จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,152
หมูถูกบ่มอย่างดี มีกลิ่นหอมและปริมาณไขมันพอเหมาะ น้ำซอสรสชาติหวานปนเค็มชุ่มฉ่ำอยู่ในช่องปาก ราวกับเป็นรสชาติแห่งสรวงสวรรค์ซึ่งกินเท่าไรก็ไม่มีเบื่อ
อาหารจานนี้ถูกบรรจุอยู่ในมิชลินไกด์*
(มิชลินไกด์ [Michelin Guide] เป็นหนังสือคู่มือเกี่ยวกับข้อมูลการเดินทาง ปัจจุบันกลายเป็นมาตรฐานสากลของร้านอาหารและภัตตาคารทั่วโลก)
เมนูซี่โครงหมูของร้าน ‘ซี่โครงหมูปรุงรสหลังคาสีฟ้า’ ซึ่งเปิดมานานกว่า 60 ปี ได้ถูกยกย่องจากนักชิมทั่วโลกไม่ขาดปากมานานหลายทศวรรษ จนกระทั่งได้รับ 3 ดาวมิชลินมาประดับร้านสำเร็จ จึงมักถูกใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญอยู่เสมอ
“นี่ ฮเยซู”
คิมอูซุก ชายชราผู้มีอายุมากกว่า 70 ปี ถือเป็นปูชนียบุคคลของร้านหลังคาสีฟ้า
เขาทำงานอย่างหนักในฐานะหัวหน้าพ่อครัวตั้งแต่ร้านหลังค้าสีฟ้ายังเป็นแค่ห้องอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง คิมอูซุกทำงานอย่างหนักจนกระทั่งคิดค้นสูตรหมักซี่โครงสุดสมบูรณ์แบบได้สำเร็จ เป็นความร่วมมือระหว่างเขากับอดีตเจ้าของร้านคนก่อน
ทว่า เมื่ออดีตเจ้าของร้านล้มป่วยและจากไป บุตรชายของเขาได้สืบทอดกิจการต่อ ส่งผลให้ระดับความสำคัญภายในร้านของคิมอูซุกลดลงจากเดิมมาก
ในสายตาเจ้าของร้านคนใหม่ คิมอูซุกมีบารมีในร้านเกินไป จึงหวังบีบให้ลาออกทุกวิถีทาง
เจ้าของคนใหม่ได้ถ่ายทอดสูตรลับการหมักซี่โครง—เดิมเคยเป็นของคิมอูซุกและอดีตเจ้าของร้าน ให้ภรรยาและบุตรชาย จากนั้นก็ขับไล่คิมอูซุกออกจากเตาย่าง ให้ไปเป็นผู้ดูแลด้านถ่านฟืนและงานล้างถาดเหล็กแทน
แม้แต่เด็กหนุ่มวัยยี่สิบกว่ายังมองว่างานล้างถาดเหล็กและจัดการฟืนเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อย เนื่องจากต้องเผชิญความร้อนอุณหภูมิสูงในระยะใกล้วันละไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ เจ้าของร้านคนใหม่จึงเชื่อว่าคิมอูซุกคงถอดใจลาออกเองในไม่ช้า
แต่ตรงข้าม อูซุกดื้อรั้น
ต้องขอบคุณประสบการณ์สมัยยังเป็นพ่อครัวฝึกหัด คิมอูซุกเคยเผชิญความร้อนจากถ่านฟืนนับไม่ถ้วนในช่วงวัยหนุ่ม จึงอดทนทำงานต่อไปโดยไม่ปริปากบ่น
แน่นอน ลูกหลานของเขาย่อมไม่รับรู้เรื่องราวอันโหดร้ายเช่นนี้
เพราะหากทราบความจริงเข้า พวกเขาคงแห่มาประท้วงถึงร้านและก่อความวุ่นวาย
อูซุกไม่ต้องการเช่นนั้น
มันอยากเกษียณเงียบๆ ในช่วงบั้นปลายชีวิต จึงอดทนทำงานให้เวลาผ่านไปในแต่ละวัน
และนั่นกลายเป็นปัญหา
“ทำไมคุณปู่ถึงต้องทำอะไรแบบนี้ด้วย?”
