จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,253
จอมอสูรรุกรานโลกมนุษย์ 5 ตนจริงหรือ?
มีเหตุผลไม่ซับซ้อนที่สำนักข่าวทั่วโลกต่างตั้งคำถามเช่นนี้ขึ้นมา
<มือของสตริโอ้>
หนึ่งในห้าจอมอสูรที่ปรากฏกายบนโลกกลับมิใช่จอมอสูร แต่เป็นอวัยวะเพียงส่วนเดียว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความสนใจจากคนทั่วโลกได้เบือนหนีมือของสตริโอ้ไปจนหมด
ในเมื่อมีสงครามของจอมอสูรลำดับ 13 และ 19 ให้ทุกคนได้รับชม แล้วจะมีใครจะมัวเสียเวลาดูฝ่ามือหนึ่งข้างอาละวาด?
หลายฝ่ายเชื่อว่า มือของสตริโอ้จะเป็นจอมอสูรตนแรกที่ถูกจัดการ
และเป็นเหตุผลที่สำนักข่าวไม่ค่อยให้ความสนใจกับสงครามป้อมคาลันตันมากนัก
แต่ในความเป็นจริง
อ๊ากกกกกก!!
เรทติ้งของช่องข่าวที่ถ่ายทอดสดสถานการณ์ป้อมคาลาตันเริ่มพุ่งทะยาน
ไม่ว่าจะเป็นป้อมเฮนรูทู ป้อมริชาร์ด ป้อมเพลทริโน่ และคลองฮาสพัช ช่องข่าวที่ถ่ายทอดสถานการณ์ในจุดข้างต้นเริ่มกดดันให้เปลี่ยนไปฉายภาพสถานการณ์ป้อมคาลันตันแทน
พวกมันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำตาม
『อี๋ย…!』
ฉากความโหดร้ายตรงหน้าส่งผลให้พิธีกรภาคสนามต้องส่งเสียงขวัญผวาเข้ากล้องถ่ายทอดสด
มือของสตริโอ้ซึ่งมีส่วนสูงเทียบเท่ากำแพงป้อมปราการ ได้บดขยี้พาลาดินหกคนของโบสถ์รีเบคก้าอย่างง่ายดายประหนึ่งบี้แมลงวัน พื้นดินมีอันต้องสั่นสะเทือนทุกครั้งเมื่อมันเริ่มเคลื่อนไหวร่างกาย คนดูทางบ้านจึงต้องรับชมภาพที่ชวนให้วิงเวียนศีรษะ
“อ…อะ… อะ…!”
“ไอ้พวกปีศาจ…!”
เหล่านักบวชของรีเบคก้าต่างพากันแตกตื่นเมื่อได้เห็นพวกพ้องสิ้นชีพไปต่อหน้าต่อตา และจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่ฝ่ามือระยำเริ่มกางนิ้วแผ่ปกคลุมท้องฟ้าจนบรรยากาศมืดลง
แม้จะได้รับการสนับสนุนจากสาวกจนกลายเป็นสันตะปาปาสามสมัยซ้อน แต่ภาวะผู้นำของดาเมี่ยนกำลังไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงในสถานการณ์ตรงหน้า
มือของสตริโอ้ซึ่งแดงประหนึ่งทารกแรกเกิด จะพยายาม ‘ตบ’ หรือไม่ก็ ‘บีบ’ สิ่งมีชีวิตที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่รอบตัว ผลลัพธ์เลวร้ายจนแทบไม่มีใครหลงเหลือความคิดที่จะต่อสู้
“น่ารังเกียจมาก! สิ่งมีชีวิตต่ำช้า!”
แม้กระทั่งผู้นำหน่วยเท็มพล่าซึ่งกำลังกางปีกสีขาวโพลนและเผยตัวจริงให้ทุกคนประจักษ์ ก็ยังถูกสั่นคลอนความเชื่อมั่นไปหลายส่วน
วงแหวนเหนือศีรษะที่แสดงถึงตัวตนอัครเทวทูต ทำการพ่นลำแสงสีขาวซึ่งอัดแน่นด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ปริมาณมหาศาลย่างต่อเนื่อง แต่สุดท้ายก็มิอาจหยุดพฤติกรรมของฝ่ามือสีแดง ทำได้เพียงชะลอให้ช้าลงจากปรกติ
บึ้มมม! บึ้มมม! บึ้มบึ้มบึ้มบึ้ม!!
