จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,588
นับตั้งแต่โบราณกาล มนุษย์ถือว่าดวงดาวคือสิ่งพิเศษ และคอยชื่นชมความเปล่งประกายแม้ในอวกาศที่ห่างไกล
นั่นคือเหตุผลที่มนุษย์พิเศษมักถูกเปรียบกับดวงดาว
และเป็นเหตุผลที่บราฮัมเชื่อว่าตนเจ๋งที่สุด
เพราะมันคือคนเดียวที่สามารถดึงดาวลงมาถล่มโลก
จึงเจ๋งยิ่งกว่ามนุษย์พิเศษที่ถูกเปรียบเป็นเพียงดวงดาวเหล่านั้น
เป็นทัศนคติที่เริ่มชัดเจนขึ้นในระยะหลัง
ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีเวทมนตร์ที่มันบรรลุขณะต่อสู้กับคามิคิน พลังของแวมไพร์ทายาทที่ได้แมรีโรสช่วยปลดพันธนาการ จนปริมาณพลังเวทและพลังกายที่เพิ่มขึ้นมหาศาล รวมถึงวิวัฒนาการที่เกิดจากอุปกรณ์สวมใส่ของกริด
บราฮัมก้าวเข้าสู่ยุครุ่งโรจน์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในฐานะผู้พิทักษ์แห่งกริด บราฮัมเชื่อว่าตนสามารถเผชิญหน้ากับศัตรูได้ทุกคน ยกเว้นตัวตนที่เหนือกว่าเกินไปอย่างมังกรหรือเทพสงคราม
และเมื่อสักครู่ มันได้พิสูจน์ในเรื่องนี้
มังกรที่กำลังหนีหัวซุกหัวซุนหลังจากปะทะกับแมรีโรส
เมื่อผนวกกับการที่ปีกทั้งสองของอีกฝ่ายถูกเด็ดออก บราฮัมแทบไม่เกิดความกลัว
แตกต่างจากเมื่อครั้งเผชิญหน้ากับทราวก้าในอดีตโดนสิ้นเชิง
ละอองพลังเวทที่กระจายตัวในอากาศเพื่อทำหน้าที่เป็นประสาทสัมผัสให้บราฮัม ต่างตะโกนออกมาพร้อมกัน
บางที เราอาจเอาชนะมันได้
หากไม่มีมังกรสามตัวที่กำลังพุ่งมายังจุดเกิดเหตุ บราฮัมอาจเล็งไปยังสมญานามนักล่ามังกรคนแรกในประวัติศาสตร์
นั่นเป็นความหยิ่งผยอง
> จะไม่มีใครออกไปจากที่นี่ได้
บราฮัมที่ถูกจองจำภายใต้วาจามังกร เพิ่งตระหนักได้เมื่อสายว่าการคำนวณของตนมีช่องโหว่
‘ไม่ใช่ว่ามังกรทุกตัวเหมือนกันหรอกหรือ?’
