จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,592
แกร่ก แกร่กแกร่ก—
กะโหลกศีรษะของโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ที่สูญเสียร่างกาย กำลังเคาะกระทบฟันกรามท่ามกลางความเงียบสงัด
ราวกับมันกำลังขอโทษที่ตนยังแข็งแกร่งไม่พอ
“…”
ณ ตอนนี้ จำนวนครั้งของทักษะเสมือนเทพถูกใช้งานจนเกลี้ยง
กริดต่อสู้ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มี
ไม่ว่าจะเป็นไอเท็ม สมญานาม ท่ารำดาบเทพโอเวอร์เกียร์ วิชาดาบราชาไร้พ่าย โลกจินตภาพ เนตรมาร เวทโลหิต ทักษะของราชาขุนเขา วิชาต่อสู้ของลีจอง อักขระแห่งความตะกละ และอีกมาก
แม้กระทั่งท่า ‘ซัดหอก’ กับ ‘กระหน่ำแทง’ ที่ได้มาจากหมู่เกาะเบเฮ็นเมื่อนานมาแล้วก็ยังติดระยะหน่วง
แถมยังฝืนให้โนเอะที่มักจะกลัวมังกรจนแสดงพลังได้ไม่เต็มที่ ออกมาสู้อย่างสุดฝีมือ
ไม่เหลือสิ่งใดให้เสียใจภายหลัง
ไม่ต้องนึกเสียดายว่า ‘ในตอนนั้น ถ้าทำแบบนั้นก็คงดี’
เป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม
เหตุผลเดียวที่เราแพ้ก็คือ ครานเบลแข็งแกร่งกว่า…
กริดที่พยายามข่มจิตใจ ตัดพ้อตำหนิตัวเอง
> ขึ้นมา
ขณะเชื่อว่าการต่อสู้ดิ้นรนได้จบลงแล้ว ชายหนุ่มเหลียวหลังไปมองตามเสียง
มังกรปางตายตัวหนึ่ง
สภาพยับเยินจนจะหมดสติไปตอนไหนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก กำลังยื่นคอมาทางกริด
โคนปีกสองข้างที่ถูกฉีกออกเริ่มขยับเข้าหากัน
ภาพของร่างกายขนาดมหึมาที่โชกเลือด กำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มก้อนเวทมนตร์นับร้อยที่เตรียมปลดปล่อยจากทุกสารทิศโดยไม่เกรงกลัว ดูสง่างามและสูงส่งเหนือพรรณนา
‘ยัง… ไม่จบสินะ…’
ยังเหลือมังกรที่เชื่อใจและอยากร่วมมือกับเรา…
ถึงกับยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อสร้างโอกาสอีกครั้ง
แล้วจะให้เพิกเฉยได้อย่างไร
ท่ามกลางกลุ่มก้อนเวทมนตร์นับร้อยที่กำลังควบแน่นกลางอากาศ กริดขึ้นขี่ต้นคอเซนอนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
พลังของราชาขุนเขาที่เคยกลับมาแสดงผลใหม่ ปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว
เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่า ครานเบลไม่เปิดโอกาสให้กริดได้ฟื้นตัว
แต่นี่มิใช่ภาพที่ชวนให้สิ้นหวัง สำหรับกริดแล้วตรงกันข้าม
ฉึบ
อาวุธใหม่ถูกถือด้วยแขนที่เหลือเพียงข้างเดียว
ดาบที่สามารถดับดวงจันทร์
ดาบที่แผ่แสงสีฟ้าเย็นเยียบ ประสิทธิภาพแปรผันตามค่าสถานะของกริดและเลเวลของเป้าหมาย
สิ่งนี้เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน
ดาบจันทราดับผ่าครานเบลได้ก็จริง แต่ฆ่าไม่ได้
สมมติให้กริดที่ขี่เซนอนมีค่าสถานะเป็นสามเท่าจากปรกติ และเลเวลของครานเบลคือ 999 แต่ความเสียหายอย่างมากก็คงหลักหลายร้อยล้าน หรืออย่างมากก็แตะหลักพันล้านตอนต้น
ไม่มีทางสังหารครานเบลซึ่งน่าจะมีพลังชีวิตหลักแสนล้านหรือล้านล้านได้
ทว่า กริดตระหนักถึงจุดอ่อนของมังกรเป็นอย่างดี
เขา
อวัยวะสำคัญบนหน้าผากที่กริดพยายามเน้นโจมตีมาตั้งแต่ต้น คือศูนย์รวมพลังอำนาจหลักของมังกร นี่เป็นข้อมูลที่ได้ทราบจากอิฟริต
‘โอกาสสุดท้ายแล้ว… ต้องตัดให้ได้’
แม้ครานเบลจะมั่นใจมาตลอดว่า ในท้ายที่สุดตนจะเป็นผู้ชนะ
แต่มันไม่เคยประมาทแม้แต่วินาทีเดียว
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะนิสัยรักในความสมบูรณ์แบบ หรือเป็นเพราะชื่นชมในฝีมือกริดดังที่กล่าวอ้าง
แต่สำหรับกริด นั่นเป็นการใช้ชีวิตที่น่าเบื่อ
ถ้าในเมื่อเหนือชั้นกว่าอีกฝ่ายมาก ก็ควรเล่นสนุกกับเหยื่อสักนิดไม่ใช่หรือ?