การเข่นฆ่าฝ่ายเดียวยังคงดำเนินต่อไป
ความดุดันและน่าเกรงขามของฝ่ามือสตริโอ้ ซึ่งสังหารกองกำลังพิทักษ์ป้อมคาลันตันไปเป็นจำนวนมาก ได้ประทับความหวาดกลัวลงในจิตใจทุกคนจนยากจะลบเลือน หลายฝ่ายเริ่มจินตนาการภาพทวีปตะวันตกถูกทำลายด้วยฝ่ามือเพียงข้างเดียว
= แข็งแกร่งยิ่งกว่าซาลอสเสียอีก... ทุกครั้งที่มันตบฝ่ามือลงไป พื้นดินในจุดดังกล่าวจะแบนราบเป็นหน้ากลองทันที…
= แม้แต่กริดก็น่าจะถูกบดเป็นผงในการโจมตีเดียวเช่นกัน
= กระทั่งพาลาดินก็ยังตายในทีเดียว…
พาลาดินของโบสถ์รีเบคก้าขึ้นชื่อในด้านยุทโธปกรณ์อันแข็งแกร่ง เมื่อผนวกเข้ากับบัฟชั้นยอดจากนักบวชและตัวมันเอง ความถึกทนจะเป็นรองเพียงคลาสอัศวินผู้พิทักษ์เท่านั้น ภายใต้สถานการณ์ปรกติ พาลาดินสามารถทำหน้าที่แทงค์ในแนวหน้าได้โดยไม่เคอะเขิน
อย่างไรก็ตาม พาลาดินทุกนายมีอันต้องกลายเป็นแสงสีเทาทันทีเมื่อถูกมือของสตริโอ้บดขยี้
เรียกว่า ‘ฆ่าในหนึ่งที’ คงจะไม่ถูกต้องนัก ควรเรียก ‘สังหารหมู่ในหนึ่งที’ น่าจะเหมาะสมที่สุดแล้ว
ฉากการเข่นฆ่าพาลาดินและนักบวชรีเบคก้าทุกครั้งที่มันเคลื่อนไหว ส่งผลให้หลายฝ่ายเริ่มมองมือของสตริโอ้เป็น ‘ลาสต์บอส’ ของภัยพิบัติคราวนี้
“อิสซาเบล พวกเราควรทำยังไงดี…”
ดาเมี่ยน สันตะปาปาผู้ถูกขนานนามว่า <ราชาอสูรซอมบี้> หลังจากยื้อชีวิตได้นานกว่าสี่ชั่วโมงในการแข่งตะลุมบอนราชาอสูร
ความมั่นใจของมันเคยเพิ่มเป็นทวีคูณหลังจากแข่งรายการดังกล่าวจบ แต่เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ดาเมี่ยนเกิดความหดหู่ประหนึ่งกำลังยืนดูกริดต่อสู้กับสันตะปาปาเดรวิโก้ ดวงตาเต็มไปด้วยของเหลวสีใสเมื่อได้เห็นสาวกเทพธิดากำลังหนีตายอย่างอลหม่านโดยไม่ฟังคำสั่งตน
ขณะกำลังสิ้นหวังและร้องไห้ อิสซาเบลได้กุมมือชายหนุ่มแนบแน่น
“หลวงพ่อไม่ต้องกังวล เทพธิดาจะต้องคุ้มครองพวกเราทุกคนแน่”
หงึกหงึก…
อิสซาเบลอาจไม่ตระหนักถึง แต่ฝ่ามือของเธอกำลังสั่นระริกไม่ต่างจากกิ่งไผ่ลู่ลม
เป็นผลจากการปะทะกับฝ่ามือของสตริโอ้ในจังหวะก่อนหน้า
เมื่อได้เห็นหญิงสาวพยายามปลอบใจตนทั้งที่เธอเองก็กำลังกลัว ดาเมี่ยนเริ่มรู้สึกละอายใจ
มันรีบปาดน้ำตาและกล่าวกับอีกฝ่าย
“เข้าใจแล้ว… ตัวฉันที่เป็นราชาอสูรซอมบี้ จะคอยปกป้องเหล่าสาวกของเทพธิดาไว้เอง!”