มนุษย์ทุกคนบนโลกกึ่งกลางย่อมไม่เคยศึกษารูปร่างของมังกร
เหมือนกับที่มนุษย์เข้าใจเพียงเศษเสี้ยวเดียวของจักรวาล
บราฮัมจึงไม่ได้สนใจมังกรมากนัก
มันเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเวทมนตร์ มากกว่าการพยายามศึกษาสิ่งที่ไม่มีวันเข้าใจ
และนั่นก็เป็นแนวโน้มที่เกิดจากการชี้นำขององค์ความรู้เบริอาเช่
บราฮัมเคยเชื่อว่ามารดาของตนถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดมาให้แล้ว แต่ในภายหลัง ความเชื่อดังกล่าวได้ถูกทำลายลงด้วยความจริงอันโหดร้าย
อย่าลืมว่าแวมไพร์คือเผ่าพันธุ์ที่ถูกสาป
เบริอาเช่มิได้มอบความรู้ทั้งหมดแก่บราฮัม
หนึ่งในนั้นคือความรู้เกี่ยวกับมังกร
ส่งผลให้บราฮัมไม่รู้จักมังกรและสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงอื่นๆ
นั่นคือหลักฐานพิสูจน์ว่า เบริอาเช่รักบราฮัมมากเพียงใด
เธอเป็นกังวลว่า เด็กที่อ่อนแอจะเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับมังกร และถูกมังกรฆ่าตายอย่างไร้ค่า
แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม เบริอาเช่ย่อมไม่คาดคิดว่า บราฮัมจะทำสิ่งที่บ้าบิ่นอย่างการลอบเข้าไปในรังมังกรทราวก้า
“…”
หลังจากตระหนักถึงความจริง ใบหน้าบราฮัมซีดจางลงทันที
มังกรเพลิงทราวก้า มังกรมารบันเฮเลียร์ มังกรคลั่งเนอวาร์ธาน มังกรจอมเขมือบไรเดอร์ส
บราฮัมเคยเข้าใจว่ามังกรโตเต็มวัยทั้งหมดจะเหมือนกับรายชื่อข้างต้น แม้จะความแข็งแกร่งอาจแตกต่างกันเล็กน้อยอันเนื่องมาจากสายพันธุ์และบุคลิก แต่ก็ไม่ใช่ความต่างที่มากมายอะไร
ทว่า นั่นไม่จริงเลย
มังกรสี่ตัวที่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีประหลาด ระดับความแข็งแกร่งด้อยกว่าทราวก้าอย่างชัดเจน
มังกรที่กำลังเปล่งวาจามังกรจากที่ใดสักแห่ง คือเครื่องพิสูจน์ในเรื่องนั้น
เป็นระดับที่ต่างชั้นราวกับคนละมิติ
‘ไม่รอดแน่’
ทุกคนที่นี่ รวมถึงตัวมันเอง กำลังจะหายไปในอีกไม่ช้า
นี่มิใช่การคาดเดา แต่เป็นสัญชาตญาณ
สมองของบราฮัมซึ่งประมวลผลจากละอองมานาปริมาณมหาศาลที่ทำตัวเป็นประสาทสัมผัสในอากาศ มีความแม่นยำสูงมาก นี่จึงเป็นวินาทีที่มันมั่นใจในความตายของตน
‘โดนรุกฆาตแล้ว’
เหนือดยุคแห่งปัญญา บราฮัมคือจอมเวท ย่อมต้องเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่สามารถเกิดขึ้น และหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด
แต่คราวนี้กลับไม่มี
‘…อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุป’
บราฮัมที่ตระหนักถึงความไร้พลังและจุดจบที่ใกล้มาถึงของตน หันไปมองเซนอน
ทั้งที่เพิ่งถูกโจมตีได้ไม่ถึงหนึ่งนาที แต่เกล็ดของมันทยอยหลุดร่วง
เกล็ดเทียมที่สร้างจากเวทมนตร์เลือนหายไป เหลือเพียงเกล็ดแท้ของเซนอนที่มีสีเทาหม่นคล้ายท้องฟ้าหมอง
