จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,183
กร็อบ!
ในโลกของซาทิสฟาย ทุกตัวละครจะมีหนึ่งสิ่งเท่าเทียมกันเสมอ
ฟันอันแข็งแรง
เกิดจากเจตนารมณ์ของลิมชอลโฮซึ่งต้องการให้ผู้เล่นทุกคนได้ลิ้มรสระบบการกินอย่างเต็มประสิทธิภาพ
แต่ฟันสุดแกร่งจากผู้สร้างโลกซาทิสฟายตัวจริงเสียงจริง กลับไร้ประโยชน์เมื่อนำมาใช้กับ ‘ลมหายใจฟินิกซ์แดง’
“อ๊ากกกกกก!”
กริดถึงกับน้ำตาเล็ด เมื่อฟันของตนแตกหมดปากหลังจากพยายามฝืนเคี้ยวลมหายใจฟินิกซ์แดงให้แตก สองมือรีบเลื่อนขึ้นมาจับแก้มพลางแหกปากโวยวายอย่างทรมาน
‘บ้าจริง ต้องกินแบบไหนกันแน่?’
บนโลกนี้ นอกจากกริดแล้ว ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถเสริมแกร่งหรือถลุงลมหายใจฟินิกซ์แดงได้อีก เหตุผลของเรื่องนั้นก็คือ วัสดุชนิดนี้มีผิวภายนอกแข็งแรงทนทานเหนือพรรณนา
ไม่มีช่างเหล็กคนใดสามารถควบคุมเพลิงได้ร้อนแรงได้เท่ากริด และไม่มีใครทนความร้อนได้เท่ากริด ดังนั้น ถึงพวกมันจะเสียเวลาถลุงนานนับร้อยวันก็จะได้ผลลัพธ์เพียงความว่างเปล่า
หรืออย่างน้อย ในปัจจุบันก็ยังไม่มีใครทำเรื่องเช่นนี้ได้
แล้วเราต้องกินหรือกัดวัตถุผิวแข็งระดับนี้เข้าไปจริงหรือ? ต่อให้ฟันทุกซี่กลายเป็นเหล็กกล้าก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี…
‘ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงฟันแตก’
คำเตือน อาหารประเภทนี้ไม่เหมาะกับคนแก่ผู้มีฟันไม่แข็งแรง… กริดส่ายหัวขณะรำพันติดตลก ก่อนจะเริ่มขบคิดมองหาความเป็นไปได้ในทางอื่น
‘จะเกิดอะไรขึ้นถ้านำไปป่นให้เป็นผงและผสมน้ำกิน? หรือไม่ก็ใส่แคปซูลกินเหมือนกับยาปฏิชีวนะ’
แต่โดยทั่วไปแล้ว ไอเท็มในซาทิสฟายจะไม่ใช่ไอเท็มเดิมเมื่อสูญเสียรูปร่าง ไม่มีข้อยกเว้นกับการนำไปป่นให้แหลกเป็นผง หรือต่อให้ทำสำเร็จ แต่วัสดุราคาแสนแพงก็จะหมดคุณค่าลงทันทีและกลายเป็นแค่ก้อนกรวด
“หืม…”
กริดขยับวัตถุทรงกลมขนาดครึ่งฝ่ามือเล่นด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ปัจจุบัน มันกำลังมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ จุดประสงค์คือการแวะพบเสือครามและโทซุน เผื่อว่ายังมีสิ่งใดให้ ‘รีดไถ’ ได้อีก
บราฮัม ผู้เดินมาข้างกัน พ่นลมหายใจเหยียดหยันและกล่าวอย่างเย็นชา
“น่าสมเพช ทำไมนายถึงเอาแต่ทำเรื่องโง่ๆ โดยปราศจากหลักฐานยืนยันว่า การการกระทำเช่นนี้สามารถเสริมพลังให้กับทักษะได้จริง”
“ก็ฉันคิดหาทางอื่นไม่ออกแล้ว…”
“ทำไมนายถึงคิดว่าการกินแร่เป็นเรื่องฉลาด”
“…!?”
