จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,220
เป็นสิทธิพิเศษของ ‘หัวแถว’ รึไง?
หรือเป็นเพราะเขาคิดถึงความหลัง…
ทัศนคติของอเบลลิโอ้ต่อกริดเรียกได้ว่าเป็นมิตรอย่างมาก
“คุณหมายความว่ายังไง ที่บอกว่าร่างกายและจิตใจของผมได้รับภาระหนักเกินไป จนไม่สามารถพัฒนาได้อีกแล้ว”
“ก็หมายความตามนั้น เทคนิคของเจ้าได้สร้างภาระอย่างใหญ่หลวงต่อร่างกายและจิตใจ เป็นเหตุให้ไม่เกิดการพัฒนา”
“ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?”
“ทุกครั้งเมื่อใช้ทักษะ ร่างกายและจิตใจของเจ้าจะเกิดความอ่อนล้าและต้องการพักผ่อนชดเชย จึงเสียเวลาไปกับการฟื้นฟูโดยไม่มีช่องว่างเหลือสำหรับการ ‘บรรลุ’ ”
“บรรลุ… คืออะไร?”
“ร่างกายจะเติบโตขึ้นตามประสบการณ์ แต่ประสบการณ์ย่อมมีวัน ‘เต็ม’ เมื่อถึงเวลานั้น ร่างกายจะพัฒนาได้โดยใช้ ‘การบรรลุ’ แทนประสบการณ์”
“…”
กริดพยายามทำความเข้าใจ
คำว่า ‘พัฒนา’ ของอเบลลิโอ้หมายถึงเลเวล และเลเวลเพิ่มได้จากการสั่งสมค่าประสบการณ์
ชายหนุ่มลองมองย้อนกลับไปในอดีต
กว่าจะอัปเลเวลมาจนถึงปัจจุบัน ตนต้องสั่งสมค่าประสบการณ์ผ่านภารกิจและการล่ามอนสเตอร์มากมายนับไม่น้อย
จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง เลเวลกลับเพิ่มได้ยากอย่างน่าใจหาย การเพิ่มระดับแต่ละครั้งต้องใช้ค่าประสบการณ์ปริมาณมหาศาล
‘เขากำลังจะบอกว่า การสังหารตัวตนระดับเหนือมนุษย์อย่างครึ่งเทพ ได้ทำให้หลอดค่าประสบการณ์ของผู้เล่นมาถึงจุด ‘เต็ม’ ?”
…ไม่ สิลองคิดให้ง่ายลงหน่อย
อาจไม่เกี่ยวกับยังบัน
แต่เลเวล 400 คือขีดจำกัดของหลอดค่าประสบการณ์ผู้เล่น
หลังจากจุดนั้น ผู้เล่นจะต้องเข้าถึงระบบ ‘บรรลุ’ เพื่ออัปเลเวลต่อไป
แล้วการบรรลุคืออะไร?
โครงสร้างของทางเดินหอคอยชั้น 4 นั้นซับซ้อนราวกับเขาวงกต ย่างก้าวอันเชื่องช้าและระมัดระวังของอเบลลิโอ้ทำให้คนทั้งสองไปถึงเป้าหมายช้าลง
กริดจึงมีเวลาไตร่ตรอง
มันไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือ รีบเปิดประเด็ดซักถาม
“การบรรลุคืออะไร แล้วทำอย่างไรจึงจะได้มาครอบครอง? ต้องไปหลับตานั่งสมาธิใต้น้ำตกสักสองสามวันหรือ?”
เมื่อตระหนักถึงภาพของสาวกเทพสงครามกำลังสมาธิใต้น้ำตก กริดทำสีหน้าอึมครึม
การบรรลุ… ต้องนั่งสมาธิ?
ต้องอัปเลเวลแบบนั้นจริงหรือ?
‘นี่เป็นเกม… หรือโลกจำลองการนั่งสมาธิเสมือนจริงแห่งแรกในจักรวาลกันแน่!’
เห็นกริดส่ายหน้า อเบลลิโอ้หัวเราะ
“การบรรลุจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มิใช่ได้รับจากการหมกมุ่น”
“ตามธรรมชาติ…?”