ขณะคิมอูซุกกำลังนั่งยองในครัวหลังร้านเพื่อล้างถาดเหล็กใบใหญ่สำหรับใส่ซี่โครง หลานสาวของมัน ฮเยซู ได้เดินเข้ามาในครัวด้วยดวงตาเบิกโพลง
“ทำไมคุณปู่ถึงทำงานล้างถาดเหล็กแทนการประกอบอาหาร…?”
ฮเยซู เด็กสาวผู้เพิ่งเข้าเรียนในชั้นมัธยมได้ไม่นาน แวะเข้ามาในร้านอาหารหรูหราพร้อมกับกลุ่มเพื่อนใหม่ เพื่อต้องการอวดให้พวกเขาและเธอเห็นว่าปู่ของตนทำงานอยู่ในร้านดัง
คุณปู่ของฉันคือผู้ก่อตั้ง ‘หลังคาสีฟ้า’
บนทางเดินยาวซึ่งมีภาพถ่ายของคุณปู่และอดีตเจ้าของร้านแขวนไว้ หากเดินไปจนสุดทาง ด้านในจะเป็นห้องครัวใหญ่อันลือชื่อ และเพื่อนทุกคนจะได้พบกับปู่ของเธอกำลังทำอาหารด้วยสีหน้าเข้าถึงจิตวิญญาณ
แต่ฮเยซูกลับพาเพื่อนมาพบสภาพอันโหดร้ายของปู่ตัวเอง
“ไหนเธอบอกว่ามีปู่เป็นพ่อครัวใหญ่?”
“ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกเชิญไปยังบลูเฮาส์…”
(*บลูเฮาส์ - บ้านพักประธานาธิบดีเกาหลีใต้)
ใบหน้าหมองคล้ำเนื่องจากเลอะคราบฝุ่นถ่าน เสื้อผ้าสกปรกมอมแมมจากการล้างถาดเหล็ก
เพื่อนใหม่ของฮเยซูส่งเสียงนินทาขณะกวาดสายตาขึ้นลง พวกเขาและเธอจ้องมองคิมอูซุกกำลังก้มหน้าล้างถาดเหล็กกองสุมเป็นภูเขา
เด็กมัธยมย่อมไม่มองลึกไปถึงเบื้องหลังของเหตุการณ์ เพียงแค่คิดว่าเพื่อนของตน ฮเยซู มีนิสัยโป้ปดและโอ้อวดเกินความจริง จึงหันไปมองด้วยสีหน้าเชิงเย้ยหยัน
ขณะดวงตาฮเยซูกำลังแดงก่ำ
“คุณปู่ครับ เพราะผมบอกล่วงหน้าว่าจะหามาใช่ไหม ปู่ถึงต้องจัดการถ่านฟืนเองแบบนี้?”
บุรุษร่างกายกำยำเดินเข้ามาในครัวพร้อมกับโค้งคำนับ 90 องศา
เหล่าเด็กมัธยมไม่มีใครเห็นใบหน้าของชายปริศนาชัดเจน เพราะแต่ละคนมองจากมุมด้านข้างและด้านหลัง ทว่า น้ำเสียงของอีกฝ่ายกลับคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
ทันใดนั้น กลุ่มเด็กชายหญิงซึ่งเอาแต่ยกมุมปากอย่างดูแคลนจนถึงเมื่อครู่ พลันดวงตาเบิกโพลงด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ยองวู? หลานมาแล้วหรือ”
คิมอูซุกกล่าวทักทายชายปริศนา—บุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกชนิดไม่มีใครไม่รู้จัก
“ฉันชอบล้างจานเอง ถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง แต่ดูท่าจะไม่ดีกับแผ่นหลังและไขข้อสักเท่าไร”
บุรุษคนเดิมยังคงโค้งคำนับ และยื่นแขนออกไปขอจับมือกับคิมอูซุก
พ่อครัวชราฉีกยิ้มกว้างก่อนจะจับมือตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“กะ…!”