ดาเมี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าที่พยายามยิ้มแย้ม
มันกุมฝ่ามืออันสั่นเทาของอิสซาเบลพร้อมกับหยิบปฐมดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมาถือด้วยมืออีกข้าง
แสงสว่างสีทองเริ่มเจิดจรัสแพรวพราว เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์เริ่มแผ่ขยายออกไปทั่วบริเวณ
“หลวงพ่อเป็นราชาอสูร… ซอมบี้?”
“ม…ไม่ใช่! ฉันหมายถึง จะต้องปราบเจ้าราชาอสูรซอมบี้นั่นให้ได้ต่างหาก”
ดาเมี่ยนลืมตัวจนพล่ามเรื่องไร้สาระ ส่งผลให้มันต้องคอยแก้ต่างคำพูดตัวเอง
“ตอนนี้เธอต้องเชื่อมือฉัน!”
ดาเมี่ยนเผยสีหน้าหนักแน่นให้สมกับฐานะสันตะปาปาแห่งโบสถ์
หลังจากนั้น อิสซาเบลและบุตรีแห่งรีเบคก้าที่เหลือต่างลงไปแสดงฝีมืออีกครั้งหลังจากพักฟื้นร่างกายเสร็จ ความวุ่นวายด้านล่างเริ่มบรรเทาลงเล็กน้อย
เมื่อตระหนักว่าหน้าที่ของตนคือการปกป้องพวกเขาเหล่านี้ ดาเมี่ยนเริ่มถ่ายเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในปฐมดาบศักดิ์สิทธิ์
ทันใดนั้น
ครืนนนน!
มือของสตริโอ้ซึ่งกำลังไล่คุกคามอัครเทวทูตประหนึ่งพยายามตบแมลงวัน พลันเบนเป้ามาหาดาเมียนภายในพริบตา
มือของสตริโอ้เปี่ยมด้วยพลังมนต์ดำ
สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ปราศจากเหตุผลและทำตามสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์อันล้นพ้นของสันตะปาปาจึงน่าดึงดูดใจมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด
จึงไม่แปลกที่ดาเมี่ยนผู้มีออร่าเทพธิดาจากคลาส <อัครทูตแห่งเทพธิดา> จะตกเป็นเป้าหมายแรกของจอมอสูร
“ฮะจิเมะมาชิเตะ!” (สวัสดี)
แม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงฝ่ามือ แต่ดาเมี่ยนกลับสัมผัสได้ว่าสายตาทั้งคู่กำลังประสานกัน
ขณะสันตะปาปากำลังหัวเราะแห้งพร้อมกับโบกไม้โบกมือ ฝ่ามือสตริโอ้เริ่มอาละวาดทันที
ด้วยการเคลื่อนโดยใช้นิ้วลากตัวเองไปกับพื้น ฝ่ามือของสตริโอ้ปรี่เข้าใส่ดาเมี่ยนอย่างเกรี้ยวกราดโดยไม่แยแสหน่วยเท็มพล่าและอัครเทวทูตรอบข้างเลยสักนิด
“ย…ย๊ากกกก!”
เป็นความรู้สึกกดดันและถูกข่มขวัญประหนึ่งป้อมปราการทั้งหลังกำลังพังครืน
ดาเมี่ยนซึ่งแหกปากเพื่อเรียกความฮึกเหิม ทำการเหวี่ยงปฐมดาบศักดิ์สิทธิ์ใส่อีกฝ่ายที่มีร่างกายใหญ่มหึมาจนท่วมท้นการมองเห็น
ทันใดนั้น
ปัง!!
ลำแสงสีทองพุ่งทะลวงฝ่ามือสีแดงของสตริโอ้
กึก!