“นายมันโง่”
“…”
จิสึกะ เธอมันโง่
แต่กริดไม่ต้องการทำให้ชื่อเสียงของจิสึกะต้องแปดเปื้อน จึงปิดปากไว้ ไม่บอกกับบราฮัมว่าไอเดียการกินแร่มาจากหล่อน เพียงเดินตรงไปตามทางด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“นั่นสินะ การกินแร่เพื่อเพิ่มค่าประสบการณ์ทักษะนั้นฟังดูเหลวไหลชะมัด ใครหลงเชื่อก็คงโง่เต็มทีแล้ว… ถ้าอย่างนั้น คงต้องเก็บไว้ก่อนและรอคอยเบาะแสเพิ่มเติมในอนาคต”
หากภารกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น เรายังมีโอกาสได้พบหน้ามังกรคราม เต่าดำ และเสือขาวโดยตรง เมื่อถึงตอนนั้น ค่อยถามถึงวิธีเพิ่มค่าประสบการณ์ทักษะติดตัวก็แล้วกัน…
“นี่… บราฮัม”
หลังจากเดินทางอย่างสงบสุขมาพักใหญ่ ชายหนุ่มตัดสินใจหันไปซักถามปัญหาค้างคา
“ฝีมือของฉันพอจะเทียบเคียงตำนานในอดีตได้บ้างหรือยัง”
เพียงแค่สิบวัน กริดใช้เวลาแสนสั้นเพื่อยกระดับตัวเองอย่างก้าวกระโดด ชายหนุ่มจึงเกิดคำถามคาใจกับระดับพลังในปัจจุบันของตน
มันอยากทราบว่ายังอีกห่างไกลแค่ไหน และอดีตตำนานยังเป็น ‘กำแพงสูงเกินเอื้อม’ สำหรับตนอยู่หรือไม่
“บราฮัม…?”
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ กริดเอียงคอหันไปมอง
ด้วยความสัตย์จริง ชายหนุ่มคิดว่าจนจะถูกพ่นลมหายใจเหยียดหยันเหมือนกับทุกที
แต่บราฮัมทำผิดคาด ยอมมอบคำตอบอย่างจริงจังหลังจากไตร่ตรองนานหลายวินาที
“การเทียบกับตำนานทุกคนเป็นเรื่องยาก แต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน ดังนั้นคงเทียบกับแพ็กม่าได้แค่คนเดียว และนายก็ไม่ได้ต่างจากหมอนั่นสักเท่าไร”
“…!?”
กริดพลันประหลาดใจ
หลังจากปราบ 4 ยังบัน เลเวลของกริดกลายมาเป็น 407 ระดับ จริงอยู่ จำนวนเท่านี้อาจสูงสุดในหมู่ผู้เล่นทั่วโลก แต่ชายหนุ่มประเมินว่าน่าจะยังด้อยกว่าอดีตตำนานราว 200 เลเวล
กระนั้น บราฮัมกลับบอกว่า ‘ไม่ได้ต่างจากแพ็กม่าสักเท่าไร’
กริด ผู้เข้าใจว่าตัวเองยังตามหลังพอสมควร ย่อมแสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึง
ท่ามกลางสายตางุนงงจากอีกฝ่าย บราฮัมตัดสินใจช่วยขยายความ
“นายคงยังไม่ลืมใช่ไหม ว่าตำนานกับเหนือมนุษย์นั้นเป็นคนละความหมาย”
“…!”
“นายเป็นตำนาน เป็นเหนือมนุษย์ และเป็นผู้สั่งสมบารมีเทพ จริงอยู่ ฝีมือและเทคนิคยังค่อนข้างอ่อนแอละสามารถฝึกได้อีกไกล แต่เมื่อนำตัวนายคนปัจจุบันไปเทียบกับแพ็กม่าในยุครุ่งเรือง ความแตกต่างมิได้เด่นชัดขนาดนั้น ทั้งในแง่ของวิชาดาบและการตีเหล็ก”
“…ฉันมีศักยภาพสูงขนาดนั้นเชียว?”