“กริด! กริดตัวจริง!!”
เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวต่างพากันส่งเสียงเอะอะโวยวายเมื่อใบหน้าของชายปริศนาถูกเผยออกมาชัดเจน
สายตาและรอยยิ้มดูแคลนเมื่อครู่ ยามนี้กำลังส่องประกายแวววาวอย่างตื่นเต้น
“สนิทกับกริดด้วย! ปู่ของเธอเจ๋งชะมัด!”
“อิจฉาจังเลยน้า~”
กริด ชินยองวู ถือเป็นหนึ่งในบุคคลทรงอิทธิพลและโด่งดังของโลก ณ เวลานี้
หากวัดเฉพาะชื่อเสียง กริดจะอยู่ระดับเดียวกันประธานลิมชอลโฮแห่ง SA กรุปและประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว
คนดังขนาดนั้นกลับมาเยี่ยมปู่ของฮเยซูเป็นการส่วนตัว แถมยังแสดงท่าทีนอบน้อมมากเป็นพิเศษ พวกเขาและพวกเธอพลันรู้สึกภูมิใจกับการได้เป็นเพื่อนของฮเยซู
“มันเหนื่อยนะครับ กับการต้องถ่อมาไกลถึงกังนัมเพื่อกินซี่โครงหมูสูตรพิเศษทุกครั้งเมื่อเกิดความอยาก รบกวนคุณปู่ช่วยมาเปิดร้านใต้ตึกของผมแทนได้ไหม”
“ฮะฮะ! น้ำใจคนหนุ่มช่างน่ายกย่อง แต่คงต้องขอปฏิเสธ ปู่มีภารกิจต้องเลี้ยงดูหลานคนนี้ให้เติบใหญ่จนกระทั่งแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ไม่เหลือเงินสำหรับเปิดร้านใหม่แล้ว”
“ตรงนั้นเป็นตึกของผม แน่นอนว่าจะไม่มีการเก็บค่าเช่าแม้แต่วอนเดียว และผมจะช่วยออกเงินสร้างร้านใหม่ทั้งหมดในนามคุณปู่ รบกวนทบทวนข้อเสนอด้วยครับ”
“นี่เจ้า…”
ใบหน้าคิมอูซุกพลันชะงัก
ความหวังดีเกินเหตุของชินยองวู จะทำให้ชายชรากลายเป็นคนน่าสมเพชทันทีหากตอบรับข้อเสนอ
การได้ยินและได้เห็นหลานชายบังเกิดเกล้าแสดงความ ‘เมตตา’ คิมอูซุกย่อมเกิดความตะขิดตะขวงในใจ
แต่ยองวูหนักแน่น
“เป็นความต้องการของคุณพ่อกับคุณแม่”
“…”
ย้อนกลับไปสมัยยองวูเพิ่งเข้าเรียนอนุบาล
พ่อและแม่ของยองวูเคยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนัก เนื่องจากพืชผลเจริญเติบโตได้ดีเป็นพิเศษในปีดังกล่าว กะหล่ำปลีซึ่งเป็นสินค้าหลักของร้านจึงถูกพ่อค้าคนกลางหั่นราคาอย่างไม่ไยดี
ขณะพ่อแม่ของยองวูเริ่มมีหนี้สินก้อนโตและอับจนหนทาง ผู้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก พ่อครัวใหญ่แห่งร้านหลังคาสีฟ้าอันโด่งดังของเกาหลีใต้ คิมอูซุก
“คุณเคยช่วยเหลือครอบครัวพวกเราไว้ ครั้งนี้ให้ผมตอบแทนบุญคุณได้ไหมครับ? รบกวนทบทวนการตัดสินใจด้วย”
ยองวูตอกลิ่มลงไป
เดิมที มันไม่คิดสร้างร้านให้ฟรีอยู่แล้ว ในฐานะผู้ออกเงินทุนและเจ้าของตึก กำไรของร้านจะต้องถูกจัดสรรอย่างสมเหตุสมผล
เพื่อให้อีกฝ่ายคล้อยตาม
คำว่า ‘บุญคุณ’ จึงต้องถูกนำมาใช้
หลังจากไตร่ตรองด้วยสีหน้าเคร่งเครียดสักพัก คิมอูซุกพยักหน้ารับ
“ไว้ค่อยคุยกัน ฉันขอตัวปรุงอาหารรสเลิศให้หลานสาวสุดสวยและเพื่อนของเธอก่อน”
“น้องสาวน่ารักคนนี้เป็นหลานปู่เองหรือ?”