ฝ่ามือสตริโอ้หยุดเคลื่อนไหวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่มันปรากฏตัวหน้าป้อมปราการ
เวทมนตร์สีดำสนิทที่เคยห้อมล้อมฝ่ามือสตริโอ้ไว้ตลอดเวลา บัดนี้เริ่มกระจัดกระจายและจางหายคล้ายกับควันระเหิด
แน่นอน มันชะงักเพียงครู่เดียว
หงึกหงึก.
มือของสตริโอ้เริ่มกลับมาขยับได้อีกครั้ง พร้อมกันกับการรวมตัวของหมอกมนต์ดำ
ทันใดนั้น
ปัง—!
เสียงปืนดังกังวานอีกหนึ่งนัด
เมื่อกระสุนสีสนิมพุ่งผ่านช่องว่างบาเรียเวทมนตร์ซึ่งยังฟื้นฟูกลับมาไม่สมบูรณ์ ฝ่ามือของสตริโอ้มีอันต้องชะงักงันไปอีกหน
เสียงตะโกนของยูร่าทะลุทะลวงโสตประสาทอันพร่ามัวของดาเมี่ยนอย่างแจ่มชัด
“ทำดีมาก! ปล่อยเวทมนตร์ของนายต่อไป!”
“ฮ…ไฮ้!”
สันตะปาปาและนักล่าอสูร
การรวมตัวของสองสุดยอดตัวตนทรงพลังที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ เริ่มฝากรอยแผลลงลบนฝ่ามือขนาดมหึมาของจอมอสูรนามว่าสตริโอ้ ผู้มีเชื่อเรียกขานว่า ‘เทพอสูร’
***
<เขตแดนพายุเพลิงเทพ> คือโลกในจินตนาการของกริด หรือระบุให้ชัดคือ เป็นโลกในจินตนาการซึ่งเกิดจากพลังของฟินิกซ์แดง แต่กริดทำให้กลายเป็นของตัวเองด้วยผลจากหัวใจลำดับ 9
หมายความว่า มิติภายในเขตแดนพายุเพลิงเกิดขึ้นได้เพราะตัวกริด
ทุกสิ่งในมิติดังกล่าวล้วนเกิดจากสติและความนึกคิดของกริดทั้งสิ้น กริดจึงควรเป็นเจ้าของพวกมันทั้งหมด
แต่บีเลธกลับช่วงชิงปราณดาบอนันต์และเปลี่ยนให้กลายเป็นอาวุธตัวเอง
‘ทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้…’
ขัดแย้งกับหลักสามัญสำนึกอย่างรุนแรง
เหตุใดเราจึงสูญเสียสิทธิ์การครอบครองวัตถุในจินตนาการของตัวเอง?
ขณะที่คำถามยังไม่ได้รับคำตอบ
ฉึบ.
กริดซึ่งรอดพ้นการโจมตีจากพายุเศษอิฐหินได้อย่างหวุดหวิด กำลังเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยพร้อมกับตั้งดาบเพื่อเตรียมรับบางสิ่ง
เปรี้ยง!