“ข้าจะพูดอีกแค่ครั้งเดียว”
ตัวตนที่ทำให้บราฮัมนึกถึงทราวก้า
การปรากฏกายของมังกรระดับสูง ซึ่งคนที่ไม่เคยศึกษาลำดับชั้นของมังกร มักเข้าใจผิดคิดว่าทัดเทียมกับมังกรโบราณ
เสียงตะโกนของบราฮัม แทรกซึมเข้าไปในโสตประสาทของเหล่ามังกรที่รู้จักบราฮัมเป็นอย่างดี
“ส่งหัวใจของเจ้ามา ไม่มีความหวังอื่นใดนอกจากนี้อีกแล้ว”
บราฮัมบอกกับเซนอนอย่างใจเย็น
แต่คนที่ตอบสนองกลับเป็นมังกรผู้กำลังฝังเขี้ยวลงไปในคอเซนอน
> เจ้า… หุบปาก
บาสก์ มังกรสีเทาผู้มีอายุสามพันปี
มันไม่ได้นอนมาห้าร้อยปีแล้ว
เพื่ออนาคตที่สดใส
ขอแค่ล่าสำเร็จอีกครั้งเดียว มันจะขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของลำดับชั้นทันที
มันคอยสังเกตแนวโน้มของเหล่าพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ ด้วยเครือข่ายประสาทสัมผัสเวทมนตร์ที่โยงใยโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่รังของตนซึ่งตั้งอยู่ใจกลางทวีป และเอาชนะความน่าเบื่อหน่ายด้วยความอดทนอันเป็นเลิศ
มันพลาดโอกาสใหญ่ไปแล้วสองครั้ง
หนแรกคือมังกรศิลา
ขณะไล่ตามกูเซลที่ถูกมังกรคลั่งโจมตีจนอ่อนแอ มันถูกสภาหอคอยใช้เวทอำพรางตาจนบินไปไกลจากหมู่เกาะเบเฮ็น
เวทพรางตาของสภาหอคอยนั้นไร้ที่ติ และ ณ เวลานั้น ตัวตนของหอแห่งปัญญายังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
ครั้งที่สองคือมังกรเพลิง
ในตอนแรก แม้สถานการณ์จะคลุมเครือ แต่อิฟริตก็อยู่ในสภาพอ่อนแอไม่ผิดแน่ จริงอยู่ที่หากเล็งล่าเธอ มีโอกาสสูงที่บาสก์จะต้องเผชิญหน้ากับมังกรโบราณ แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่คุ้มค่าแก่การลิ้มลอง
แต่น่าเสียดาย อิฟริตมีความตั้งใจแน่วแน่และไม่มัวลังเล โชคยังดีที่เธอหายไปจากโลกโดยไม่ทิ้งซากเอาไว้ ส่งผลให้ทราวก้าบาดเจ็บหนักและไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นจากเดิม
และในตอนนี้
โอกาสที่สามมาถึงแล้ว
เป็นสถานการณ์ที่ดีกว่าโอกาสทั้งสองครั้งก่อนหน้า
มังกรระดับต่ำจะไม่ดึงดูดความสนใจจากมังกรระดับสูง และเนื่องด้วยเหตุการณ์อิฟริต มังกรระดับสูงมีแนวโน้มที่จะระวังตัวมากขึ้น
บาสก์มองว่าเป็นโอกาสทองในการล่าเหยื่อ
แม้ความวุ่นวายจากฝีมือแมรีโรสจะดึงดูดความสนใจ อีกทั้งยังมีคู่แข่งอีกสองตัว แต่มันเชื่อว่าตนสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้
ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น
ในที่สุด มันเชื่อว่าความปรารถนาของตนจะถูกเติมเต็มในวันนี้
เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งเมื่อครู่
มันสัมผัสถึงกลิ่นอายของมังกรพรางตาที่เปิดเผยตัวตนชั่วขณะหนึ่ง
‘…โชคยังดีที่หยั่งถึงตัวตนของอีกฝ่ายก่อน เราจะรับมือการโจมตีของมังกรพรางตาได้ไหม?’