“ม…ไม่ได้น่ารักเลยสักนิดค่ะ!”
“ขะ… ขอโทษ…”
***
“ใจกว้างจังเลยน้า~”
คิมอูซุกจะยอมรับข้อเสนอไหม?
ขณะชินยองวูกำลังจ่ายเงินค่าอาหารเพื่อเลี้ยงหลานสาว โดยมีเจ้าของร้านยืนคิดเงินหลังเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนรออยู่ด้านนอก
จิสึกะยังคงสง่างามแม้จะสวมแจ็คเก็ตสาวซิ่งและกางเกงยีนส์
ชินยองวูส่ายหัว
“ไม่ใช่ว่าใจกว้าง แต่เป็นการตอบแทนบุญคุณเล็กน้อยเพื่อให้ฉันสบายใจ”
“แต่ซี่โครงหมูอร่อยมากเลย ถ้ามาเปิดร้านใต้ตึกคงมีความสุขไม่น้อย”
จิสึกะไม่ได้สวมเครื่องแปลงภาษา
หลังจากย้ายมาเกาหลีใต้ เธอพยายามสนทนาด้วยภาษาเกาหลีทุกวัน จนกระทั่งสื่อสารรู้เรื่องได้ภายในหนึ่งปี
แน่นอน กลุ่มผู้เล่นไฮแรงเกอร์ส่วนมากมักอัจฉริยะโดยกำเนิด
‘แต่ก็มีไอ้งั่งอย่างเราหลุดมาหนึ่งคน’
ชินยองวูทำได้เพียงส่ายหัวเมื่อจินตนาการถึงความอัจฉริยะของเหล่าไฮแรงเกอร์คนอื่น
ชายหนุ่มเดินเปิดไปเปิดประตูรถ ‘13’ ฝั่งข้างคนขับและรอให้จิสึกะเข้าไปนั่ง
“นายคิดจะทำจริงใช่ไหม?”
“หน้าฉันดูเหมือนคนล้อเล่นหรือไง?”
“จ้า~”
วรูมมมม!
เมื่อชินยองวูบนเบาะคนขับเริ่มสตาร์ตรถ เจ้า ‘13’ พลันส่งเสียงคำรามลั่น
ชายหนุ่มเหลือบมองกระจกมองข้างและได้พบกับคิมอูซุกและหลานสาว กำลังยืนโบกไม้โบกมือกล่าวคำอำลา
ไม่มีใครสนใจความหรูหราและล้ำสมัยของรถยนต์รุ่นผลิตจำกัดจำนวน ทุกคนกำลังตื่นเต้นกับความงามของจิสึกะบนเบาะข้างคนขับ
ยองวูอยู่ในสภาพอิดโรย เนื่องจากต้องคอยถ่ายรูปและแจกลายเซ็นเป็นเวลานาน แม้อากาศภายในรถจะเย็นฉ่ำจากแอร์ แต่แผ่นหลังของมันกำลังเปียกชุ่ม
ปัจจุบัน ทักษะการขับรถของชินยองวูเทียบชั้นระดับนักแข่ง เป็นผลมาจากการฝึกสมาธิควบคุมหัตถ์เทวะภายในซาทิสฟาย
“ฉันจะมอบหนึ่งในรางวัลเหรียญทองให้นาย…”
กริดมีนัดเดทกับจิสึกะในวันนี้
ระหว่างกำลังรับประทานอาหารค่ำในร้านดังประจำย่านกังนัม จิสึกะโพล่งในสิ่งไม่คาดคิด
หนึ่งในสามรางวัลเหรียญทองจากงานแข่งนานาชาติจะถูกแบ่งให้กับชินยองวู
ชายหนุ่มนึกออกเพียงเหตุผลเดียว
เธอคิดจะจ่ายค่าคันศรพีนิกซ์แดง?
