จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,197
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจนได้ยินไปไกลหลายกิโลเมตร
ครืนนนนนนนนนนน!!
สิ่งนี้คือเสียงคำรามของสัตว์ใหญ่อันดับหนึ่งของโลกหรือ?
ไม่ใช่
ชิลชอนและพรรคพวกซึ่งเคยประหลาดใจในครั้งแรก ๆ ตอนนี้มิได้เปลี่ยนสีหน้าไปมากนัก ทำเพียงจ้องมองมาทางกริดอย่างสนอกสนใจ
ละอองหมอกสีขาวกำลังแผ่ปกคลุมร่างกายชายหนุ่มอย่างเข้มข้น
นี่คือความสง่างามของเทพ
[พลังเสือขาวผสานเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายของท่าน ขณะอยู่ในร่าง <เทพธรณี> ท่านสามารถควบคุมภูมิประเทศได้ดั่งใจ]
กริดมองเห็นโลกเปลี่ยนไปทันที
พื้นดิน หินผา เนินเขา ภูเขา และอีกมาก
ทุกสิ่งในความหมายของภูมิประเทศเริ่มส่องแสงกะพริบ
ชายหนุ่มเกิดอาการวิงเวียนเล็กน้อย
ขณะสายตามองตรงไปยังเนินเขาลาดชันเบื้องหน้า กริดรีบจินตนาการภาพพื้นราบภายในสมองอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตา มานาของมันลดลงไป 2,000 หน่วยทันที พร้อมกับการยุบตัวลงของเนินเขาขนาดปานกลาง
เนินเขากลายเป็นพื้นราบ
ช่างน่าอัศจรรย์
ไม่มีคำอธิบายอื่นใดนอกจาก ‘พลังเทพ’
ด้วยพรจากเสือขาว กริด ผู้ครอบครองพลังบางส่วนของเทพธรณี สามารถแปรเปลี่ยนภูมิประเทศได้ดังใจนึก
แม้จะเปลี่ยนได้เพียงหนึ่งจุด แถมยังแสดงผลค้างไว้แค่ 30 วินาที แต่เท่านี้ก็นับว่ามีประโยชน์มหาศาลหากถูกนำไปใช้งานอย่างถูกต้อง
บราฮัมชำเลืองกริดขณะอีกฝ่ายเดินข้ามผ่านพื้นราบด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“เป็นถึงพลังของเทพ แต่ทำไมประสิทธิภาพจึงได้ด้อยนัก”
สำหรับบราฮัม การสร้างพื้นราบไม่ใช่เรื่องยากเย็น ไม่ต้องเป็นเทพก็ทำได้
ไม่ว่าจะเนินเขาหรือขุนเขาขนาดมหึมา ทั้งหมดสามารถแบนราบได้ด้วยพลังเวทมนตร์
กริดโต้แย้ง
“นั่นจะเป็นการทำลายธรรมชาติ”
“…?”
แล้วจะรักษาธรรมชาติไปเพื่ออะไร?
ขณะกริดยังไม่เปลี่ยนสีหน้า บราฮัมเริ่มฉุกคิดบางสิ่งได้และพึมพำ
“เข้าใจแล้ว… การรักษาธรรมชาติจะคงไว้ซึ่งละอองมานาปริมาณมหาศาล พลังของเทพจึงนับว่าเหนือกว่าเวทมนตร์เมื่อมองในมุมการอนุรักษ์ธรรมชาติ”
แบบนี้ดีกับตัวมันด้วยเช่นนั้น
กริดกล่าวกับบราฮัม
“ในความเป็นจริง พลังของเทพธรณีมิได้ทำให้ภูมิประเทศกลายเป็นพื้นราบเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถเปลี่ยนพื้นราบให้กลายเป็นภูเขาหรือวงกตซับซ้อนได้เช่นกัน”
“แล้วทำไมถึงสร้างแต่พื้นราบ? ในเหตุการณ์หลบหนีฝูงก็อบลินก่อนหน้า ถ้านายสร้างวงกตและล่อให้พวกมันตามเข้าไป การสังหารหมู่ในคราวเดียวก็คงไม่ใช่เรื่องยาก”
“ฉันไม่สามารถจินตนาการโครงสร้างซับซ้อนได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ … มันยากเกินไป…”
“เข้าใจแล้ว”