“การบรรลุเกิดจากการใช้เทคนิคของร่างกายและจิตใจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสั่งสมให้สิ่งเหล่านั้นฝังลึกลงในร่างกายและจิตใจ”
“จากประโยคดังกล่าว ฟังดูไม่ต่างจาก ‘ประสบการณ์’ สักเท่าไรเลย”
“ต่างสิ ประสบการณ์ได้จากการแก้ไขปัญหาหรือเข่นฆ่าศัตรู แต่การบรรลุสามารถได้รับโดยไม่ต้องทำเรื่องแบบนั้น”
“…?”
ทำภารกิจและฆ่ามอนสเตอร์เพื่อให้ได้รับค่าประสบการณ์—ถ้าเป็นประโยคนี้ กริดพอจะเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้
แต่อเบลลิโอ้กลับบอกว่า การบรรลุสามารถได้รับโดยไม่ต้องทำภารกิจหรือฆ่ามอนสเตอร์?
“บ้าน่า… หรือคุณกำลังจะบอกว่าการเหวี่ยงพลั่วจั่วลม… เอ่อ ผมหมายถึง การฝึกซ้อมกับตัวเองตามลำพัง จะช่วยให้ร่างกายเกิด ‘การบรรลุ’ และพัฒนา?”
“ฮะฮะ… สมัยนี้เขาเรียกการฝึกซ้อมว่าเหวี่ยงพลั่วจั่วลมหรอกหรือ”
“…”
การฝึกซ้อม…
ย้อนกลับไปสมัยเพิ่งได้รับวิชาดาบแพ็กม่ามาหมาด ๆ กริดได้ทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมอย่างหนักมากกว่าใคร เพื่อจะได้รำดาบอย่างคล่องแคล่วและไร้รอยต่อ
คำสอนจากบราฮัมและปิอาโร่ช่วยให้ชีวิตของชายหนุ่มพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังเท้า
ด้วยความสัตย์จริง กริดค่อนข้างเบื่อหน่ายการฝึกซ้อมอันซ้ำซากจำเจ
หลังจากได้ยินว่าครอเกลซุ่มเก็บตัวในกระท่อมบนภูเขาเพียงอย่างเดียวเป็นเวลาสามปี ชายหนุ่มทำได้เพียงส่ายหน้าและตัดพ้อว่า บนโลกมีคนบ้าบิ่นเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ
คล้ายกับอเบลลิโอ้อ่านใจกริดออก
“ดังที่กล่าวไปข้างตน ในเมื่อประสบการณ์ของเจ้าใกล้เต็ม การบรรลุจึงไม่จำเป็นต้องเกิดจากการเหวี่ยงพลั่วจั่วอากาศเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดขึ้นกับชีวิตประจำวันได้ด้วย”
“หมายความว่า การตีเหล็กและการต่อสู้ทั่วไปก็ถือเป็นการฝึกซ้อมได้เช่นกัน…?”
“ถูกต้อง เพียงแต่ต้องกระทำโดยไม่ทำลายความกลมเกลียวระหว่างร่างกายและจิตใจ”
ย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง
“จนกระทั่งตอนนี้ เจ้าเอาแต่ฝืนขีดจำกัดร่างกายและจิตใจของตัวเองอย่างหนักหน่วงบ่อยครั้ง เพื่อแลกมากับประสบการณ์จำนวนมากใช่ไหม”
ถูกต้อง
ไม่ว่าจะเป็นการตีเหล็กหรือเข่นฆ่าศัตรู กริดจะรีดประสิทธิภาพร่างกายและจิตใจให้เกิดขีดจำกัดเสมอ โดยเกือบทุกครั้งจะประสบผลสำเร็จ และได้รับการเลเวลอัปเป็นสิ่งตอบแทน
“แต่สำหรับปัจจุบัน ในเมื่อประสบการณ์ของเจ้าเต็มแล้ว การฝืนร่างกายและจิตใจเพื่อให้ได้รับประสบการณ์จึงไม่ใช่เรื่องจำเป็น… ข้าอยากให้เจ้าลองย้อนนึกกลับไปยังเหตุการณ์ยากลำบากในช่วงหลังสุด”
“…”
แน่นอน เหตุการณ์ยากลำบากในช่วงหลังสุดคือการต่อสู้กับยังบัน
ขณะกริดกำลังจิตนาการ อเบลลิโอ้ยิงคำถาม
“หลังจากลงมือทำร้าย ‘กายและจิต’ ของตัวเองอย่างหนักหน่วง เจ้าได้รับสิ่งใดกลับมาบ้าง”