แต่ยองวูมองว่าจิสึกะใช้หนี้เป็นเงินจำนวนมากพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มด้วยลมหายใจสัตว์เทพหรือรางวัลชนิดอื่น
“ก็ได้ ถ้ามันทำให้เธอสบายใจขึ้น”
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ยองวูพยักหน้ารับอย่างจำนน
ดวงตาจิสึกะพลันส่องประกาย
“ต้องอย่างนั้น!”
นังยูร่า หล่อนทำได้อย่างฉันไหม?
ฮิฮิฮิ! ไม่มีทางแน่นอน!
ขณะจิสึกะกำลังยิ้มกรุ้มกริ่ม ยองวูเล่าต่อด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“แม้ฉันจะไม่ได้ลงแข่งนานาชาติ แต่กลับได้รับรางวัลเหรียญทองถึงสองชิ้น”
“สองชิ้น?”
“ยูร่าก็เสนอแบบเดียวกัน”
จิสึกะพลันหรี่ตาลง
เมื่อแววตาขึงขังถูกนำมาวางบนใบหน้าอันเย้ายวน เสน่ห์ของหญิงสาวผู้นี้จึงเพิ่มทวีคูณ
“ยูร่าให้นายด้วยหรือ… มีเหตุผลอะไร?”
“เธออธิบายว่า หากเธอได้รับสามเหรียญทอง หนึ่งในสามจะถูกใช้เป็นค่าจ้างสำหรับสร้างไอเท็มจากอีกสองชิ้น”
แน่นอน เขาปฏิเสธ
แต่ไหนแต่ไร ยองวูจะสร้างไอเท็มให้พวกพ้องโดยไม่คิดค่าจ้างเสมอ ขอเพียงเตรียมวัตถุดิบให้พร้อมก็พอ
การได้สร้างไอเท็มระดับสูงซึ่งมีวัสดุเป็นรางวัลเหรียญทองงานแข่ง ผู้ได้รับผลประโยชน์กว่าใครก็คือตัวกริดเอง โอกาสได้จับต้องวัตถุดิบล้ำค่าหาไม่ง่ายนัก การไม่คิดเงินจึงถือเป็นเรื่องปรกติ
แต่ยูร่ายืนกรานว่าเธอต้องการจ่ายเงินเพื่อไม่ให้รู้สึกติดหนี้บุญคุณ
“ลงเอยด้วย ฉันตอบตกลงรับรางวัลเหรียญทองหนึ่งชิ้น แลกกับการสร้างไอเท็มตามใจเธอในอนาคต”
“ฉันจะให้นายทั้งสามรางวัล!”
“…เอ๋?”
“ถ้าฉันสามารถคว้าสามเหรียญทอง จะมอบรางวัลทั้งหมดให้นาย! และหลังจากนี้ต้องสร้างไอเท็มตามใจฉันด้วย!”
“หนึ่งก็พอแล้ว…”
“จ…จ่ายหนี้คันศรฟุนิกดงด้วยยังไงล่ะ!”
“ฟินิกซ์แดง”
“ช…ใช่! นั่นแหละ! ฟุนิกดง!”
‘ภาษายังอ่อนหัดอยู่สินะ’
จิสึกะในใบหน้าเขินอายช่างน่ารักน่าชัง
เมื่อยองวูเห็นอีกฝ่ายร้อนรน มันใช้ฝ่ามือวางลงไปบนหลังมือของอีกฝ่าย
“ฉันไม่เป็นไร แค่ชิ้นเดียวก็พอแล้ว อีกสองชิ้นเก็บไว้ใช้พัฒนาตัวเอง”
“ก…ก…กริด”
“ถ้ายังเห็นฉันเป็นเพื่อน ก็อย่ายัดเยียดภาระให้กันมากนักเลย… ด…เดี๋ยว!!”
ชินยองวูรีบเปลี่ยนจากระบบขับเองเป็นขับเคลื่อนอัตโนมัติ
‘เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! เราลืมไปได้ยังไงว่าตัวเองมีมือมาร!’
