จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,251



‘ถึงอย่างไร พวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน’


มนุษย์มีหลายเผ่า


บางเผ่ามีผิวหนังไม่ปรกติ บางเผ่ามีลักษณะทางกายภาพไม่ปรกติ แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่ควรมีเผ่าใดถูกลบหลู่วัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่


อย่างไรก็ตาม อดีตจักรพรรดิทุกพระองค์กลับแสดงท่าทีดูแคลนชนเผ่าอื่นอย่างชัดเจน ประหนึ่งอีกฝ่ายเป็นคนเถื่อนและตัวเชื้อโรค


นั่นคือจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมความเจ็บปวดและความตายอันยาวนานหลายร้อยปี


“หยุดทัพ”


เผ่าฮู ผู้มีขาสั้น หลังค่อม


เนื่องจากโครงสร้างทางกายภาพเป็นเช่นนี้ การเดินทางจึงต้องพึ่งพาไม้ค้ำเป็นหลัก ส่งผลให้ความเร็วเคลื่อนทัพค่อนข้างเชื่องช้าเมื่อเทียบกับเผ่าอื่น ใครหลายคนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าเหนื่อยหอบของเผ่าฮูด้านหลังสุด บางคนสบถถึงความน่ารำคาญและการเป็นตัวถ่วง


แต่จักรพรรดินีบาซาร่ามิได้คิดเช่นนั้น


หลังจากสั่งให้ทัพหลวงหยุดชั่วคราว หญิงสาวเปล่งเสียงกล่าวกับทุกคน


“พวกเรายังเหลือเวลาในการเดินทางอีกมาก กรุณาช่วยหยุดรอเผ่าฮูด้วย เพราะนั่นคือเหตุผลว่าทำไม เราถึงต้องออกเดินทางเร็วกว่าปรกติ”


อย่าได้ทำให้ผู้อื่นเสียความรู้สึกด้วยวาจา เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เป็นฝ่ายจักรวรรดิเสียเองที่ขอร้องให้เผ่าฮูเข้าร่วมศึกนี้


นั่นคือความนัยของบาซาร่า


เมื่อตักเตือนทุกคนเสร็จ หญิงสาวหันไปโค้งศีรษะให้หัวหน้าเผ่าฮูเล็กน้อย


สีหน้าของอีกฝ่ายเผยอารมณ์ซับซ้อน


“…ขอบคุณมาก”


“อย่าได้กล่าวเช่นนั้น พวกเราต่างหากที่สมควรแสดงความขอบคุณ”


ชาวเผ่าฮูมีจำนวนไม่ถึง 1,000 คน


เป็นผลพวงจากการถูกจักรวรรดิกดขี่และกีดกันจากโลกภายนอกมานาน


แต่ถึงอย่างนั้น พวกมันกลับยังนำพาสังขารที่บกพร่อง ออกมาต่อสู้เพื่อสันติภาพของโลก


จักรพรรดินีบาซาร่านับถือหัวจิตหัวใจคนเหล่านี้จากก้นบึ้ง พวกเขาคือชนเผ่าที่กล้าสลัดความเคียดแค้นต่อจักรวรรดิ และยอมเข้าร่วมกองทัพปราบจอมอสูรด้วยร่างกายที่ไม่เหมือนกับมนุษย์ปรกติ


“ฝ่าบาท ถึงแล้วขอรับ”


คำกล่าวของบาซาร่าไม่ผิดเพี้ยน


แม้การเดินทางจะล่าช้าลงไปบ้าง แต่กองทัพพันธมิตร 5 อาณาจักรและบรรดาชนเผ่าต่าง ๆ ได้เคลื่อนพลมาถึงเป้าหมายทันเวลา


คลองฮาสพัช


หนึ่งในสถานที่อันโด่งดังของอาณาจักรอาร์ค


แม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านใจกลางเมือง นอกจากจะงดงาม กลับยังสงบนิ่งจนน่าเหลือเชื่อ ประหนึ่งกาลเวลาที่นี่ถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์


“อพยพชาวเมืองหมดแล้วหรือยัง”


เมื่อบาซาร่า ผู้ปืนขึ้นไปบนสันเขาเพื่อให้เห็นภาพของเมืองในมุมสูง ส่งเสียงถาม เคลปาโต้ หนึ่งในดยุคแห่งอาณาจักรอาร์ค มอบคำตอบด้วยท่าทีสุภาพนอบน้อม


“ขอรับ ฝ่าบาทมหาจักรพรรดิ พวกเราส่งทหารเข้าไปอพยพชาวเมืองเรียบร้อยแล้ว”