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากกริดจะประสบปัญหาเพราะเหตุผลทางด้านสมอง
บราฮัมไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน ทางกลุ่มชิลชอนและสัตว์เทพจักรราศีซึ่งกำลังจ้องมองการสนทนาอยู่ห่าง ๆ พวกหามิได้ดูแคลนกริดในเรื่องนี้
‘ถ้าไม่ใช่อัจฉริยะเฉพาะทางจริง ๆ คงเป็นการยากจะให้ชำนาญพลังใหม่ได้รวดเร็ว’
นับตั้งแต่เริ่มต้นออกเดินทางจนกระทั่งเมื่อครู่ มีหนึ่งสิ่งเหมือนกับทุกครั้งขณะกริดพยายามเปลี่ยนภูมิประเทศให้เป็นพื้นราบ
ทั้งหมดจะเกิดขึ้นภายใน 3 วินาที
หลังจากเลือกภูมิประเทศเป้าหมายเสร็จ คล้ายกับว่ากริดต้องรีบวาดภาพในหัวให้เรียบร้อยภายในสามวินาที จากนั้นภูมิประเทศจึงค่อยเริ่มเปลี่ยน
ไม่น่าแปลกใจเท่าไร หากต้องอาศัยเวลาสักพักเพื่อปรับตัวให้เคยชิน
‘ถ้าไม่ใช่อัจฉริยะด้านนี้ตั้งแต่กำเนิด เห็นทีคงมีเพียงนักสร้างดันเจี้ยนผู้เดียว จึงจะนำพลังเทพธรณีมาใช้ได้เกิดประโยชน์สูงสุด’
นักสร้างดันเจี้ยนในความหมายของบราฮัมคือสวาปามจกบัลเผ็ด
ท่ามกลางดินแดนอันกว้างใหญ่ภายในอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ สวาปามจกบัลเผ็ดร่วมมือกับผู้เล่นอีกตำนานหนึ่งสร้างดันเจียนขึ้นมากมายไม่ต่ำกว่า 30 แห่ง ข่าวลืออันน่าชื่นชมเช่นนี้ย่อมถูกส่งมาถึงหูบราฮัม
‘คงต้องบอกให้เขาเริ่มลงมือสร้างหอคอยใต้ดินได้แล้ว’
ขณะบราฮัมกำลังใช้ความคิด
“ฟู่ว”
เมื่อผลของเทพธรณีหมดลงและพื้นราบด้านหลังกลับเป็นเนินเขา กริดถอนหายใจยาว
‘เดิมทีมันควรจะถูกสุ่มติดได้ยาก’
ตามปรกติ บัฟเทพธรณีจะมีระยะหน่วงหลังใช้นานสามชั่วโมง เทียบได้กับทักษะท่าไม้ประจำคลาสเลยทีเดียว
แต่เนื่องมาจาก โอกาสสุ่มติดทักษะเทพธรณีมิได้ซ้อนทับกันในไอเท็มแต่ละชิ้น กริดจึงใช้งานมันได้บ่อยกว่าปรกติ
ถ้าคิดโอกาสติดร่วมกันในทุกไอเท็ม ชายหนุ่มคงไม่มีโอกาสนำมาเล่นสนุกได้ถึงเพียงนี้
‘ด้วยเหตุนี้ เราต้องรีบสร้างเซตเสือขาวให้สำเร็จโดยเร็ว หากผลิตลมหายใจเสือขาวดูดกลืนลมหายใจฟินิกซ์แดงได้อีกสักเม็ดและนำไปสร้างเป็นเครื่องป้องกันเมื่อไร โอกาสแสดงผลของเทพธรณีก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว’
หลังจากนั้น แผนการในอุดมคติของกริดคือ หาทางคืนชีพเต่าดำ และอาศัยพรจากเทพเต่าดำเพื่อผสานลมหายใจเข้ากับเทพชนิดอื่น
เช่นเต่าดำกับฟินิกซ์แดง
‘และเป้าหมายสุดท้ายคือการคืนชีพเทพผู้พิทักษ์ให้ครบทุกตน’
จากนั้น เราจะได้เล่นแร่แปรธาตุลมหายใจเทพทั้งสี่อย่างสนุกมือ…!
เพียงแค่คิด กริดก็พบว่าอนาคตของตนช่างสดใสเจิดจ้า
เดินเท้าต่อไปอีกไม่นาน ทุกคนเริ่มมองเห็นเมฆบนท้องฟ้ารูปทรงคล้ายกับคิ้วสองข้างของชายชรา ด้านล่างเป็นภูเขาป่าเขียวขจี ถัดลงมาจากภูเขาเป็นสายน้ำล้อมรอบ ผิวน้ำส่องสะท้อนประกายระยิบระยับ
“นั่นคือภูเขาแบ็กมี” (ข้าวขาว)
“ประตูสู่เฉาจื่อ?”
