดต้องการความช่วยเหลือ สามารถเรียกหาผมได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องเกรงใจ จะรีบเหาะมาทันที”
“แน่นอน… ขออวยพรให้เจ้าประสบความสำเร็จ ข้าจะคอยเฝ้ามองจากตรงนี้”
กริดกล่าวคำอำลา
ต้องขอบคุณฮายาเตะที่ช่วยมอบสิ่งดี ๆ มากมายจนกระทั่งลาจาก กริดเริ่มมองเห็นภาพกว้างของโลกซาทิสฟาย และขจัดเมฆหมอกที่เคยบดบังสายตาออกไปจนหมด
‘หากเราก้าวไปถึงระดับชอลแดจา… การโค่นล้มห้าอาวุโสก็ไม่ใช่ความฝัน’
แล้วเราจะเป็นชอลแดจาได้ไหม…
คงตอบไม่ได้… บางทีอาจยากมาก
แต่อย่างน้อย ตอนนี้ก็มีเป้าหมายใหม่ที่ชัดเจนแล้ว ต้องรีบยกระดับตัวเองกลายเป็นชอลแดจาให้เร็วที่สุด
ปัจจุบันอาจยังเป็นเพียงความฝันเลื่อนลอย แต่เราก็พร้อมจะพยายามอย่างหนัก เพื่อทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา
***
“ท่านบีบัน”
ที่พักของบีบันอยู่บนชั้น 2 ของหอคอย
แม้พื้นที่ใช้สอยอย่างห้องนอนและห้องครัวจะมีขนาดเล็ก แต่ลานฝึกกลับกว้างขวางจนกวาดสายตามองได้ไม่รอบ นับเป็นการจัดสรรเนื้อที่ใช้สอยได้สมกับเป็นบีบัน
“มาได้สักทีนะ”
บีบันเค้นเสียงพลางกัดฟัน อากัปกิริยาเหมือนเด็กกำลังโกรธ
ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อ ราวกับทำความสะอาดหอคอยตลอดเวลาในขณะที่กริดไม่อยู่ นับเป็นความรับผิดชอบอันน่าทึ่ง ไม่แพ้ตอนที่ตั้งใจฝึกฝนวิชาดาบเลยสักนิด
‘เอาจริงเอาจังกับทุกเรื่องสินะ…’
บีบันเองก็เป็นสภาคอหอย จำเป็นต้องปลีกตัวจากโลกเพื่อคอยรับมือมังกร
“ทำไมถึงมองข้าด้วยสายตาแบบนั้น”
เมื่อได้ยินบีบันซักถามพลางใช้ผ้าขนหนูซับเหงื่ออันเปียกโชก กริดส่ายหน้า ตอบกลับไปอย่างซื่อตรง
“ผมแค่รู้สึกชื่นชม”
“อะแฮ่ม!”
บีบันยกมุมปากโดยไม่รู้ตัว
มันเก็บความเขินอายไว้ไม่อยู่ จึงเดินเข้าใกล้กริดและใช้มือตบหลังเพื่อกลบเกลื่อน
“ทุกคนมักพูดเช่นนี้เสมอ! ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้ามีสายตาเฉียบแหลมมาก!”
[ท่านได้รับความเสียหาย 8,930 หน่วย]
“อึก…”
ถึงการถอดอุปกรณ์สวมใส่ทั้งหมดที่ทำจากละโมบไปซ่อน จะทำให้พลังป้องกันของกริดลดลงอย่างมาก แต่การถูกตบหลังธรรมดาก็ไม่ควรจะเกิดความเสียหายรุนแรงเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่า กริดคือตำนาน เหนือมนุษย์ และราชาวีรบุรุษในคนเดียว
สมกับเป็นสภาหอคอย…
บีบันเริ่มพล่ามโดยไม่สังเกตเห็นว่ากริดกำลังทำสีหน้าเจ็บแปลบ
“ข้ามีเรื่องจะเล่าให้ฟัง…”
“…”
บีบันยังคงมีนิสัยพล่ามน้ำท่วมทุ่งไม่ต่างจากสมัยมาเยือนอาณาจักรโอเวอร์เกียร์
ยิ่งในคราวนี้ เมื่อเป็นการสนทนาบนหอคอยที่มีอิสระมากกว่าเดิม เรื่องเล่าก็ยิ่งยืดยาว
นี่คือข้อดีของการอยู่ในหอคอย?
เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่นอยู่ใกล้ บีบันเล่าเรื่องของตัวเองนานกว่าสิบกว่านาที
แน่นอน สำหรับกริดที่เพิ่งพูดคุยกับฮายาเตะมานานหลายชั่วโมง การต้องทนฟังบีบันพล่าม ส่งผลให้มันเริ่มคันในรูหู
แถมยังหาสาระแทบไม่ได้…
แต่กริดก็รับฟังด้วยรอยยิ้ม เพราะอีกฝ่ายมีจิตใจดี แถมยังห่วงใยตนจากใจจริง
แม้อุปนิสัยของบีบันจะไม่สุขุมเหมือนกับชายวัยร้อยปีคนอื่น แต่ชายหนุ่มก็เชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า คนอย่างบีบันไม่มีทางหักหลังหรือคิดร้ายกับตนอย่างแน่นอน
“จริงสิ… ลืมไปเลย”
บีบัน ผู้เอาแต่เล่าเรื่องของตัวเองอย่างออกรส ทำหน้าคล้ายกับเพิ่งฉุกคิดบางสิ่งได้
“…หลังจากข้าค้นคว้าอยู่นาน ในที่สุดก็พบวิธีสยบปราณต่อสู้โดยไม่ต้องมีพลังจิตไร้เทียมทานระดับสูงสุดแล้ว!”
“…”
พล่ามไร้สาระมาสิบนาที เพิ่งจะมาพูดเรื่องมีประโยชน์เอาตอนสุดท้าย…
กริดทำหน้าอึมครึม แต่บีบันหาได้แยแส ยังคงเชิงคางขึ้นและเล่าด้วยมาดองอาจ
“วิธีการไม่ซับซ้อน แค่กักเก็บปราณต่อสู้เอาไว้ในแก่นมานา จากนั้นก็ฉาบทับด้วยปราณดาบ… หากปราณดาบไม่ถูกใช้งาน ปราณต่อสู้ก็จะไม่กัดกินร่างกายเจ้า”
“เพียงเพื่อสยบปราณต่อสู้ ผมต้องผนึกวิชาดาบราชาไร้พ่าย รวมถึงวิชาดาบของตัวเองทั้งหมดเลยหรือ”
เมื่อกริดย้อนถาม บีบันชะงักเล็กน้อย
“ก็มันไม่มีวิธีอื่นแล้ว… ปราณดาบของเจ้ายังฟื้นฟูตัวเองได้ช้า ย่อมไม่มีเทคนิคใดช่วยสยบปราณต่อสู้ได้”
“ถ้าใช้วิธีของคุณ แล้วผมจะสู้ยังไง…”
“แค่ใช้พื้นฐานดาบก็พอแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องพึ่งพาวิชาดาบไร้พ่ายหรือวิชาดาบประเภทอื่น… เจ้าไม่ได้ไปสู้กับมังกรสักหน่อย”
“…คุณอาจไม่ทราบ แต่ศัตรูรอบตัวผมล้วนมีฝีมือแข็งแกร่ง”
“หืม… ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ต้องผนึกปราณดาบขณะใช้ชีวิตประจำวัน และนำปราณดาบออกมาใช้เฉพาะยามจำเป็น… ถึงจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยก็พัฒนาได้เร็วกว่าปล่อยให้ปราณต่อสู้กัดกินร่างกาย”
ทฤษฎีของบีบันมิได้เลื่อนลอย
สามารถทำได้จริง แถมยังพลิกแพลงได้
เพียงแต่ว่า แต่กริดหลุดพ้นจากปัญหาดังกล่าวแล้ว…
“ไม่ดีกว่าครับ”
“…ทำไมถึงปฏิเสธ”
“เพราะท่านฮายาเตะแก้ไขปัญหาให้ผมเรียบร้อยแล้ว เขาช่วยผสานปราณต่อสู้เข้ากับปราณดาบได้อย่างกลมกลืน”
“…”
“…”
“แล้วทำไมเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้ล่ะโว้ย!!”