สายตาบาซาร่าเพ่งไปยังมุมหนึ่งของเมือง


“ถ้าตาของฉันไม่ฝาด ตรงนั้นยังมีคนอยู่”


“พวกมันคือคนจน อาณาจักรเรามีเวลาและกำลังคนไม่มากพอจะขับไล่ทั้งหมดได้ทัน ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสอันดีในการลงโทษคนจนเหล่านั้น ที่มักก่อคดีลักเล็กขโมยน้อยอย่างต่อเนื่อง และสร้างความเสียหายมาเป็นเวลานาน”


“พวกเขาไม่มีทางเลือก ต้องทำผิดกฎหมายเพียงเพราะความหิวโหยเป็นเหตุ อาณาจักรของท่านต่างหากที่เป็นสาเหตุให้พวกเขาอดอยาก”


หลังจากบาซาร่ากล่าวอย่างเย็นชา เกล็นฮาล ราชาอมตะ ช่วยพูดเสริม


“เมืองที่มีสภาพแวดล้อมเป็นคลองเช่นนี้ ฉันไม่น่าจะขาดแคลนงานการให้ชาวเมือง คงเป็นเพราะอาณาจักรมากกว่าที่ขูดรีดภาษีในอัตราสูง สลัมจึงเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก”


“นั่นเป็นนโยบายของอาณาจักร กระหม่อมเองก็มิอาจขัดขืน…”


“ช่างมันเถิด สำหรับตอนนี้ รีบส่งคนเข้าไปอพยพพวกเขาโดยเร็ว”


บาซาร่าพูดขัดจังหวะเคลปาโต้


เมื่อสิ้นเสียงเธอ เหล่าทหารของกองทัพจักรวรรดิต่างรีบรุดหน้าเข้าไปในเมือง


ขณะเวลาเดียวกัน มอริส ผู้เป็นหัวหอกคนสำคัญของทัพหน้า หันไปตะคอกใส่ทหารอาร์คที่เอาแต่ยืนเฉยโดยไม่คิดจะทำอะไร


“พวกแกไม่คิดจะช่วยคนของอาณาจักรตัวเองบ้างหรือ? มัวรออะไรอยู่! ตามข้ามาเร็วเข้า!”


“ขอรับ!”


โดยไม่รอคำสั่งจากเคลปาโต้ ทหารอาร์ครีบจัดกระบวนทัพและวิ่งตามเข้าไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย คอยรับคำสั่งจากดยุคแห่งจักรวรรดิ มอริส ราวกับเป็นหัวหน้าตัวเอง


ขณะเคลปาโต้กำลังยืนหน้าถอดสี เรเชลเดินเข้ามากระซิบข้างใบหู


“ฉันเข้าใจนาย… บ้านเมืองไม่ควรปกป้องคนทำผิดกฎหมาย ทุกที่ล้วนมีคนรวยและคนจน ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์เอาความจนมาบังหน้า ไม่เว้นแม้แต่จักรวรรดิซาฮารันอันยิ่งใหญ่”


“ท…ท่านดยุค”


สีหน้าเคลปาโต้พลันเบิกบาน


ตัวที่มันรู้สึกกระอักกระอ่วนกับนโยบายขายฝันในอุดมคติของจักรพรรดินี เริ่มชุ่มชื่นหัวใจเมื่อได้ยินใครสักคนแสดงความเห็นตรงกับจุดยืนของอาณาจักรอาร์ค


เรเชลยังคงจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา


“แต่ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครหน้าไหนมีสิทธิ์ฝ่าฝืนคำสั่งอันเด็ดขาดของมหาจักรพรรดินีได้ สถานการณ์ภายในอาร์คไม่เกี่ยวกับพวกเรา”


“….”


จักรพรรดินีบาซาร่ามีนิสัยเป็นมิตรและค่อนข้างอ่อนโยน สาเหตุที่จักรวรรดิเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ส่วนหนึ่งเพราะมีเธอคอยขยับเคลื่อนอย่างขยันขันแข็ง


แต่ในความเป็นจริง ความใจดีและเป็นมิตรเพียงอย่างเดียว จะช่วยเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้จริงหรือ?


คำตอบคือไม่


หากทำเพียงคอยดูแลเอาใจใส่ประชาชนอย่างเป็นมิตร จักรวรรดิไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้แน่ จำเป็นต้องมีความแข็งกร้าวและอำนาจที่เด็ดขาดเพื่อคอยใช้ข่มขวัญ


“หากฝ่าฝืนคำสั่งมหาจักรพรรดินีและตัดสินใจโดยพลการอีกเพียงหนเดียว อาณาจักรอาร์คต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้”


“…กระหม่อมจะจำใส่ใจขอรับ!”