ย้อนกลับไปขณะทักษะ <เสมือนเทพ> ยังไม่ถูกเสริมแกร่ง กริดเคยคิดนำทักษะ ‘สร้างทักษะ’ มาช่วยลดระยะหน่วงหลังใช้ของทักษะสำคัญหลายชนิด
อย่างไรก็ตาม เมื่อกริดเคยมีประสบการณ์มาแล้วกับดาบ <ความผิดพลาด> จึงจำขึ้นใจอยู่ตลอดว่า การสร้างหรือออกแบบบางสิ่งด้วยคุณสมบัติขี้โกงเกินไป ระบบจะทำการปรับสมดุลโดยการใส่ ‘ผลข้างเคียง’ หรือจุดอ่อนให้เกิดความเท่าเทียม
แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปเพราะทักษะเสมือนเทพดันถูกเสริมแกร่งจากค่าบารมีเทพ ระยะหน่วงของทักษะสำคัญจึงไม่ใช่ปัญหาหลักสำหรับกริดอีกต่อไป
ส่งผลให้ ภายใต้สถานการณ์บีบคั้นและไม่มีเวลาให้คิดมากนัก กริดได้เลือก ‘สร้าง’ ทักษะวิชาดาบผสาน 5 ชนิดอย่างฉุกละหุก เพียงเพราะต้องการพลังทำลายสูงสุดเพื่อโจมตีออกไปในขณะนั้น
อย่างไรก็ตาม การขัดขวางของระบบทำให้เกิดผลลัพธ์ใหม่โดยสิ้นเชิง
ดึงศักยภาพซ่อนเร้น
ทักษะซึ่งกริดเลือกสร้างโดยได้รับคำบอกใบ้เป็นนัยจากข้อความระบบ ประสิทธิภาพของมันนับว่าน่าทึ่งมาก
<ดึงศักยภาพซ่อนเร้น>
สามารถใช้ทักษะได้สูงกว่าระดับปัจจุบันของตน 1 ระดับ
ไม่สามารถใช้ได้กับทักษะซึ่งดำเนินมาจนถึงปลายทางแล้ว
ระยะหน่วงหลังใช้ : 12 ชั่วโมง
ทรัพยากร :
- มานา 10,000
- พลังชีวิต 20,000
- ค่าเรี่ยวแรงครึ่งหนึ่งของปัจจุบัน
* หลังใช้งานจะได้รับผลข้างเคียงรุนแรง
ทักษะซึ่งช่วยปลดล็อกการใช้งานทักษะในขั้นถัดไป สำหรับผู้เล่นธรรมดา ทักษะชนิดนี้นับว่าค่อนข้าง ‘ห่วย’ เนื่องจากการเปิดใช้งานทักษะเกรดอีปิกหรือแรร์เพิ่มขึ้นแค่หนึ่งขั้น ฟังดูไม่ได้มีค่ามากมายอะไรนัก
แต่สำหรับกริด ทักษะนี้อยู่ในระดับเลเจนดารีอย่างไร้ข้อกังขา เพราะด้วยการมีอยู่ของ <ดึงศักยภาพซ่อนเร้น> ชายหนุ่มสามารถใช้ท่ารำดาบผสาน 5 ชนิดซึ่งเป็นเทคนิคถัดจาก 4 ชนิด และยังสามารถใช้วิชาดาบทัพ 300,000 ซึ่งพัฒนามาจากวิชาดาบทัพ 200,000
แต่ผลข้างเคียงก็เอาเรื่องไม่แพ้กัน
หลังจากใช้ท่ารำดาบผสาน 5 ชนิดใส่ฮารัง ชายหนุ่มต้องเผชิญความเจ็บปวดแสนสาหัสชนิดขอตายยังจะดีกว่า ถ้าไม่มียูร่ายืนเคียงข้างในตอนนั้น กริดมั่นใจว่าตนคงแหกปากโวยวายเสียงดังไปแล้ว
ขณะกำลังง้างเตรียมใช้วิชาดาบทัพสามแสน ข้อความระบบได้เตือนว่าสะโพกอาจหักและไม่สามารถต่อสู้ได้อีกพักใหญ่
เมื่อหักลบกันแล้ว ผลงานข้างเคียงก็นับว่าสมน้ำสมเนื้อกับประสิทธิภาพอันยิ่งใหญ่ของมันดี
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ‘ดึงศักยภาพซ่อนเร้น’ จะกลายเป็นอีกหนึ่งไพ่ตายสำคัญของกริดในอนาคต
หากใช้งาน ‘กระตุ้นแก่นพลัง’ จนหมดไปในการต่อสู้ เราต้องเหลือไพ่ตายด้านอื่นสำรองติดตัวไว้บ้าง…
บราฮัมขมวดคิ้ว
“นายประเมินแพ็กม่าสูงไปแล้ว แพ็กม่าคนก่อนมิได้เก่งกาจอะไรนัก”
กริดสัมผัสได้ชัดเจน น้ำเสียงของบราฮัมเจือความหงุดหงิด อาจมีความริษยาปะปนอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง
“ฉันกำลังหมายถึง แพ็กม่าก่อนทำพันธสัญญากับบาเอล”
“…”
“เทียบกับตัวฉันในยุครุ่งเรือง วิชาดาบของแพ็กม่าเป็นได้เพียงขยะสด และนายก็อยู่ในระดับเดียวกับหมอนั่น”
ก่อนทำพันธสัญญากับบาเอล แพ็กม่าอ่อนแอถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
นับว่ายากจะทำใจเชื่อลง เมื่อมหาจอมดาบแพ็กม่าผู้ถูกขนาดนานว่าเป็นรองมุลเลอร์เพียงไม่มาก แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นขยะเปียกอ่อนแอในสายตาบราฮัม
“นายคงกำลังเข้าใจผิด ในความหมายของฉันคือ ความแข็งแกร่งของแพ็กม่าจะอยู่ในระดับมดปลวกเมื่อนำมาเทียบกับฉัน”
“…?”