“ผมนึกว่าคุณจะสัมผัสได้เอง ตั้งแต่ที่เห็นปราณต่อสู้ของผมมีสีเข้มขึ้น…”
“บัดซบ! เจ้าไม่ใช่สาวงามสักหน่อย ทำไมข้าต้องสำรวจเรือนร่างด้วย! ถ้าเจ้าไม่บอก แล้วข้าจะทราบได้ยังไง!”
“แต่คุณไม่เปิดโอกาสให้พูด…”
“กำลังจะบอกว่าข้าเอาแต่พล่ามฝ่ายเดียวใช่ไหม! ทีตอนเถียงล่ะเก่งนัก!”
“…”
“ข้าเสียเวลาทั้งวันเพื่อคิดหาวิธีช่วยเจ้า!”
“ขอโทษครับ…”
ฝ่ายที่ผิดดันกลายเป็นกริดเสียอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มเข้าใจหัวอกอีกฝ่าย จึงกล่าวคำขอโทษและอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพื่อบรรเทาความขุ่นเคือง
ผ่านไปสิบนาที เมื่อบีบันเริ่มอารมณ์ดีขึ้น
“เอ่อ… เกี่ยวกับวิชาดาบอิสระ…”
กริดเริ่มอธิบายลักษณะของวิชาดาบที่ปิอาโร่เคยใช้ รวมถึงเทคนิคทำฟาร์มอิสระที่ถูกพัฒนามาอีกขั้น
“สมัยข้าเป็นมนุษย์ธรรมดา ตอนนั้นยังไม่มีจักรวรรดิซาฮารัน จึงไม่มีความเกี่ยวข้องหรือเป็นเพื่อนกับตระกูลปิอาโร่ง.. แต่พิจารณาจากคำอธิบายของเจ้า วิชาดาบอิสระคงพลิกแพลงมาจากวิชาดาบไร้เทียมทานจริง”
หลังจากบีบันตัดขาดกับโลก คัมภีร์เคล็ดวิชาได้ตกไปอยู่ในมือของหลายกลุ่มคน
จากบรรดาทั้งหมด มีเพียงมุลเลอร์ที่สามารถจับใจความได้อย่างสมบูรณ์ และฝึกฝนตามโดยไม่ตกหล่นหรือผิดเพี้ยน
“สำหรับวิชาดาบอิสระของตระกูลปิอาโร่ บางที บรรพบุรุษของเขาอาจแปลมาจากภาษาชาวตะวันออก”
คัมภีร์ของบีบันเคยตกอยู่ในมือชนพื้นเมืองทวีปตะวันออก และมีการเขียนขึ้นใหม่ในภาษาตะวันออกเพื่อให้ชนรุ่นหลังเข้าใจได้ง่าย โดยฉบับดังกล่าวอาจถูกส่งต่อกันมา จนกระทั่งข้ามซีกโลก และถึงมือบรรพบุรุษปิอาโร่
“ไม่ผิดแน่ รากฐานของวิชาดาบอิสระและทำฟาร์มอิสระมาจากวิชาดาบไร้เทียมทาน แต่ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องบังเอิญ”
“…”
กริดมีสีหน้าอึมครึมทันทีเมื่อได้ยินคำอธิบายและการตีความจากบีบัน
ชายหนุ่มแอบหวังให้บีบันเป็นบรรพบุรุษหรือไม่ก็ญาติของปิอาโร่ แต่กลับกลายเป็นว่า ทั้งสองไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย…
บทสรุปเช่นนี้ยิ่งทำให้กริดอึดอัดใจ ที่จะเอ่ยปากขอถ่ายทอดพลังจิตไร้เทียมทานให้ปิอาโร่
‘เราไม่มีเหตุผลมากพอ…’
ขณะชายหนุ่มกำลังหดหู่
“ข้าล่ะเสียดายนัก! หากไม่เพราะถูกกฎของหอคอยห้ามไว้ ป่านนี้คงแวะไปหาปิอาโร่ของเจ้าเพื่อพิสูจน์ให้แน่ชัด… ชิ!”