มันได้ชื่อว่า ‘พรางตา’ เพราะไม่มีใครมองเห็น เดิมที มังกรพรางตาจะถูกตรวจพบได้ยากมาก เนื่องจากพวกมันมักสร้างการหักเหของแสงและเงาด้วยพลังเวท แถมยังมีกระแสมานาที่แปลกประหลาด
จะเป็นทายาทของ ‘มังกรหักเห’ หรือ ‘มังกรพรางตา’ ที่ถูกจำแนกให้เป็นมังกรหักเหเช่นกัน
ไม่มีใครตอบได้
เพราะไม่มีใครยืนยันได้ว่า มังกรหักเหมีอยู่จริง
‘อันดับแรก เราต้องปล่อยให้เซนอนมีชีวิตรอด’
แม้บาสก์จะเป็นมังกรระดับกลาง แต่ก็ใกล้เคียงระดับสูงมาก หากมีมังกรระดับต่ำสามตัวคอยช่วยเหลือ ก็ยังพอมีหนทางที่จะรับมือกับมังกรระดับสูงหนึ่งตัว
หากหวังถึงชัยชนะ วิธีเดียวคือต้องยื้อเวลาออกไป
มีเพียงความโกลาหลครั้งใหญ่เท่านั้น จึงจะทำให้มังกรพรางตาเกิดความกลัวที่จะกลายเป็นเหยื่อเสียเอง
บางที เป้าหมายหลักของมังกรพรางตาอาจเป็น มังกรที่วิวัฒนาการหลังจากกินเซนอนเข้าไป
หลังจากช่วงชิงพลังสำเร็จ มันค่อยวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อตัดสินใจว่าจะกินต่อหรือถอนตัวกลับ
นั่นคือเหตุผลที่ต้องปล่อยให้เซนอนมีชีวิตรอดต่อไป
> มาร่วมมือกันดีกว่า
บาสก์พูดโดยไม่อธิบาย
มังกรทุกตัวล้วนมีความรู้ระดับจักรวาลอยู่ในหัว ย่อมเข้าใจทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง
การนำความรู้มาใช้งานมากน้อยเพียงใด นั่นขึ้นอยู่กับนิสัยของแต่ละสายพันธุ์ แต่มังกรที่หัวช้านั้นมีแค่มังกรคลั่งเพียงตัวเดียว
> เซนอน รีบฟื้นฟูพลังเร็วเข้า
มังกรอีกสองตัวต่างเห็นพ้องกับข้อเสนอของบาสก์ หลักฐานพิสูจน์คือการเคลื่อนที่มาอยู่ในตำแหน่งปกป้องเซนอน
เซนอนกลืนคำสบถลงคอ
‘ความอัปยศในวันนี้ เราจะเก็บไปฝันร้ายนานแค่ไหน…’
สภาหอคอยที่สัญญาว่าจะช่วย แต่สุดท้ายก็หนีกลับไป
พี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ที่ปรี่เข้ามาเพื่อกินตน แต่สุดท้ายกลับยื่นมือช่วยเหลือ
ไม่มีสิ่งใดน่าอภิรมย์ทั้งนั้น
มันทั้งสมเพชและอับอายตัวเอง แม้ผลลัพธ์จะดำเนินไปด้วยดีก็ตาม
และสิ่งที่กวนใจเซนอนที่สุดก็คือ
“แทนที่จะปล่อยไว้เป็นภาระ ฆ่ามันทิ้งให้จบๆ ไม่ดีกว่าหรือ? แต่ข้ามีข้อมูลเกี่ยวกับมังกรไม่มากนัก คงยากที่จะออกความเห็น… ชิ!”
ไอ้พวกแวมไพร์
ทั้งแมรีโรสที่ฉีกปีกและเผ่นหนีไปในพริบตา และบราฮัมที่เอาแต่บอกให้มันสังเวยหัวใจ
สมแล้วที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน
เป็นเผ่าพันธุ์ที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก
> บราฮัม เจ้า… หุบปาก
มังกรต้องกินพวกเดียวกันเพื่อความอยู่รอด มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้นที่ช่วยให้อายุยืน และวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งที่ดีที่สุดก็คือการกิน
เป็นวัฒนธรรมสุดป่าเถื่อนที่พร่ำสอนโดยมังกรโบราณ
การออกล่าเหยื่อทั่วไปจะไม่ช่วยให้อยู่รอด เว้นเสียแต่จะเป็นสายพันธุ์มังกรเพลิงหรือมังกรคลั่ง
บาสก์ต้องการมีชีวิตต่อไป จึงพยายามโน้มน้าวให้เซนอนร่วมมือ
และหวังให้บราฮัมที่พยายามก่อความวุ่นวาย ช่วยหุบปากเงียบเสียที
บราฮัมเอียงศีรษะด้วยท่วงท่าสง่างาม ผมสีเงินปรกหูสะบัดพลิ้ว
“รู้จักชื่อข้าด้วย?”