“ถูกต้อง ตามปรกติแล้ว พวกเรามีกำหนดต้องมาถึงในอีกสองวันให้หลัง แต่ท่านทำให้เรื่องทั้งหมดง่ายลง”
ชิลชอนและพรรคพวกฉีกยิ้มกว้าง
นับเป็นประสบการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจเหนือคำบรรยาย เมื่อได้ลองข้ามผ่านภูเขาลูกใหญ่โดยไม่ต้องเสียเวลาปีน ได้ลองข้ามแม่น้ำสายใหญ่โดยไม่ต้องว่าย ขั้นตอนวุ่นวายทั้งหมดถูกย่อลงจนการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกมันจะนำประสบการณ์อันล้ำค่าในวันนี้ไปเล่าให้ลูกหลานหรือคนในวงเหล้าฟังไปอีกตราบนานเท่านาน
ทันใดนั้น ผิวน้ำบนแม่น้ำรอบภูเขาแบ็กมีเริ่มสั่นกระเพื่อม
“…?!”
“กองทัพศัตรู”
“คงเดาได้ว่าพวกเราจะมาเยือน”
แรงกระเพื่อมส่งต่อจากผิวน้ำลามมายังผืนดินบริเวณโดยรอบ
ไกลออกไปจากแม่น้ำอีกฝ่าย กลุ่มฝุ่นควันสีน้ำตาลกำลังลอยคลุ้งฟุ้งท้องฟ้า
“พวกเราต้องรีบข้ามแม่น้ำก่อนพวกมันจะยึดริมตลิ่งสำเร็จ!”
ชิลชอนและพรรคพวกรีบร้อนวิ่งตรงไปยังริมแม่น้ำสายใหญ่ ต่อด้วยการกระโดดลงเรือข้ามฟากลำเล็กซึ่งถูกผูกไว้กับท่า
แต่เมื่อมองกลับมา พวกมันเห็นกริดเอาแต่ยืนนิ่งโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย
“เราเข้าท่านกริด! ไม่มีเวลาแล้ว!”
ชิลชอนกล่าวอย่างลนลาน
แม้ว่าแม่น้ำแบ็กมีจะไม่กว้างมาก แต่การใช้เรือเล็กก็ยังเสียเวลาพอประมาณ แผนเดิมของพวกมันคือการขึ้นเรือใหญ่ข้ามฟากไป แต่โชคไม่ดีนัก วันนี้ไม่มีเรือใหญ่จอดเทียบท่าสักลำเดียว
หลังจากครุ่นคิด ฮวากยองตะโกนบอกกับชิลชอน
“รีบขึ้นจากเรือเร็วเข้า! ในเมื่อพวกมันรู้ว่าเราจะผ่านมา หมายความว่าต้องเตรียมกับดักรอไว้แล้วไม่ใช่รึไง!”
“…!”
ชิลชอนพลันกระจ่าง
เมื่อก้มมองลงไป มันพบว่าเรือข้ามฟากลำเล็กล้วนถูกเจาะท้องไว้จนน้ำรั่วซึมตลอดเวลาในปริมาณน้อยนิด ยากจะสังเกตเห็นด้วยตาเปล่า
‘การไม่มีเรือใหญ่แม้แต่ลำเดียว ไม่ได้เป็นเพราะพวกเราโชคไม่ดี!’
หากรีบร้อนใช้เรือเหล่านี้ข้ามฟาก คงไม่แคล้วได้กลายเป็นผีพรายน้ำคอยเฝ้าลำธาร
ชิลชอนรีบขึ้นจากเรือด้วยสีหน้าสำนึกผิด มันตำหนิตัวเองอย่างหนัก ขณะเดียวกันก็ชื่นชมกริดจากก้นบึ้ง
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น นอกจากกริดจะสำแดงเศษเสี้ยวพลังของเทพให้เห็น ความคิดความอ่านยังเยือกเย็นจนน่ายกย่อง
แต่ในความเป็นจริง กริดมิได้ทราบมาก่อนว่ามีกับดักถูกวางไว้บนเรือเล็ก
‘ในเมื่อบินได้ แล้วทำไมต้องเสียเวลานั่งเรือ?’