แต่ครานเบลกลับไม่ยืดหยุ่นแม้แต่น้อย แข็งทื่อเป็นกำแพงหรือหน้าผา
‘ถ้าเป็นบาเอล เจ้านั่นคงตัดเขาทิ้งก่อนจะสู้กับเรา’
ไม่อยากเชื่อว่าจะคิดถึงบาเอลในเวลาแบบนี้…
กริดที่เผยรอยยิ้มขื่นขม สูดลมหายใจยาว
ตามด้วยการพาเซนอนพุ่งเข้าไปในพายุทรายลูกใหญ่
เซนอนที่ปราศจากปีก บินได้ช้ากว่ามังกรทุกตัวที่กริดเคยขี่มาทั้งหมด
คงเป็นเพราะพลังเวทส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการบินและการหลบหลีก เวทมนตร์ของครานเบลจึงแทบไม่ถูกเซนอนสกัดกั้น
ยิ่งเซนอนบินเข้าใกล้พายุ เกล็ดของมันก็ยิ่งถูกทำลายไปพร้อมกับผิวหนังที่ฉีกขาด
อย่างไรก็ดี ไม่มีความลังเลในสายตาเซนอนแม้แต่น้อย
มันใช้ฟันกัดตรวนเวทมนตร์ที่พุ่งเข้ามาพันธนาการร่างกาย ตามด้วยการเอียงศีรษะหลบลำแสงที่พุ่งมาจากด้านบน
เซนอนขยับตัวตามความนึกคิดของกริดอย่างกระฉับกระเฉง
นั่นเป็นเพราะผู้ที่ทำลายเรย์ดัน ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวมันเอง
เซนอนสัมผัสถึงความเดือดดาลจากก้นบึ้ง ขณะกริดเห็นเมืองของตนถูกทำลายจนพังพินาศ
ไม่สิ นั่นอาจเป็นแค่ข้ออ้าง
ด้วยความสัตย์จริง เซนอนในปัจจุบันยังไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองดีนัก
มันแค่อยากจะสู้ร่วมกับกริด หลังจากเห็นอีกฝ่ายทำลายเกล็ดของครานเบลหนแล้วหนเล่า
“…”
กริดกำลังเพ่งสมาธิจดจ่อ
ขณะเหลือบัฟอมตะอีก 1.5 วินาที ชายหนุ่มกัดฟันทนห่าฝนเวทมนตร์ที่โหมกระหน่ำโดยไม่แยแส
โครงข่ายประสาทสัมผัสเทียมจากหัตถ์เทวะ คอยส่งตำแหน่งการโจมตีไปให้เซนอนตลอดเวลา
ปึด ปึด ปึด!