นั่นคือหลักฐานที่บ่งชี้ว่า มังกรคอยจับตามองโลกอย่างใกล้ชิดเสมอมา
บราฮัมตื่นเต้นเมื่อได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงใหม่
“มังกรสนใจความเป็นไปของโลกมนุษย์ด้วยหรือ? แล้วทำไมถึงไม่แทรกแซง? ไม่น่าจะใช่เหตุผลแค่กลัวการถูกกินแน่…”
> …
“โลกนี้กว้างใหญ่มากเลยไม่ใช่หรือ? ก่อนจะถึงยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงเมื่อสามสิบปีก่อน กว่าข่าวสารจากทางเหนือมาถึงทางใต้จะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามถึงสี่เดือน และนั่นคือมาตรฐานในระดับสูงแล้ว แต่พวกเจ้ากลับรับข่าวสารทั่วทั้งทวีปได้ตลอดเวลา? มังกรไม่ได้เพ่นพ่านไปทั่วทวีปสักหน่อย… คงมีข้อจำกัดอยู่สินะ? เป็นข้อจำกัดแบบไหนหรือ?”
นี่คือโอกาสที่ทองที่จะได้ศึกษามังกร บราฮัมจึงพรั่งพรูคำถามด้วยเกรงว่าตนอาจไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกในอนาคต
ต้องใช้วาจามังกรเพื่อปิดปากหมอนี่ไหม?
บาสก์ที่ครุ่นคิดเป็นจริงเป็นจัง ส่ายหน้าหลังจากผ่านไปสักพัก
สถานการณ์กำลังวิกฤติ การมีผู้ช่วยเพิ่มอีกสักคนคงไม่ใช่เรื่องเสียหาย
ในเมื่อแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็ควรไหลไปตามน้ำ
> พวกเราแทบไม่สนใจสิ่งอื่นนอกจากตัวเอง แต่เจ้าโด่งดังเป็นพิเศษ
“ข้า… มีชื่อเสียงในหมู่มังกร? พอจะเดาได้ว่าทำไม”
หางตาบราฮัมที่กำลังเอียงคอเล็กน้อย กระตุกแผ่วเบา
มังกร
บราฮัมกำลังภาคภูมิใจในเวทมนตร์ของตน ที่โดดเด่นจนสามารถดึงดูดความสนใจจากมังกรผู้ได้ชื่อว่าเจ้าแห่งเวทมนตร์ ขณะเดียวกันก็แอบอมยิ้มแม้ว่าตนจะกำลังเผชิญสถานการณ์ความเป็นความตาย
บาสก์และเหล่ามังกรที่ตอนนี้กลายเป็นพวกเดียวกัน ต่างกำลังจดจ่ออยู่กับบางสิ่ง
พวกมันพยายามมองหา ‘เงา’ ในขอบเขตการมองเห็น
> ครานเบล ต่างฝ่ายต่างถอยกลับไปไม่ดีกว่าหรือ ถือเสียว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
มังกรพรางตา ครานเบล ตอบโต้ข้อเสนอของบาสก์
> มั่นใจในตัวเองมากไปแล้ว
ดวงตาของมังกรสี่ตัวและบราฮัม หันไปมองทางขวาโดยพร้อมเพรียง
เพราะตำแหน่งของเงาที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นมังกรพรางตา ปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว
บราฮัมรู้สึกแปลกแยก
‘สัมผัสอะไรไม่ได้เลย’
ละอองพลังเวทในอากาศซึ่งทำหน้าที่ประสาทสัมผัสไม่มีการตอบสนอง ไม่มีการตรวจพบพลังเวทที่ใช้ในการสร้างแสงเงาปลอม