หลังจากนั้น เจ้า ‘13’ แล่นไปบนท้องถนนในสภาพโยกเยกผิดธรรมชาติตลอดทาง
ในวันเดียวกัน
หลังจากเหน็ดเหนื่อยสุดขีดจากเรื่องบัดซบตลอดทั้งวัน กริดรีบล็อกอินเข้าซาทิสฟายและได้พบกับการถล่มข้อความเสียงจากพวกพ้อง
พีคซอร์ด คริส แวนเนอร์ สิบวีรชนคนอื่น โค้ก เซ็ดนอส ลาเอลล่า และทูน…
ผู้เข้าแข่งซาทิสฟายนานาชาติทุกคนล้วนมีความต้องการคล้ายยูร่าและจิสึกะ
กริดมั่นใจว่าพวกเขาไม่ได้นัดกันมา
แต่ละคนเป็นห่วงตนจากใจจริง
ทุกคนกังวลว่ากริด ผู้ไม่ได้ลงแข่งซาทิสฟายนานาชาติในปีนี้ จะพลาดโอกาสคว้าของรางวัลสำคัญและไม่ได้พัฒนาตัวเอง พวกเขาจึงต้องการแบ่งหนึ่งในรางวัลของตนให้กริด
ไม่ว่ากริดจะปฏิเสธอย่างไร แต่ทุกคนก็ยืนกรานหนักแน่นว่าจะมอบให้
ไม่มีใครในโอเวอร์เกียร์ไม่หัวรั้น
จนกระทั่งกริดพบทางออก
“เข้าใจแล้ว แต่ฉันจะรับเฉพาะรางวัลของผู้คว้าเหรียญทองได้สามรายการขึ้นไป น้อยกว่านั้นไม่ต้องนำมาให้!”
ว่ากันตามตรง ต่อให้เป็นสมาชิกกิลด์โอเวอร์เกียร์สุดแกร่ง การคว้าสามเหรียญทองก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น
จริงอยู่ ประเภทของงานแข่งจะเพิ่มขึ้นจากเดิมทุกปี แต่ด้วยผู้เข้าแข่งจำนวนมหาศาล การคว้าเหรียญทองในแต่ละรายการจึงค่อนข้างตึงมือ
เหนือสิ่งอื่นใด งานแข่งซาทิสฟายนานาชาติคือการเป็นตัวแทนทีมชาติ สมาชิกโอเวอร์เกียร์จึงมีโอกาสพบกันเองในหลายรายการ และยังมีผู้เล่นนอกกิลด์ฝีมือดีอีกหลายคน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายการประเภททีม
การจะแบกทีมตัวเองให้ไปถึงเป้าหมายสุดท้ายไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
“เข้าใจกันแล้วสินะ เงื่อนไขตามนั้นแหละ!”
กริดถอนหายใจผ่อนคลาย
ทว่า มันมองข้ามบางสิ่งไป
ในปีก่อน กิลด์โอเวอร์เกียร์คว้าเหรียญทองได้ไม่มากเพราะสมาชิกส่วนใหญ่ต้องการประชันฝีมือกับกริด
ใช่แล้ว
พวกมันจะไปกองรวมกันอยู่ในรายการต่อสู้สำคัญอย่าง PVP หรือทำลายวัตถุเสมอ
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสมาชิกโอเวอร์เกียร์ตั้งหน้าตั้งตาคว้าเหรียญทองอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจศักดิ์ศรี?
อัตราการได้รับเหรียญทองของสมาชิกกิลด์จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่าจากปรกติ
เหรียญทองงงงง!!!!! โอเวอร์เกียร์
ReplyDeleteมันส์แน่ๆเลยงานนี้
ReplyDeleteขอบคุณมากครับ
รถโยกผิดปกติ 555555
ReplyDeleteเดี๋ยวๆๆ
ReplyDeleteไม่ขยายความเรื่องรถโยกหน่อยเหรอ
ผมคิดไปไกลมากแล้วเนี่ยยยยยย