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มเพ่งสมาธิเพื่อแผ่ขยายประสาทสัมผัสให้กว้างออกไป
ทัศนวิสัยและโสตประสาทของเหนือมนุษย์กำลังพยายามกะเกณฑ์จำนวนศัตรูซึ่งกรีธาทัพเข้าใกล้แม่น้ำมากขึ้นทุกขณะ
‘…มากกว่าหนึ่งพัน’
แต่กริดไม่สามารถระบุได้ชัดเจนกว่านี้ สภาพแวดล้อมค่อนข้างเป็นปัญหา เพราะมีเสียงสะท้อนจากพื้นดินและใต้น้ำซ้อนทับกัน
ขณะชายหนุ่มขมวดคิ้ว บราฮัมกล่าว
“ทัพม้าสี่พัน”
“…?”
นอกจากฮวากยองชิลชอนและพรรคพวกต่างพากันเอียงคอสงสัย
…แค่เพียงไม่กี่วินาที บุรุษหน้าตาดาษดื่นผู้นี้กลับสามารถระบุจำนวนทัพศัตรูได้แม่นยำ?
จริงอยู่ กริดอาจพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างให้เกียรติในระดับเดียวกัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าต้องมีฝีมือใกล้เคียง
“ทัพม้าสี่พัน… เป็นไปไม่ได้แน่ สายข่าวของฮวัลบินดังในเฉาจื่อรายงานว่า กองทัพของเมืองนี้มีจำนวนแค่สามพันเท่านั้น… คุณไม่ควรด่วนสรุปส่งเดช”
ขณะชิลชอนพ่นถ้อยคำคลางแคลง ฮวากยองรีบนำมือขึ้นมาปิดปากมัน
“เขาเป็นตำนาน! ฝีมือทัดเทียมฮวางกิลดง!”
“…?!”
ถ้อยคำดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมมหาศาล
ทันใดนั้น
บราฮัมกระโดดพร้อมกับส่งตัวเองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยเวทบิน มันลอยตัวไปหยุดยังจุดเหนือกึ่งกลางแม่น้ำแบ็กมี
หลังจากใช้เวทดูดกลืนละอองมานาโดยรอบจนอิ่มหนำ บราฮัมเหยียดแขนไปยังทิศทางของกองทัพศัตรู
“กีก้าไรเดน”
เปรี้ยะ!
เปรี้ยะเปรี้ยะเปรี้ยะเปรี้ยะเปรี้ยะ!!
ท้องฟ้าสว่างวาบหนึ่งครั้ง สายน้ำเบื้องล่างเริ่มเกิดคลื่นหมุนวนอย่างเชี่ยวกราก ฝูงปลาในแม่น้ำพลันหมดสติและลอยขึ้นมานอนตะแคงบนผิวน้ำ
เสาวารีขนาดมหึมาหลายสิบต้นพลันพุ่งสูงขึ้นจากแม่น้ำ แต่ละต้นมีเส้นประจุสายฟ้าพันรอบเป็นเกลียว
ประหนึ่งถูกภัยพิบัติทางธรรมชาติลงโทษสถานหนัก เสาวารีมากมายพุ่งลงไปปะทะกับทัพกองม้าสี่พันเบื้องล่าง กวาดพวกมันจนเสียหลักไปพร้อมกับสำแดงฤทธิ์เดชของพลังอัสนีอย่างทั่วถึง
อ๊ากกกกกกก…!