“แต่หากเทียบกับมนุษย์ทั่วโลกทั่วไป แพ็กม่าคืออันดับหนึ่งของยุคสมัยอย่างไร้ข้อกังขา มันนั่นมิได้อ่อนแออะไรนัก และตัวเจ้าก็อยู่ในระดับใกล้เคียง”
“อา…”
แพ็กม่ามิได้อ่อนแอ
เพียงแต่เราพัฒนาจนไล่ตามทัน
กริดรีบกำหมัดแน่นด้วยสีหน้าตื่นเต้น เพราะหากไม่รีบกำไว้ นิ้วทั้งสิบจะสั่นระริกจนไม่มีสิ่งใดห้ามอยู่
“เวลา เจ้าต้องการเพียงเวลา…”
ทันใดนั้น บราฮัมพลันคำพูด
กริดเองก็สัมผัสถึงความผิดปรกติได้เช่นกัน
ตามปรกติแล้ว ชุมชนหนูใหญ่พิษได้ถูกกริดเคลียร์สำเร็จมานานปลายปี จึงไม่ควรมีกลิ่นอายชนิดพิเศษขณะทั้งสองย่างกรายผ่านเข้าไป
“เหม็นชะมัด”
ขณะบราฮัมเตรียมจัดการต้นตอ กริดรีบห้ามปรามไว้โดยด่วน
“ฉันขอฆ่ามันเอง”
“ร่วมมือกันจะไม่เร็วกว่าหรือ”
“ฉันต้องการค่าประสบการณ์…”
“…อยากทำอะไรก็เชิญ”
ในวินาทีสิ้นเสียงอนุญาต กริดเปิดใช้งานพลังประกายอัสนีจากรองเท้ามังกรครามทันที
เปรี้ยะ! เปรี้ยะ!
และทักษะติดตัว <อัสนีจุติ> จะแล่นเข้าสู่ร่างทันทีเมื่อทำการบิน
กริด ผู้ใช้ทรัพยากรทุกชนิดช่วยลดการใช้ค่าเรี่ยวแรงและมานาลงจากเดิม 20% เริ่มออกอาละวาดอย่างระห่ำ
“คลื่น!”
เปรี้ยง!
ท่ามกลางซากหน้าผาเหนือชุมชนหนูใหญ่พิษ
เงาลางของคนกลุ่มหนึ่งกำลังซุ่มซ่อนด้านหลังต้นสนโค้งเอน พลันถูกคลื่นดาบของกริดซัดกระแทกจนร่วงหล่นจากหน้าผา
ด้วยความสูง 15 เมตร ไม่ว่าจะมีร่างกายแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่อาการบาดเจ็บนั้นเป็นคนละส่วน อย่างน้อยต้องขาหักสักท่อนสองท่อนแน่นอน
แต่ผิดคาด พวกมันดีดตัวกลับมาอย่างคล่องแคล่วราวกับกระต่าย
ชายหนุ่มปรี่เข้าหาเหยื่อบนพื้นพลางชำเลืองสายตาอ่านชื่อเหนือศีรษะของมอนสเตอร์ปริศนา
‘เจียงชือโลหิต?’
กริดทราบแต่แรกแล้วว่าในละแวกนี้มีเจียงซือคอยดักซุ่มอยู่ แต่การมีเจียงชือโลหิตสุดหายากในปริมาณเท่านี้ย่อมไม่ธรรมดา
เคร้ง!