แขนที่เหลือข้างเดียวซึ่งต้องทนกับแรงปะทะจากสายลมและแรงระเบิดจากพลังเวท เริ่มส่งเสียงกรีดร้องจากกระดูก
ความเจ็บปวดจากกระดูกที่ทยอยหักและกล้ามเนื้อที่ฉีกขาด ทำให้ชายหนุ่มเย็นวาบไปถึงสันหลัง
แต่กริดไม่เพิกเฉยต่อความเจ็บปวดเหล่านั้น
พูดให้ถูกก็คือ มันจำเป็นต้องเพ่งสมาธิอยู่กับความเจ็บปวดที่เกิดกับแขน
นั่นเพราะกริดต้องการควบคุมปลายนิ้วที่กำลังถือดาบจันทราดับ ให้เคลื่อนไหวอย่างแม่นยำมากที่สุด
กริดจินตนาการภาพของเส้นประสาทเชื่อมต่อเข้ากับดาบจันทราดับ
จินตนาการถึงโครงสร้างอย่างละเอียดของดาบจันทราดับที่ตนสร้างขึ้นกับมือ
แขนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบ
บัฟอมตะเหลืออีก 1.2 วินาที
ฉึบ
วิถีการวาดดาบจันทราดับแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
กริดอาศัยประสาทสัมผัสเทียมเพื่อคลำหาตำแหน่งของครานเบลที่ซ่อนตัวอยู่หลังเวทพรางตา ขณะเดียวกันก็คำนวณลักษณะนิสัยของอีกฝ่ายจากพฤติกรรมตลอดการต่อสู้ที่ผ่านมา
เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะต้องฟันไปทางไหน มุมของคมดาบถูกปรับเปลี่ยนให้ถูกต้องทันที
ตึง!!
เซนอนพุ่งชนบาเรียล่องหนกะทันหัน
ร่างเซนอนสั่นสะเทือนหนักหน่วง แต่ท่วงท่าของกริดกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
เมื่อเปิดใช้งาน <จิตวิญญาณเสือขาว> ชายหนุ่มจะอยู่ในสถานะ ‘ไม่สามารถเคลื่อนที่’
ครืน—!
เสียงฟ้าร้องดังมาจากเหนือศีรษะ
กริดสัมผัสได้ในทันที
ชายหนุ่มจินตนาการภาพในหัว: หลังจากบัฟอมตะสิ้นสุดลง ตนจะถูกสายฟ้าเหล่านี้กลืนกิน
ครานเบลเข้าใจลักษณะพิเศษของเทพเป็นอย่างดี
เมื่อคำนวณว่าความตายของเทพจะถูกยืดออกไปราวสิบวินาที มันกะเกณฑ์การปลดปล่อยเวทมนตร์ให้ตรงจังหวะ
บัฟอมตะเหลืออีก 0.5 วินาที
ขณะสายฟ้าอันเกรี้ยวกราดปรากฏกายพร้อมกับฉาบให้โลกทั้งใบกลายเป็นสีขาว
‘ตอนนี้แหละ!’
แขนของกริดที่เหลือเพียงข้างเดียว เลือนหายไปหลังจากปลดสถานะจิตวิญญาณเสือขาว
ในเวลาเดียวกัน แสงสีฟ้าเย็นเยียบทำการผ่าเวทมนตร์ทั้งหมดเบื้องหน้า รวมถึงทะเลทรายและครานเบลออกเป็นสองท่อน
ดาบสลายทัพสองแสน
เนื่องจากกริดเอาแต่ใช้ทักษะจำพวก ‘วังวน’ ตลอดการต่อสู้ ดาบสลายทัพที่แทบไม่มีโอกาสใช้งานจึงกลายเป็นหนึ่งในท่าลับ
> …!
เซนอนพลันสั่นสะท้าน
เป็นผลจากการได้เห็นครานเบลที่ลอยอยู่อีกฟากหนึ่ง ถูกผ่าเป็นสองซีก
ฉูด—!
โลหิตพวยพุ่งจากศีรษะครานเบล
โฮก—!
ในเวลาเดียวกัน เซนอนกัดฟันพร้อมกับรีบบิดร่างกาย
จุดประสงค์เพื่อใช้ตัวเองเป็นกำบังรับสายฟ้าแทนกริดซึ่งสูญเสียบัฟอมตะ
ในเมื่อยังไงก็ไม่รอดอยู่แล้ว
เซนอนต้องการให้ความตายของตน มีความหมายมากที่สุด
การตายเพื่อปกป้องเทพผู้ยิ่งใหญ่ ดูพิเศษกว่าการถูกกินโดยพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์เป็นไหนๆ
ใช่แล้ว เทพผู้ยิ่งใหญ่
‘…เรากำลัง อิจฉาเขา?’