เสียงร้องโหยหวนดังก้องกังวาน ฝุ่นควันสีน้ำตาลด้านหลังทัพม้าถูกกระแสน้ำชะล้างจนเริ่มเจือจางลง
หลังจากกระแสน้ำเริ่มลดลง ขณะฝูงปลายังไม่ได้สติ กริดมองเห็นซากศพจำนวนมากของกองทัพเฉาจื่อ
แน่นอน ทหารม้าสวมเกราะโลหะย่อมแพ้ทางเวทมนตร์สายฟ้า กีก้าไรเดนจึงเปลี่ยนให้สมรภูมิกลายเป็นทะเลฟองเลือดสีแดงฉาน
“แค่ทีเดียว…”
ชิลชอนและพรรคพวกทำหน้าฉงนสุดขีด
ไม่เพียงจำนวนข้าศึกจะตรงคำพูดบราอัมทุกประการ แต่ศัตรูยังถูกทำลายจนพินาศภายใต้เวทมนตร์เพียงหนึ่งชนิด
ผู้ประหลาดใจกว่าใครคือกริด
‘ถึงกับต้องใช้เวทใหญ่เลยหรือ…’
จริงอยู่ กีก้าไรเดนอาจไม่ใช่เวทมนตร์เกรดเลเจนดารี แต่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเป็นเวทมนตร์ระดับสูง อยู่ในขอบเขตการเอื้อมถึงของมหาจอมเวทเท่านั้น
ย้อนกลับไปในอดีต กระทั่งข้ารับใช้ยาธานลำดับหนึ่ง ทัลลอส ก็ยังถูกบราฮัมดับลมหายใจด้วยเวทมนตร์สุดพื้นฐานอย่างศรเวทและไฟบอล
บราฮัมหันมากลับมาจ้องกริดและกล่าวด้วยสีหน้าเจือความหงุดหงิด
“เทพทุกตนจะมีพลังประเภทหนึ่งเหมือนกันเสมอ นายรู้ไหมว่าเป็นพลังใด”
“ไม่…”
“พลังในการมอบพรให้แก่สาวก หากนึกไม่ออกให้จินตนาการถึงนักบวชและพาลาดินของโบสถ์รีเบคก้า พวกมันล้วนมีเวทเสริมพลังและเวทรักษาในระดับน่าทึ่ง”
“อา…”
กริดเข้าใจตัวอย่าง
แต่ยังไม่เข้าใจว่าบราฮัมพูดขึ้นมาทำไม
เมื่อเห็นชายหนุ่มยังคงเอียงคอสงสัย บราฮัมเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม
“ดูเหมือนว่าห้าอาวุโสจะอวยพรทหารของเมืองนี้ ทุกคนล้วนมีระดับสูงจนผิดธรรมชาติ”
“…!”
ถ้อยคำดังกล่าวแฝงความนัยไว้ว่า ห้าอาวุโสผู้เอาแต่เฝ้ามองจากนอกวงและปล่อยให้ยังบันจัดการเรื่องราวมาตลอด ยามนี้เริ่มยื่นมือเข้าแทรกแซงบ้างแล้ว
ข่าวดังกล่าวมิได้สร้างความตกตะลึงเพียงกริด แต่ยังรวมไปถึงชิลชอนและพรรคพวก
บราฮัมกล่าวเสริมเมื่อเห็นชายหนุ่มออกอาการประหวั่นทางใบหน้า
“ไม่ต้องเครียด พวกเรามาเยือนเฉาจื่อโดยเตรียมใจเผชิญความล้มเหลวไว้แล้วไม่ใช่หรือ อย่าได้ลืมเรื่องนั้นและฝืนเกินตัวเด็ดขาด”
“…นั่นสินะ เข้าใจแล้ว”
กริดอยู่รู้แก่ใจ ตนไม่มีทางขโมยอัญมณีเต่าดำได้ตั้งแต่การเข้าเมืองครั้งแรก
ก่อนจะเริ่มวางแผนลงมือ กุญแจสำคัญคือการรวบรวมข้อมูลให้มาก เช่นพิกัดอย่างชัดเจนของอัญมณีเต่าดำ รวมไปถึงความแข็งแกร่งของบุคลากรฝ่ายศัตรู
วันพระไม่ได้มีหนเดียว เราสามารถข้ามทวีปกลับมาเมื่อไรก็ได้…
“ทุกคนกลับไปก่อน หลังจากนี้ตรงไป ฉันจะไปกับบราฮัมแค่สองคน”
“อะไรนะ…! ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่!”
หญิงสาวเลอโฉม รูปร่างสูงใหญ่ เจ้าของเส้นผมสีฟ้าคราม ชองโฮ (เสือคราม) กำลังก้มหน้าจ้องกริดอย่างโกรธเคือง
หลังจากชายหนุ่มสร้างไอเท็มพลังเสือขาวไปสองชิ้นติดต่อ ชองโฮได้รับพรจนมีระดับพลังแซงหน้ากริดไปไกลมาก
ไม่ใช่แค่ชองโฮ แต่สัตว์เทพจักรราศีทั้งหมดล้วนแข็งแกร่งกว่ากริด
พวกมันซึ่งเชื่อว่าตนสามารถเป็นพลังให้ชายหนุ่มได้ จึงออกอาการขุ่นเคืองและไม่เข้าใจเมื่อกริดบอกให้แยกย้ายกันตรงนี้
ชายหนุ่มซักถาม
“หากห้าอาวุโสปรากฏตัว พวกนายรับมือกับมันไหวหรือไม่”
“…!”