ประสบการณ์อันยากจะลืมเลือนผุดขึ้นในความทรงจำกริดทันที
ดาบสลายทัพสองแสน
ดึงศักยภาพซ่อนเร้น
ดาบลอบสังหารทัพสามแสน
วิชาดาบผสานห้าชนิด
ร่างกายล้วนได้รับแรงกระทบกระเทือนอย่างแสนสาหัส บางครั้งย่ำแย่เสียจน ทำได้เพียงจ้องมองสนามรบโดยมิอาจขยับเขยื้อนร่างกายเป็นเวลานาน
ไม่ใช่แค่การต่อสู้กับยังบัน
เมื่อจบการต่อกับศัตรูแข็งแกร่งแทบทุกครั้ง กริดจะหมดสภาพไปอย่างน้อยสองสามนาทีเสมอ
“หลังจากร่างกายตกอยู่ในสภาพดังกล่าวสั่งสมเป็นเวลานาน พวกมันจึงมิอาจผ่อนคลายจนเข้าถึงการบรรลุได้”
“…”
อเบลลิโอ้มองเห็นอย่างแจ่มชัด
ระหว่างการทดสอบเมื่อครู่ มันเห็นกริดเปิดใช้ดึงศักยภาพซ่อนเร้น ทำให้ทราบทันทีว่าชายคนนี้ต้องฝ่าฟันความยากลำบากระดับใดในช่วงหลัง
กริดยืนผงะเป็นเวลานานด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบจนยากจะอธิบายเป็นคำพูด ก่อนจะกัดฟันกรอดและกล่าวโดยไม่เก็บซ่อนอารมณ์ขุ่นเคือง
“แล้วผมต้องทำยังไง… หากต้องการพัฒนาตัวเอง ก็ต้องผนึกพลังที่ได้รับมาอย่างยากลำบากเอาไว้ตลอดกาล?”
ด้วยความสัตย์จริง กริดเริ่มรู้สึกมาสักพักแล้ว
ทุกครั้งเมื่อต้องเจ็บตัวอย่างแสนสาหัสจากผลข้างเคียงของทักษะ ไม่ว่าจะเป็นแขนหัก กระดูกร้าว หรือไหล่หลุด กริดจะถามตัวเองเสมอว่า ‘แบบนี้มันดีแล้วจริงหรือ’
ทำไมการเล่นเกมต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้
เราจะเล่นเกมที่มีแต่ความเจ็บปวดและน้ำตาไปเพื่ออะไร?
กริดมั่นใจ
มีผู้เล่นเพียงส่วนน้อยบนโลก ที่กล้ากระหน่ำใช้ทักษะอันจะทำให้กระดูกแขนของตัวเองแตกหัก ไหล่หลุด ปวดหน้าอก และกระอักเลือดคำใหญ่ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ตนเป็นกรณีพิเศษ สามารถอดทนได้มากกว่าคนอื่นเล็กน้อย ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนที่ไม่เคยชินกับความเจ็บปวด การใช้ทักษะครั้งแรกอาจทุกข์ทรมานจนทำให้ตัดสินใจลบเกมทิ้ง
“ผิดแล้ว ข้ามิได้บอกให้เจ้าผนึกทักษะหรือทำลายเทคนิคที่ได้รับมาอย่างยากลำบากทิ้งไป นั่นไม่มีทางส่งผลดีในระยะยาวแน่”
ในความเป็นจริง ประสบการณ์การเล่นซาทิสฟายของกริดค่อนข้างแตกต่างจากผู้เล่นคนอื่นพอสมควร
ทักษะที่สร้างความเสียหายให้กับร่างกายนั้นมีอยู่ไม่มาก และถ้ามี ก็จะไม่ใช่ความเจ็บปวดรุนแรงอะไรนัก หรือต่อให้เป็นทักษะสร้างอาการบาดเจ็บรุนแรง แต่กว่าผู้เล่นจะได้ครอบครอง จิตใจก็คงพัฒนาไปถึงจุดที่สามารถปรับตัวและอดทนกับมันไหว
“ประการแรก เจ้าต้องสร้างความกลมเกลียวระหว่างกายและจิตเสียก่อน”
ความไม่ปรกติในการเล่นเกมของกริดก็คือ ชายหนุ่มเติบโตเร็วเกินไปจน ‘จิต’ พัฒนาไม่ทัน
“จริงอยู่ กายของเจ้าอาจพัฒนาจนใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว แต่จิตยังไม่สามารถแบกรับภาระอันหนักหน่วงไหว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้ามีทักษะหลากหลายเกินไป โดยจากบรรดาทั้งหมด ปัญหาใหญ่ก็คือ ‘ปราณต่อสู้’ ของราชาวีรบุรุษ”
“ปราณต่อสู้?”