น่าทึ่งเกินไป
บราฮัมหวนนึกถึงวาจามังกรที่มังกรอำพรางเปล่งออกมา
ไม่มีใครหนีไปจากที่นี่ได้
กล่าวคือ มันมั่นใจว่าตนแข็งแกร่งพอที่จะจัดการเหยื่อทั้งหมด
ยิ่งเมื่อคำนึงว่าศัตรูมีสิทธิ์ที่จะร่วมมือกัน ความมั่นใจระดับนี้ถือเป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับเหยื่อ
‘เราจะไม่รอดจริงๆ หรือ…’
บราฮัมมิอาจจำแนกความแตกต่างระหว่างมังกรระดับสูงและมังกรโบราณ เพราะสำหรับมัน ทราวก้ากับมังกรพรางตาล้วนแข็งแกร่งจนไม่สามารถคาดเดาฝีมือ
มันเริ่มจินตนาการถึงความตายของตน ที่จะเกิดจากการโจมตีซึ่งมิอาจคาดเดาได้ว่ามาจากทิศทางใด
ในเวลาเดียวกัน
ซู่ว—!
สิ่งที่บราฮัมคิดกลายเป็นจริง
‘เงา’ ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมที่สี่มังกรคอยจดจ่อ แต่การโจมตีอันหนักหน่วงกลับพุ่งมาจากอีกฝั่ง เป็นหางที่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีเงิน มันกระทบเข้ากับสีข้างของบาสก์จนเอวยุบเข้าไปชัดเจน ไม่แน่ใจว่ามังกรมีกระดูกชายโครงกี่ซี่ แต่บราฮัมมั่นใจว่าตอนนี้ถูกทำลายไปทั้งแถบ
บาสก์ตอบโต้ทันที
มันรีบบิดคอยาวๆ ที่ถูกแรงปะทะสะบัดไปยังทิศตรงข้าม จากนั้นก็ใช้เขาแหลมแทงใส่อากาศพร้อมกับพ่นลมหายใจในเวลาเดียวกัน
พิจารณานาทิศทางที่หางสีเงินพุ่งเข้าใส่ ตำแหน่งของมังกรพรางตาจะเป็นจุดอื่นไปไม่ได้ ลมหายใจสีเทาถูกพ่นอย่างรวดเร็วประหนึ่งถูกรวบรวมเตรียมไว้ตั้งแต่ต้น
เป็นพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึง ลักษณะคล้ายกับเสาสีเทาต้นยักษ์ บรรยากาศโดยรอบหมองหม่นทันตาเห็น เป็นผลมาจากการที่ดวงอาทิตย์ถูกต้นเสาบดบัง
แต่สีหน้าของบาสก์กลับแข็งกระด้าง
การสวนกลับล้มเหลว มังกรพรางตาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่คาดหมาย จึงเกิดเป็นปัญหาที่ว่า บาสก์ถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว และเป็นความเสียหายที่หนักหนาเกินไป จึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว
‘ทางเดียวที่จะรอดไปได้ คือต้องสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่…’
หากกระหน่ำยิงลมหายใจไปเรื่อยๆ ในท้ายที่สุดก็จะมีใครสักคนเข้ามาแทรกแซง และนั่นคือตัวแปรที่สามารถฉวยโอกาส
แม้ตอนนี้มังกรพรางตาจะมีท่าทีไม่แยแส แต่สิ่งนั้นต้องเปลี่ยนไปหากมีศัตรูที่เลวร้ายปรากฏตัว
> ต่อต้านไปก็ไร้ความหมาย…?