เปรี้ยง—!
เซนอนที่เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของตน ถูกสายฟ้าทรงพลังผ่าเข้าอย่างจัง เกล็ดที่สูญเสียความคงทนมาตั้งแต่ต้น แหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านพร้อมกับปลิวกระจาย
มังกรสามตัวที่ร่วงลงไปก่อนหน้า ตกลงไปยังรอยแยกบนผืนทะเลทราย
สายตาของกริดที่เคยจดจ่ออยู่กับครานเบล หันกลับมามองเซนอน
‘ยอมสละตัวเองเพื่อผู้ที่อ่อนแอ…’
กริดที่เคยผิดหวังกับทัศนคติของเหล่าสิ่งมีชีวิตก้าวข้าม บังเกิดความตื้นตันภายในใจทันที
อิฟริต เซนอน และบาสก์
เหล่ามังกรที่ได้พบพาน เริ่มสลายอคติในใจกริดที่เคยมีต่อสิ่งมีชีวิตก้าวข้าม
ประหนึ่งผู้แข็งแกร่งยื่นมือไปหาผู้อ่อนแอ มังกรเหล่านี้ยอมเชื่อใจคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
มีคำกล่าวที่ว่า บุคลิกของสิ่งมีชีวิตจะแปรผันตามความแข็งแกร่ง จึงเป็นธรรมดาที่กริดจะชื่นชมบุคลิกอันสูงส่งของเหล่ามังกร
ว่ากันตามตรง แม้แต่ครานเบล กริดเองก็มองว่าอีกฝ่ายสง่างาม
คำประกาศกร้าวของครานเบลทั้งน่าเชื่อถือและเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม อีกทั้งมันยังชื่นชมในตัวกริด
หากเจ้านั่นไม่ได้ทำลายเรย์ดัน การต่อสู้แลกชีวิตอาจไม่เกิดขึ้น…
หมับ!
ก่อนที่ร่างกายจะกระแทกกับพื้นดินในจุดลึกสุด
หัตถ์เทวะที่ไล่ตามกริดมาไม่ห่าง ช่วยพยุงร่างได้ทันท่วงที
ด้วยเหตุนี้ กริดจึงรอดพ้นจากการตายโดยตกจากที่สูง ขณะเดียวกันรีบสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างไม่ประมาท
บาสก์และมังกรที่เหลือกำลังลุกมาเผชิญหน้าครานเบล
แม้จะเหลือใบหน้าเพียงครึ่งเดียวเพราะเบี่ยงคอหลบไม่พ้น แต่ครานเบลยังคงใช้ดวงตาที่เหลือจดจ้องเหล่าศัตรูด้วยท่าทางสง่างามไม่ต่างจากเมื่อก่อน
ขณะกริดกำลังกลืนน้ำลายแห้ง
“ฝ…ฝ่าบาท!!”
“…?”
มนุษย์กลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาใกล้
ทิศทางมาจากปราสาทฝั่งที่ครานเบลกำลังหันหลังให้
ตอนแรกมีราวสิบคน แต่ไม่นานก็กลายเป็นหลายร้อยหลายพัน
ใบหน้าอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าสุด
พวกมันคือเหล่านักแปรธาตุของเรย์ดัน บุคคลที่กริดทั้งรักทั้งชังในเวลาเดียวกัน
“ฝ่าบาท พวกเรารักษาสัญญาจนถึงที่สุด…!”
สสารซึ่งไม่ควรมีอยู่ในโลกซาทิสฟาย
กริดรีบตะโกนไปทางนักแปรธาตุที่กำลังภูมิใจนำเสนอแผ่นพลาสติกใส
“อย่าเข้ามา! ถอยไป!!”
เจ้าพวกนี้เสียสติกันไปแล้วหรือ?
ไม่เห็นหรือไงว่ามีมังกรตั้งมากมาย แต่ก็ยังจะวิ่งเข้ามา?