ซ่าาาา—!


ขณะเรเชลเพิ่งข่มขวัญขุนนางอาร์คแทนจักรพรรดินีบาซาร่าเสร็จ เสาวารีต้นหนึ่งพลันผุดขึ้นจากใจกลางคลอง พุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ


ทันใดนั้น หมอกสีแดงเข้มข้นเริ่มแพร่กระจายออกไปรอบเมือง


ไม่มีใครสามารถควบคุมการขยายตัวของมัน หมอกแดงปริศนาเริ่มลอยไปปกคลุมในเขตสลัมของเมือง ใครก็ตามที่สูดลมหายใจเข้าไป จะมีอันต้องกลายเป็นมอนสเตอร์พร้อมกับเสียงโหยหวน


เรเชลย้ำเตือนเคลปาโต้อีกครั้ง


“เห็นหรือยัง… การขัดคำสั่งจักรพรรดินีไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดเลยสักนิด”


“กระหม่อมจะจำใส่ใจไปจนวันตายขอรับ!”


จอมอสูรลำดับ 27 โรนอฟ


เคลปาโต้อาจทราบว่า โรนอฟสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นหมอกสีแดง*ซึ่งกระจายออกไปเป็นบริเวณกว้าง แต่มันย่อมคาดไม่ถึงว่า คนที่สูดดมเข้าไปจะกลายเป็นมอนสเตอร์และหันมาทำร้ายพวกเดียวกัน


(*ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง ตอน 1248 ผมแปลไปว่า ‘โรนอฟสามารถกลายร่างเป็นกบสีแดง’ ตรงนี้เป็นความตาลายของผมเอง ด้วยความคล้ายกันของตัวอักษร)


แน่นอน เรื่องที่มนุษย์จะกลายเป็นมอนสเตอร์หลังจากสูดดมหมอกแดง แม้แต่บาซาร่าก็ยังไม่ทราบมาก่อน


เพราะข้อมูลของโรนอฟถูกบันทึกไว้น้อยมาก


ขณะเดียวกัน จักรพรรดิบาซาร่ารีบตะโกนออกคำสั่ง สายตาจ้องไปยังหมอกสีแดงที่กำลังลอยมาทางกองทหารของจักรวรรดิและอาร์คซึ่งกรูเข้าไปเตรียมช่วยคนในสลัม


“เผ่าฮู ฝากจัดการด้วย!”


กริ๊ง! กริี๊ง!


กริ๊ง! กริี๊ง!


เสียงกระดิ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงคำสั่ง


ต้นเสียงมาจากกระดิ่งที่ติดปลายไม้ค้ำ ซึ่งชาวเผ่าฮูกว่าพันคนเดินลากเป็นระยะทางไกล


พิธีกรรมอัญเชิญเทพพื้นเมือง—ตัวตนที่เคยถูกจักรวรรดิตราหน้าว่านอกรีต—กำลังเริ่มขึ้น


『เป็นหมอกที่ดูอันตรายมากครับ…』


ฟ้าววววววววว!


ท่ามกลางเสียงกระดิ่งที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง สายลมกระโชกพลันพวยพุ่งออกจากภาพเสมือนของเทพลึกลับองค์หนึ่ง ที่ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับ ‘เบิกเนตร’ ชั่วขณะ ก่อนจะเลือนหายไปโดยสมบูรณ์


สายลมรุนแรงพัดสวนทิศทางของหมอกพิษสีแดงเข้ม ส่งผลให้กลุ่มทหารของจักรวรรดิและอาณาจักรอาร์ครอดตัวอย่างหวุดหวิด


พิธีกรรมของชาวเผ่าฮูนับว่ามีประสิทธิภาพสูงจนน่าเหลือเชื่อ


เหล่าทหารกองทัพจักรวรรดิ ผู้ถูกอดีตมหาจักรพรรดิฮวนเดอร์ปิดหูปิดตามาตลอดว่าเทพนอกรีตเป็นฝ่ายชั่วร้าย พลันอ้าปากกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา และเริ่มตระหนักถึงบุญคุณที่ตนได้รับการช่วยชีวิตเอาไว้


“เซฮี พยายามเข้า ไม่ต้องเกร็งนะ”


“จะไม่ทำให้ผิดหวังค่ะ!”