“…?”
“มีอะไรน่าฉงน? ไม่ว่าจะเกิดจากความบังเอิญหรือไม่ แต่ปิอาโร่ก็เป็นทายาทของวิชาดาบข้าจริง การไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองย่อมไม่ใช่เรื่องผิดปรกติ”
“ครับ… ก็ใช่”
“เฮ่อ… ชักเป็นห่วงแล้วสิ หมอนั่นจะเข้าใจแก่นสำคัญของวิชาได้มากเพียงใด… ข้าไม่อยากให้ใครมาดูแคลนว่าคัมภีร์ของข้าห่วยแตก! เข้าใจไหม!”
“ไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด ตรงกันข้าม ปิอาโร่ใช้มันเพื่อโค่นจอมอสูร แถมยังสร้างคุณงามความดีมากมายในสงคราม วิชาดาบอิสระมีแต่จะยิ่งโด่งดังและน่าเกรงขาม”
“โฮ่! ต้องอย่างนั้น สมกับเป็นศิษย์ของข้า! เคยนึกสงสัยว่า เจ้าบ้าที่กล้าดัดแปลงวิชาดาบไปเป็นวิชาทำฟาร์ม ยังสติดีแน่อยู่หรือ… เฮ่อ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้มาตรฐานลดลง!”
“ครับ… แต่น่าเสียดาย เขายังไม่รู้จักพลังจิตไร้เทียมทาน…”
“เจ้าว่ายังไงนะ…”
บีบันหรี่ตามองกริด
“แก่นสำคัญของวิชาดาบไร้เทียมทานคือพลังจิตไร้เทียมทาน แต่เจ้ากลับบอกว่า ปิอาโร่ยังไม่ได้ครอบครองพลังจิตไร้เทียมทาน…?”
“คงเพราะบรรพบุรุษของเขาไม่เข้าใจภาษาตะวันออก เคล็ดวิชาจึงผิดเพี้ยนจากของเดิมไปมาก และสิ่งนั้นก็ตกทอดมาจนถึงรุ่นปิอาโร่”
“บัดซบ!”
บีบันกำลังโมโห
“แล้วเจ้ามัวทำอะไรอยู่!!”
“…!”
“ทำไมถึงไม่สอนพลังจิตไร้เทียมทานให้กับศิษย์ของข้า! ถ้าขาดแก่นสำคัญของวิชาไป เพลงดาบจะแสดงผลเต็มที่ได้อย่างไร!!”
“…!”
แจ็คพอตฉิบหาย
เราเคยกังวลมาตลอดว่า หากเอ่ยปากถามออกไป บีบันจะยอมอนุญาตให้สอนหรือไม่
แต่อีกฝ่ายกลับเสนอออกมาเองเช่นนี้…
‘หอแห่งกำไร…’
หัวใจกริดกำลังกู่ร้องอย่างมีความสุข
เหมือนมีสปอนเซอร์เติมทรูให้ยกกิลด์
ReplyDeleteหอแห่งกำไร 🤣
ReplyDeleteตอนครอเกลคือ ทนได้2 วิ น่าเสียใดมาก ตอนนั้นพลังแกยังน้อยยุ 5555+ อดเลย
ReplyDelete