กริดยังคงตึงเครียด ไม่มีเวลามัวยินดีกับเรื่องที่มีผู้รอดชีวิต
แต่ผ่านไปสักพักก็เริ่มสังเกตเห็นบางสิ่ง
ผู้รอดชีวิตของเรย์ดันทุกคนล้วนมีตราประทับสีแดงคล้ายเลือด
แต่ไม่ใช่เลือดของพวกมัน เป็นเลือดจากภายนอก
หลังจากนั้น กริดเริ่มตระหนักได้ว่าที่นี่คือที่ไหน และใครเป็นเจ้าของปราสาทด้านหลังครานเบล
‘หรือว่า… แมรีโรส?’
แวมไพร์ที่แทบไม่เคยเห็นอกเห็นใจพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ และแทบไม่มีความเป็นคน เป็นผู้ช่วยชีวิตชาวเรย์ดันเอาไว้?
ขณะกริดกำลังฉงน
ซู่ว—
ละอองโลหิตโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่าด้านข้างกริด
เส้นผมยาวสลวยที่ถักสานท่ามกลางความมืด ลูบไล้แก้มกริดก่อนจะทิ้งตัวลงตามธรรมชาติ
“เช่นนั้นแล้ว…”
ริมฝีปากสีแดงสดที่ตรงข้างกับผิวพรรณขาวราวหิมะ เปล่งเสียงใสกังวานสุดไพเราะ
เมื่อชาวเรย์ดันเห็นฉากดังกล่าว พวกมันคล้ายกับถูกสะกดให้หลงใหลและพากันปิดปากสนิท ทำเอาบรรยากาศเงียบสงัด
“ผู้ใดกินแขนสามีสุดที่รักของข้าเข้าไป?”
การดำรงอยู่ที่เกิดจากการสละชีวิตของเบริอาเช่ หนึ่งในสามอสูรต้นกำเนิด
ดวงตาสีทับทิมของแมรีโรสกำลังเปล่งประกายในความมืด
สายตาที่จดจ้องไปยังใบหน้ามังกรแต่ละตัว ปราศจากอาการง่วงซึมโดยสิ้นเชิง
ราชาโลหิต
บนโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งใดสลักความประทับใจลงในดวงวิญญาณแมรีโรสได้ชัดเจนเท่ากริดอีกแล้ว
> …
เหล่ามังกรต่างกลั้นหายใจ
คล้ายกับคนแกล้งตายเพื่อให้หมีเลิกสนใจและผ่านไปโดยเร็ว
เป็นภาพที่ยากจะเชื่อลงแม้ได้เห็นกับตาตัวเอง ดูงดงามและน่าสะพรึงเหนือพรรณนาในเวลาเดียวกัน
โครม!!
ร่างเซนอนที่หล่นกระแทกพื้นช้ากว่าใคร ทำลายความเงียบสงัดในจุดเกิดเหตุ
ครานเบลตอนสนองเป็นตัวแรก
> ข้าคือผู้ทำร้ายเทพโอเวอร์เกียร์
ครานเบลเล่าข้อเท็จจริง
มันกล่าวด้วยความมั่นใจโดยไม่มีเจตนาจะปกป้องมังกรตัวอื่น
ช่างสมกับเป็นมังกรผู้สูงส่ง
กริดเริ่มมั่นใจ สาเหตุที่สภาหอคอยเกลียดชังและหวาดกลัวมังกรมากเป็นพิเศษ เกิดจากอคติที่ได้รับอิทธิพลจากภาพจำแย่ๆ ของเหล่ามังกรจิตไม่ปรกติ จำพวกมังกรคลั่ง มังกรมาร มังกรจอมเขมือบ และมังกรเพลิง
‘ท่านฮายาเตะเน้นยำเสมอว่ามังกรทุกตัวนั้นบ้าคลั่ง… แต่ทำไมเรากลับไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นเลย’
ทันทีที่พบว่าชาวเรย์ดันยังมีชีวิตรอด ความเกลียดชังของกริดที่เคยผูกติดกับครานเบลถูกทำลายลงทันที
ฉูด—!!
ทันใดนั้น ทัศนวิสัยของกริดพลันท่วมท้นไปด้วยสีแดงฉาน
นั่นเพราะแมรีโรสพุ่งเข้าประชิดตัวครานเบลพร้อมกับกระชากแขนซ้ายออก จนโลหิตพวยพุ่งปกคลุมทุกสิ่ง
แมนี่โรสโหดม๊ากกกกก
ReplyDelete