บีเลธพุ่งเตะด้วยส้นเท้าโดยเล็งไปยังกึ่งกลางหน้าอก แต่ถูกชายหนุ่มอ่านออกและตั้งดาบรับไว้ได้ทันเวลา จากนั้น กริดอาศัยหัตถ์เทวะช่วยป้องกันการโจมตีที่ตามซ้ำเข้ามา พลางกัดฟันกระโดดไปด้านหลังด้วยอิทธิพลของแรงปะทะ
‘แล้วทำไมหัตถ์เทวะถึงไม่ถูกช่วงชิง’
หัตถ์เทวะมีกริดเป็นเจ้าของ
หากประเมินจากสิ่งที่เกิดขึ้น บีเลธก็ควรแย่งหัตถ์เทวะไปเป็นอาวุธของตัวเองและนำมาใช้โจมตีใส่กริด แต่สุดท้ายมันก็มิได้ทำ
แล้วทำไมกับปราณดาบอนันต์ถึงทำได้…
‘หรือว่า…’
หลังจากครุ่นคิดให้มากขึ้น กริดเริ่มพบคำอธิบายของเหตุการณ์สุดฉงน
เรื่องราวความเป็นมาต้องย้อนกลับไปในวันที่มันได้รับปราณดาบอนันต์
[พลังของตัวตนระดับ ‘ตัวตนสัมบูรณ์’ เริ่มแทรกซึมเข้าไปในหัวใจลำดับ 9 ของฟินิกซ์แดง]
[ทักษะ <เขตแดนพายุเพลิงเทพ> จะแสดงผลเอฟเฟค <ปราณดาบอนันต์> เพิ่มเติม]
ข้อความระบบกล่าวไว้อย่างชัดเจน
ปราณดาบอนันต์ในเขตแดนพายุเพลิงเทพคือพลังซึ่งถูกถ่ายทอดมาจากตัวตนระดับตัวตนสัมบูรณ์ โดยในบริบทนี้กำลังกล่าวถึงฮายาเตะ
หรือก็คือ กริดมิได้เป็นผู้สร้างหรือเป็นเจ้าของปราณดาบอนันต์ เพียงแต่ฮายาเตะให้ยืมมาเก็บไว้ในโลกจินตภาพเพื่อใช้งาน
‘เข้าใจแล้ว เป็นเหตุผลว่าทำไมบีเลธถึงเปลี่ยนพวกมันเป็นอาวุธได้ เพราะฮายาเตะไม่อยู่แถวนี้ สถานะปัจจุบันจึงกลายเป็นไม่มีเจ้าของ..’
กริดหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตและพบว่าบีเลธไม่สามารถขโมย ‘ไฟ’ ของตนไปเป็นพลัง
‘สรุปว่าเราใช้งานปราณดาบอนันต์ไม่ได้…’
เช่นนั้นแล้ว เราควรปราบเจ้าสัตว์ประหลาดนี่อย่างไร…?
ขณะกำลังครุ่นคิดเค้นสมอง ร่างกายกริดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีขาวโพลน
ในที่สุด <เทพสายฟ้า> ก็แสดงผล
สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ต้องขอบคุณทักษะติดตัว <แปรธาตุอัตโนมัติ> จากอักขระเฟย์ริส รวมไปถึงการป้องกันที่มีประสิทธิภาพจากหัตถ์เทวะ หากไม่มีทั้งสองสิ่งที่กล่าวมา กริดจะถูกบีเลธกระหน่ำโจมตีจนไม่มีช่องว่างให้ <เทพสายฟ้า> แสดงผล
เปรี้ยง! ครืน—!
ชายหนุ่มซึ่งตกเป็นรองในการต่อสู้มาตลอด ได้รับโอกาสตอบโต้เมื่อเสียงฟ้าคำรามดังกังวาน
มันทราบจุดอ่อนของบีเลธมาสักพักแล้ว
‘การโจมตีทั้งหมดของบีเลธล้วนเป็นพลังทางกายภาพ นอกเสียจากว่าเราจะใช้เวทมนตร์จนถูกมันขโมยไปใช้งาน’
เวทมนตร์ถือเป็นโพรเจกไทล์เหมือนกับปราณ
และบีเลธไม่เคยใช้เวทมนตร์ตัวเองให้กริดเห็น
เนื่องจากมันเอาแต่กระหน่ำโจมตีด้วยอิฐหินจากเศษซากกำแพงป้อมปราการ กริดจึงประเมินว่าบีเลธคงใช้เวทมนตร์ไม่ได้ ยกเว้นแต่จะมีใครอุตริร่ายมนตร์ให้มันขโมยมาใช้
หรือก็คือ กริดในร่างเทพสายฟ้าจะไม่ได้รับอันตรายใดทั้งปวง
“ “…!” ”
ไม่ผิดจากที่คาด
การโจมตีทั้งหมดของบีเลธพุ่งผ่านร่างกายสายฟ้าไปโดยไม่เกิดอันตราย
เมื่อเห็นบีเลธเผยความอึดอัดใจเป็นหนแรก ในใจกริดเริ่มเกิดความตื่นเต้น
“เสมือนเทพ”
ต้องถ่วงเวลาให้ครบ 13 นาที?