ปราณต่อสู้เกิดจากสมญานามราชาวีรบุรุษ ถือเป็นหนึ่งในตัวช่วยสำคัญของกริดมาตลอด ยิ่งการต่อสู้ดำเนินไป ปริมาณสั่งสมก็ยิ่งมาก จนช่วยยกระดับร่างกายซึ่งถูกพัฒนาใกล้ถึงขีดกำจัดขึ้นจากเดิมหลายเท่า
อีกทั้ง ปราณต่อสู้ยังไม่ขัดแย้งกับทักษะหรือความสามารถใดในตัวเลย
โดยไม่ปล่อยให้กริดโต้เตียง อเบลลิโอ้หยิบกระดาษวาดรูปและพู่กันออกมา ก่อนจะวาดจุดสีแดงม่วงลงไปบนกระดาษ
สีสันเหมือนกับปราณต่อของกริดทุกประการ
ฉึบ. ฉึบ.
อเบลลิโอ้ยังคงวาดต่อเนื่อง จุดสีแดงม่วงถูกแต้มซ้ำลงในตำแหน่งเดิมเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดลงเมื่อกระดาษเปียกจนใกล้ฉีกขาด
“เจ้าทราบหรือไม่ว่า อริยดาบมุลเลอร์ได้ผสานปราณต่อสู้และปราณดาบเข้าด้วยกัน”
เพียงอเบลลิโอ้สะบัดข้อมือ กระดาษวาดรูปพลันฉีกขาดตามรอยจุดสีแดงม่วง
“จุดประสงค์ของมุลเลอร์มิได้ทำได้เพื่อยกระดับพลังปราณ แต่เพื่อลดทอนความเกรี้ยวกราดของปราณต่อสู้ลงด้วยปราณดาบ”
“…!”
“ปราณต่อสู้เป็นพลังระดับเทวตำนาน อำนาจของมันมหาศาลเกินกว่าร่างกายมนุษย์จะเป็นภาชนะรองรับไหว โดยไม่สนว่าเจ้าจะเป็นตำนานหรือเหนือมนุษย์ แต่ร่างกายจะยังคงถูกกัดกร่อนอย่างต่อเนื่องหากไม่หยุดใช้ปราณต่อสู้ และจะไม่เหลือช่องว่างสำหรับการ ‘บรรลุ’ ”
กริดรีบเปิดอ่านรายละเอียดของสมญานามราชาวีรบุรุษทันที
<ราชาวีรบุรุษ>
มหาวีรบุรุษเหนือวีรบุรุษทั้งปวง
เทวะตำนานที่ยังมีชีวิต
‘นี่มัน…!’
ถูกเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน
เทวตำนาน
ในอดีต ขณะที่ยังไม่มีการยืนยันว่าคลาสเทวตำนานมีอยู่จริง กริดได้ตีความวลี ‘เทวตำนาน’ ในคำอธิบายว่าเป็นแค่การเปรียบเปรย
แต่ในช่วงหลัง เบาะแสของคลาสเทวตำนานเริ่มถูกเปิดเผยอย่างแพร่หลาย จึงหมายความว่า คลาสระดับดังกล่าวมีอยู่จริงแน่นอน เพียงแต่ตัวกริดยังก้าวไปไม่ถึงขั้นนั้น
“ก่อนอื่น เจ้าต้องผสาน ‘ปราณต่อสู้’ และ ‘ปราณดาบ’ เข้าด้วยกันเสียเลย พยายามลดความเกรี้ยวกราดของปราณต่อสู้ลง เพื่อยับยั้งมิให้ร่างกายถูกกัดกร่อนไปมากกว่านี้ หากทำสำเร็จเมื่อไร ‘จิต’ ของจะเริ่มผ่อนคลาย และกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายมากขึ้น”
[ท่านได้รับข้อมูลใหม่]
[ระบบลับของคลาสการตื่นครั้งที่ 4 <บรรลุ> ถูกเปิดใช้งาน]
<บรรลุ>
ได้รับค่าประสบการณ์จากกิจกรรมพิเศษของสายอาชีพ รวมไปถึงการต่อสู้
[ท่านยังไม่สามารถใช้งานระบบ <บรรลุ> ได้ในปัจจุบัน เนื่องจากติดข้อจำกัดของทรัพยากร <ปราณต่อสู้>]
“เฮ่อ… จริงอยู่ ผมอาจเข้าใจความหมายของคุณ แต่ผมมิได้อัจฉริยะเท่ามุลเลอร์…”
กึก.