คมดาบอัสนีฯ พุ่งปะทะกับต้นคอของเจียงชือโลหิตตัวหน้าสุด ทว่า ลำคอของมันกลับแข็งจนไม่ถูกตัดขาดในดาบเดียว
ชายหนุ่มอาศัยแรงเหวี่ยงจากดาบแรก หมุนตัวฟันสับดาบสองลงกลางกึ่งศีรษะ ตามด้วยการใช้ฝ่าเท้าถีบศพเพื่อดีดตัวและทำการแผ่เวทตรวจจับออกไปรอบตัว
ขณะเดียวกัน เรื่องนี้ทำให้กริดตระหนักว่า หากพบเห็นเจียงชือโลหิต หมายความว่าต้องมีคนคอยบงการในจุดไม่ห่างออกไป…
เจอแล้ว
‘ตรงนั้น’
ชายหนุ่มจับสัญญาณได้ในจุดเหนือหน้าผาฝั่งซ้ายมือ แม้ในจุดดังกล่าวจะยังมีเจียงชือเหลืออีกราวสิบกว่าตัวคอยคุ้มกันบุคคลผู้หนึ่ง แต่โอกาสจะเป็นเจียงชือโลหิตล้วนนั้นยากมาก
กริดได้ยินมาว่า เจียงชือโลหิตจะมีความซับซ้อนในการสร้างสูง ส่งผลให้การสร้างเจียงชือโลหิตรุ่นผลิตจำนวนมากจึงยังไม่มีทางเกิดขึ้นจริงในอนาคตอันใกล้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ตรงนั้นจะเป็นเจียงชือโลหิตทั้งหมด แต่ชายหนุ่มก็แสดงออกอย่างมั่นใจว่า ตนสามารถจัดการกับพวกมันทุกตนได้โดยไม่เกรงกลัวความพ่ายแพ้
“คงต้องจัดการกับพวกจอมเวทก่อน”
ฉึบ. ฉึบ. ฉึบ. ฉึบ. ฉึบ!
หลังจากฆ่าเจียงชือโลหิตตัวหน้าสุดไปแล้วหนึ่ง กริดรีบวิ่งเหยียบไหล่เหล่าเจียงชือตรงไปทางผู้บงการโดยแทบไม่ทำอันตรายกับเจียงชือตัวอื่นยกเว้นรายแรก
ทันใดนั้น ฉากรอบตัวชายหนุ่มเริ่มเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงจนมองไม่รู้เรื่อง
พรึ่บ!
ภาพตรงหน้ากริดคือเจียงซือพิเศษตนหนึ่ง ผิวหนังสีดำและมันวาวคล้ายเหล็กกล้า เส้นผมสีขาวโพลน รูปร่างผอมบางแต่ไม่อ่อนแอ ฝ่ามือสองข้างกำลังลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
‘เจียงชืออาชาทมิฬ!’
ชายหนุ่มเริ่มมองเห็นชื่อเหนือศีรษะของเจียงชือตนนี้อย่างชัดเจน
<เวอราดิน>
“…!?”
“ฮะฮะ! กริด! ฉันเฝ้าฝันทุกคืนว่าจะได้แค้นไอ้สารเลวอย่างแก!!”
เดิมที เวอราดินเคยเป็นสุดยอดผู้เล่นชั้นแนวหน้าของโลก จากบรรดาสิบรุคกี้รุ่นแรก มันมีพรสวรรค์ในระดับเดียวกับลอเอล
เวอราดินเริ่มตั้งกิลด์และขยับขยายจนแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันก็อาศัยอำนาจบารมีของแอ็กนัสเพื่อตั้งกิลด์หมอผีนามว่า ‘อิมมอทัล’
มันเก่งกาจถึงขั้น กลายเป็นผู้เล่นคนแรกของโลก ผู้มีสิทธิ์ทำภารกิจเข้าเป็นพลเมืองของอาณาจักรฮวานและพัฒนาเผ่าพันธุ์ตัวเองเป็นยังบัน
แต่ทุกสิ่งก็ต้องยุติลงเมื่อมันเป็นศัตรูกับกริด
การบุกจู่โจมไรน์ฮาร์ทจนทำให้ข่านเสียชีวิตก่อนวัยอันควร หนี้แค้นในครั้งนั้นต้องถูกจ่ายด้วยทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเวอราดิน
มันถูกพลิกแผ่นดินฆ่าหนแล้วหนเล่าจนกระทั่งขาดสิทธิ์เป็นพลเมืองอาณาจักรฮวาน สังกัดอิมมอทัลล่มสลาย ไม่มีบ้านซุกหัวนอนบนทวีปตะวันตก ทางออกเดียวของมันหากยังต้องการเล่นซาทิสฟายต่อ คือการย้ายมาเริ่มต้นชีวิตใหม่บนทวีปตะวันออก
แต่ทวีปตะวันออกนั้นไม่ง่าย โดยเฉพาะกับเวอราดินผู้สูญเสียไอเท็มและเลเวลไปมากมายจากการถูกกริดตั้งค่าหัว
อย่างไรก็ตาม การกระเสือกกระสนของมันเริ่มผลิดอกออกผลในระยะหลัง เวอราดินตอบรับข้อเสนอของนักพรตมารและตัดสินใจขายวิญญาณให้ปีศาจ
บึ้ม บึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้ม!!