“ดึงศักยภาพซ่อนเร้น”
ผิดแล้ว… เราจะฆ่ามัน!
ฟุ่บ!
บึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้ม!
ในการต่อสู้คราวก่อน คลื่นทำลายล้างร่ายรำสังหารใช้งานไม่สำเร็จเนื่องจากกริดถูกบีเลธช่วงชิงปราณดาบอนันต์ ส่งผลให้ระยะหน่วงยังไม่ถูกนับถอยหลัง
แต่เหตุการณ์หนนี้ก็มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเช่นกัน กริดที่หวังว่าตนจะได้ชิงความได้เปรียบมาครองสำเร็จ กลับถูกหยุดด้วยมนต์ดำซึ่งพุ่งออกจากวงแหวนห้าแฉกที่บีเลธวาดขึ้น
บึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้ม!!
“ค…แค่ก!”
การโจมตีทางกายภาพมิอาจทำอันตรายแก่ร่างเทพสายฟ้าได้ก็จริง แต่ถ้าเป็นเวทมนตร์แล้ว ความเสียหายจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าโดยที่ไม่คิดคำนวณค่าต้านทาน
มนต์ดำของบีเลธทะลวงร่างกริดราวกับเป็นของแสลงจากชาติปางก่อน การโจมตีดังกล่าวหนักหน่วงจนยากจะพยุงตัวลุกยืนภายในระยะเวลาอันสั้น
บีเลธย่างกรายอย่างเลือดเย็นทีละก้าว ดวงตาจ้องมองร่างกายอันยับเยินของกริดซึ่งกำลังนั่งอาเจียนเป็นเลือด
“ “เจ้าคือมนุษย์ที่มีพรสวรรค์สูง หากโรนอฟหรือดันทาเลียนต้องรับมือกับเจ้า เกรงว่าพวกมันคงมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก” ”
สีหน้าบีเลธปราศจากความโกรธเคือง
ศัตรูของมันคือมนุษย์ที่เก่งกาจพอจะเอาชนะจอมอสูรหลัก 20 ได้ตามลำพัง
มันจึงพึงพอใจอย่างมากเมื่อได้สู้กับบุคคลที่อาจกลายเป็นมุลเลอร์ในอนาคต
ขณะบีเลธฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับเล็งปลายนิ้วไปยังหัวใจกริดที่สูญเสียร่างเทพสายฟ้า
ครืนนนนนน!!
“ “…!!” ”
พื้นดินในจุดที่บีเลธเคยยืนพลันอันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน
ร่างของบีเลธผู้ปราศจากการเตรียมตัวหรือระวังภัยล่วงหน้า ร่วงหล่นลงไปยังใต้ดินด้านล่างที่ไม่มีใครทราบความลึกแน่ชัด
กริดรีบพยุงตัวลุกขึ้นเมื่อแผนการสำเร็จ และแน่นอน ชายหนุ่มไม่พลาดโอกาสที่จะถุยน้ำลายลงไปในหลุม
“ถุด! ทีหลังหัดเดินดูตาม้าตาเรือบ้าง”
ทักษะสำหรับเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ
มันคือพลังสุดโกงของร่าง <เทพธรณี> ที่จะช่วยยืดเวลาการดวลระหว่างกริดกับบีเลธออกไป
ตอนนี้เหลืออีกเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น
ฉากการต่อสู้ระหว่างท้องฟ้ากริดกับจอมอสูรลำดับ 13 ราชาคลั่ง·บีเลธ ได้สร้างความประทับใจและมอบอารมณ์อันหลากหลายให้ผู้ชมทั่วโลก
มีการถุยน้ำลายใส่ศัตรูอีก 🤣🤣🤣
ReplyDeleteโคตรแสบอ่ะ 5555+
ReplyDeleteสู้ไม่ได้ขอเกรียนใส่เลยแล้วกัน ถุดๆ
ReplyDelete