ต้องไม่ไหวอยู่แล้ว
ไม่ต้องพูดถึงสัตว์เทพจักรราศี แม้แต่สี่เทพผู้พิทักษ์ในสภาพสมบูรณ์สุดขีดก็ยังเคยถูกห้าอาวุโสผนึกมาแล้ว
“หากหนึ่งในพวกนายถูกห้าอาวุโสหรือยังบันจับตัวไป แผนการคืนชีพเทพผู้พิทักษ์ของฉันก็จะยิ่งลำบาก ดังนั้นช่วยเข้าใจด้วย”
“…”
พวกมันไม่สามารถหาเหตุผลปฏิเสธ
แต่ก็ไม่คิดถอนตัวกลับทันที เพราะยังคงเคลือบแคลงว่าลำพังกริดกับบราฮัมจะทำอะไรได้
อย่างไรก็ตาม พวกมันทำได้เพียงอ้ำอึ้ง ไม่มีใครกล้าพูดความในใจออกมา
จนกระทั่ง
“เราต้องเชื่อมั่นในท่านเทพโอเวอร์เกียร์”
สตรีน่ารักน่าชังผู้มีฟันสองซี่หน้าใหญ่กว่าปรกติเล็กน้อย เดินออกมาและหันไปกล่าวกับทุกคนด้วยเสียงหนักแน่น
เป็นโทซุน
“ท่านเทพโอเวอร์เกียร์เคยทำเรื่องเหนือจินตนาการให้สำเร็จอย่างง่ายดายมาแล้ว พวกเราทุกคนต้องเชื่อมั่นในตัวเขา”
เธอหันกลับมามองกริด
“…แต่ท่านห้ามฝืนตัวเองเด็ดขาด”
ชองโฮมองเข้าไปในดวงตากริดและกล่าว
“ท่านกริด หากไม่ไหวให้รีบถอนตัวทันที อย่าได้เสียสละตัวเองเพื่อคนแปลกหน้าเด็ดขาด ท่านมิได้เกี่ยวพันโดยตรงเหมือนกับพวกเรา”
กริดยิ้มพลางยักไหล่
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ถัดจากนั้น เหล่าสัตว์เทพจักรราศีและชิลชอนกับพรรคพวกยังคงยืนในจุดเดิม คอยส่งกริดและบราฮัมข้ามแม่น้ำจนกระทั่งลับสายตา
ในเวลาเดียวกัน ณ เฉาจื่อ
“นั่นคือตัวการสังหารการัมใช่ไหม”
ยังบัน ‘มารุ’ พึมพำกับตัวเองหลังจากสัมผัสได้ว่า กองทัพซึ่งถูกอวยพรโดยพุงซา (เทพวายุ) ถูกทำลายจนราบคาบในคราวเดียว
ด้านหลังมันยังมีชายหญิงหน้าตาดีนั่งเรียงรายอีกราวยี่สิบ เกือบทั้งหมดแต่งกายไม่เรียบร้อย บ้างสวมเสื้อเปิดอก บ้างสวมเสื้อเปิดไหล่ โดยทุกคนนั่งในท่าขาดความยำเกรง
แม้คนเหล่านี้จะสอบซือโหยวไม่ผ่าน แต่พวกมันก็มีพื้นฐานของยังบัน และยังคงรอโอกาสสอบแก้ตัวในรอบถัดไป
ถูกต้อง ฝีมือพวกมันใกล้เคียงกับฮันกยอล
“ถ้ามียังบันมากมายเช่นนี้… หากลงมือผลีผลาม พวกเราจะไม่ตายกันทั้งคู่เอาหรือ”
ฮวางกิลดงและเฒ่าปราบมารกำลังพรางตัวอย่างสมบูรณ์แบบด้วยเสื่อวิเศษ สายตาจดจ้องกลุ่มยังบันด้วยร่างกายสั่นเทา
เมื่อเห็นสีหน้าเจือความกังวลของเฒ่าดาบมาร ฮวางกิลดงกล่าวคำปลอบใจกับอีกฝ่าย
“ไม่ต้องห่วง ถ้าเห็นท่าไม่ดี ฉันจะรีบหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวอย่างปลอดภัย”
“…”
พูดอย่างนี้เฒ่าดาบมารก็คอยสบายใจหน่อย ? 55555555
ReplyDeleteขอบคุณสำหร่บงานแปลครับ
😆🤣
Deleteขอบคุณครับ🙏
ReplyDelete