อาจเป็นเวทพื้นฐานของคลาสหมอผี แต่ด้วยร่างปัจจุบัน เวอราดินสามารถเค้นพลังทำลายออกมาได้ในระดับน่าทึ่ง
กายแข็งแกร่งทนทานกว่าเจียงชือโลหิตราวสิบเท่าเห็นจะได้ นี่คือสิ่งตอบแทนเมื่อยอมเปลี่ยนเผ่าพันธุ์กลายเป็น ‘เจียงชืออาชาทมิฬ’
ถูกต้อง
หลังจากไม่ได้พบกันนาน เวอราดินก็ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป
“กริด จงลิ้มรสความเจ็บปวดของฉันซะ!”
ดวงตาเวอราดินพลันส่องแสงสีแดงฉาน
นี่คือสุดยอดเวทมนตร์สำหรับอัญเชิญเจียงชือโลหิตออกมาโจมตีใส่กริดอย่างต่อเนื่องราวกับไม่มีวันหมด
เวอราดินไม่เคลือบแคลงในชัยชนะของตน
จริงอยู่ มันทราบว่ากริดเขียนบทกวี แต่การยอมขายวิญญาณให้ปีศาจและเปลี่ยนเผ่าเป็นเจียงชือย่อมมีน้ำหนักมากกว่าการเขียนบทกวีหนึ่งตอน เวอราดินคิด
ยิ่งเสี่ยงมาก ผลตอบแทนก็ยิ่งมาก
นี่คือกฎของโลกซาทิสฟาย
แต่มันไม่เคยทราบเลยว่า กว่ากริดจะเขียนบทกวีได้แต่ละครั้งต้องผ่านอะไรมาบ้าง มูลค่าของบทกวีแต่ละบท ไม่มีใครสามารถตัดสินได้นอกจากตัวกริดเอง
พรึ่บ!
พายุเขตแดนเพลิงเทพพลันลุกโชนรอบตัวกริดอย่างร้อนแรง
และแน่นอน เพลิงศักดิ์สิทธิ์จากเทพย่อมเป็นของแสลงสำหรับอมนุษย์อย่างเจียงชือ
เวอราดินกัดฟันกรอดขณะรีบควบคุมเหล่าเจียงชือโลหิตให้ถอยห่างจากกริด
“ความเจ็บปวดของแก ไม่มีทางเทียบได้กับความเจ็บปวดซึ่งแก่ก่อไว้กับผู้อื่น!”
ฉึก!
ดาบอัสนีฯ ในมือกริดเสียบทะลวงแผ่นหลังของเวอราดิน ผู้พยายามหลบหนีจากเปลวเพลิงแห่งเทพซึ่งสามารถแผดเผาเนื้อหนังของอมนุษย์เยี่ยงเจียงชือ
จริงอยู่ เวอราดินอาจแข็งแกร่งมากเมื่อเทียบกับมนุษย์ธรรมดา แต่ไม่ใช่ในขณะอยู่ต่อหน้ากริดแน่นอน
“ฉันคืนชีพให้อดีตเทพเชียวนะ…”
เมื่อกล่าวจบ กริดใช้เวทตรวจจับอีกครั้งเพื่อตามหาตัวการแท้จริง
ท่ามกลางฝูงเจียงชือโลหิตหลายสิบตนรอบตัว มีอยู่หนึ่ง ‘คนเป็น’ คอยแฝงตัวเพื่อเฝ้ามองการต่อสู้ของกริดมาตั้งแต่ต้น
ขอบคุณมากครับ😊🙏
ReplyDelete