อเบลลิโอ้หยุดเดิน—หยุดการกระทำอันซ้ำซากราวกับติดในเขาวงกต
ก่อนจะยื่นมือออกไปสัมผัสกำแพงด้านข้างเพื่อสร้างรอยแยกห้วงมิติ พร้อมกับการปรากฏตัวของบันไดนำไปสู่ชั้น 5
ในความเป็นจริง อเบลลิโอ้สามารถพากริดขึ้นไปยังชั้น5 เมื่อไรก็ได้ เพียงแต่รอมาตลอด
รอให้กริดเข้าใจด้วยตัวเอง
เมื่อตระหนักถึงความปรารถนาดีของอีกฝ่าย ชายหนุ่มเกิดความซาบซึ้งจากก้นบึ้ง
“วู้ว! นั่นมันกริดไม่ใช่หรือ!”
เสียงอันคุ้นเคยดังจากบันไดด้านบน
เมื่อชายหนุ่มเงยหน้า มันเห็นบีบัน
แต่เรื่องน่าประหลาดก็คือ บีบันกำลังถือไม้ถูพื้นในมือ มิใช่ดาบอย่างที่ควรจะเป็น
“ชายคนนี้คืออาจารย์ของมุลเลอร์ จริงอยู่ อาจเป็นการถ่ายทอดวิชาดาบทางอ้อม แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า มุลเลอร์แข็งแกร่งได้อย่างทุกวันนี้ก็เพราะบีบัน… หัวแถวกริดเอ๋ย หอแห่งปัญญาขอแนะนำให้เจ้าศึกษาวิธีผสานปราณดาบกับปราณต่อสู้จากบีบัน”
“จะดีหรือ? ในเมื่อบีบันไม่รู้จักปราณต่อสู้…”
บีบันเคยสอนวิชาดาบให้กริด แต่มันไม่เคยลงลึกรายละเอียดเกี่ยวกับปราณต่อสู้แม้แต่ครั้งเดียว กริดจึงมิได้มอบความไว้วางใจให้มากนัก
โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นบีบันในสภาพปัจจุบันด้วยแล้ว อดีตอริยดาบกำลังโก่งตัวถูพื้นในท่าแมวหมอบ ไม่หลงเหลือเศษเสี้ยวของความน่าเกรงขามให้ชื่นชมเลยสักนิด
แต่บีบันกลับไม่คิดเช่นนั้น
“ใช่! ข้าไม่รู้จัก! แต่ถึงอย่างนั้นก็เต็มใจช่วยเหลือ เพื่อเป็นการตอบแทนเจ้า ในฐานะที่นำเหล็กมังกรคลั่งกลับมามอบให้หอแห่งปัญญาตามภารกิจที่ข้ามอบหมาย!”
“…”
หอแห่งปัญญาจะให้เราหวังพึ่งพาคนที่เพิ่งพูดออกมาว่า ‘ข้าไม่รู้จัก’ จริง ๆ น่ะหรือ…
ทั้งที่เป็นสภาหอคอยเหมือนกัน แต่ทำไมถึงได้แตกต่างราวฟ้ากับเหวเช่นนี้?
กริดมองสลับไปมาระหว่างอเบลลิโอ้และบีบันด้วยสีหน้าอึมครึม
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,615
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
😆
ReplyDeleteขอบคุณมากครับ😊🙏