เสียงของมังกรพรางตาซึ่งดังสะท้อนจากทุกทิศ เกิดขาดห้วงกลางคัน
“ชื่อมังกรอุโมงค์น่าจะเหมาะสมกว่า”
ดวงตาที่เปรียบดังทับทิมแดงของบราฮัม กำลังจดจ้องไปยังมังกรพรางตา
จุดดังกล่าวคือรอยแยกบนพื้นดินที่พังถล่มจากแผ่นดินไหว
“หรือจะเรียกว่าหนูก็คงไม่ผิด”
ละอองพลังเวทในอากาศที่ไม่เคยมีการตอบสนอง เริ่มส่งสัญญาณทันทีที่หางสีเงินของมังกรพรางตาปรากฏขึ้น
และนั่นทำให้บราฮัมสังเกตเห็น
อาจเป็นความจริงที่มังกรพรางตาสร้างแสงเงาปลอมขึ้น แต่ร่างจริงไม่จำเป็นต้องซ่อนอยู่หลังสิ่งนั้น
มังกรพรางตาอาศัยกระแสมานาที่ซับซ้อนของตัวเองเพื่อช่วยให้เคลื่อนไหวใต้ดินอย่างอิสระ จนไม่มีใครบนท้องฟ้าสังเกตเห็น คล้ายกับการขุดอุโมงค์ใต้ดินและคอยตอดศัตรูโดยที่ไม่มีใครพบความผิดปรกติ
เป็นพลังที่ก้าวข้ามหลักสามัญสำนึกทั้งปวง แม้แต่บราฮัมก็มิอาจสร้างกระแสมานาเช่นนี้ได้
“สุดยอดมาก… เสียตรงที่รูปร่างอัปลักษณ์ไปหน่อย”
> …หุบปาก
มังกรอุโมงค์ ไม่สิ มังกรพรางตา ครานเบล โผล่ขึ้นจากพื้นดิน
ร่างกายใหญ่กว่าบาสก์และเซนอน 1.5 เท่า การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ ลำพังการหายใจเข้าออกธรรมดาก็อาจรุนแรงในระดับเดียวกับการพ่นลมหายใจ
ณ จุดนี้ บาสก์เองก็สัมผัสได้
‘ไม่มีทางเอาชนะได้เลย…’
พลังของครานเบลอยู่เหนือจินตนาการของบาสก์ไปมาก
เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่เพิ่งสัมผัสได้หลังจากอีกฝ่ายปรากฏตัว
บาสก์และเหล่ามังกรต่างรู้ตัวเมื่อสาย พวกมันทำได้เพียงเฝ้ารอความตายมาเยือน
> เข้าใจอะไรง่ายๆ ก็ดีแล้ว ไม่ต้องกังวล ข้าจะป่นพวกเจ้าเป็นผุยผงในพริบตาเหมือนกับเมืองนี้
หลังจากสัมผัสถึงซากเมืองใต้ฝ่าเท้า มันกล่าวออกโดยไม่ได้มีความหมายใดลึกซึ้ง
ครานเบลเพียงพูดเพื่อข่มขวัญศัตรู
แต่จังหวะไม่ดีสักเท่าไร
“เป็นฝีมือแกเองหรือ?”
กริดที่เพิ่งมาถึง ดวงตาซึ่งกำลังเบิกกว้างจดจ้องครานเบลไม่กะพริบ
“…ทำร้ายคนบริสุทธิ์ทำไม”
สายลมกระโชกที่ไม่น่าจะมีในทะเลทรายอันร้อนแรง
เหล่ามังกรต่างพากันตกใจ ส่วนบราฮัมกำลังมองกริดที่กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วยสายตาเป็นกังวล
นั่นเพราะเศษชิ้นส่วนมังกรเพลิงในตัวกริด กำลังสั่นพ้องร่วมกับเวทมนตร์ของมังกรจนพวกมันมองเห็นฉากหนึ่ง
ฉากที่กริดกำลังขี่อิฟริต ถูกฉายลงบนพลังเทพที่แผ่ออกมาประหนึ่งแสงขั้วโลก
นี่แหละๆมี่ต้องการ5555555😈
ReplyDelete