ในสงครามครั้งนี้ ไพ่เด็ดที่บาซาร่าเตรียมไว้รับมือโรนอฟ มิได้มีเพียงชาวเผ่าฮู


นักบุญหญิงรูบี้ ผู้ถูกบาซาร่าขอร้องให้มารับมือกับโรนอฟเป็นการเฉพาะ พลังของเธอสามารถ ‘ขจัดอาการผิดปรกติ’ ที่เกิดจากหมอกพิษได้ ขอเพียงอยู่ในระยะการรักษา ทหารของจักรวรรดิและอาร์คก็จะรอดชีวิตกลับไป


ว่ากันตามตรง รูบี้ค่อนข้างประหม่า


เพราะไม่ว่าเธอจะมีประสบการณ์มากเพียงใด แต่คงไม่เคยเผชิญสีหน้าอันเจ็บปวดทรมานของทหารหลายพันนายพร้อมกันมาก่อน


แต่โชคยังพอเข้าข้าง หมอกพิษอันตรายถูกสายลมรุนแรงพัดพาจนกระจัดกระจายชนิดไม่เหลือเค้าเดิม


ความสำเร็จของเผ่าฮูไม่เพียงจะช่วยชีวิตผู้คนได้จำนวนมาก แต่ยังชวยให้รูบี้ผ่อนคลายความกังวลในใจ


“คึฮ่าฮ่า!! นี่มันอะไรกัน ทำไมแกถึงไม่รีบเปลี่ยนกลับเป็นหมอกสีแดงอีกครั้ง? คิดจะสู้กับมนุษย์จำนวนมากด้วยร่างนี้จริงหรือ? คุณจอมอสูรลำดับ 27!!”


“จากการคาดเดา พิธีกรรมของเผ่าฮูทำให้มันไม่สามารถแปลงเป็นหมอกได้ชั่วขณะ”


“งั้นก็หวานหมูสิวะ!”


ได้ยินเช่นนั้น เหล่าแรงเกอร์ที่เข้าร่วมกับกองทัพพันธมิตร เริ่มลงมือประสานงานกับเหล่าเจ็ดดยุคแห่งจักรวรรดิ ซึ่งทุกคนล้วนเคยเผชิญหน้าจอมอสูรมาแล้ว


แถมคราวก่อนยังเป็นเฟย์ริส จอมอสูรลำดับ 22 ซึ่งเหนือชั้นกว่า 27 พอสมควร


“ทหารทุกนาย บุกเข้าไป!”


“เฮ—!!”


ตามหลักสามัญสำนึก สิ่งมีชีวิตที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างขณะต่อสู้ ร่างในยามปรกติจะอ่อนแอกว่าพอสมควร


โรนอฟที่ถูกสายลมของเผ่าฮูสะกดจนอยู่หมัด ชนิดมิอาจร่างเปลี่ยนเป็นหมอกแดง ย่อมไม่สามารถทานรับการโหมกระหน่ำที่มีดยุคจักรวรรดิเป็นแกนนำไหว


***


หัตถ์พิสดาร ซาลอส


จอมอสูรหลัก 10 ที่ไม่เคยมีใครเห็นหน้าค่าตามาก่อน ความสามารถของมัน อยู่นอกเหนือจินตนาการของผู้เล่นทุกคนไปไกลมาก


แม้จะมาในรูปโฉมมนุษย์ปรกติที่แทบไม่ปรากฏความเน่าเฟะหรือน่าสะอิดสะเอียน แต่แรงข่มขวัญมหาศาลที่แผ่ออกมา กลับแตกต่างจากจอมอสูรหลัก 20 ราวฟ้ากับเหว


หากผู้เล่นคนใดสบตาเข้า โดยมากมักทนรับแรงข่มขวัญไม่ไหวจนต้องก้มทรุดลงไปคุกเข่า


『มีผู้เล่นไม่ถึง 20 คนที่สามารถยืนหยัดทนรับแรงข่มขวัญของซาลอสได้ครับ!』


ทุกคนที่มารวมตัวในป้อมริชาร์ดนั้นไม่ธรรมดา ถึงจะเป็นแรงเกอร์ปกปิดตัวตน แต่เกือบทั้งหมดก็มีอันดับไม่เกินหนึ่งหมื่น


โดยเฉพาะแนวหน้าซึ่งมีชื่อเสียงหลายคน จำพวกไวท์ แบล็ก ทาร์ม่า หรือไนท์ ทุกคนจึงประเมินว่าป้อมแห่งนี้คงยื้อไว้ได้นานพอสมควร


แต่สถานการณ์กลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง


เกือบทุกคนหมดสภาพก่อนจะได้เริ่มสู้


ไม่เพียงเท่านั้น ทาลอสยังมีอุปนิสัยรอบคอบเป็นอย่างมาก


แตกต่างจากจอมอสูรตนอื่นที่มักมองมนุษย์เป็นมดปลวกและไม่มัวเสียเวลาฆ่าทิ้งทีละคน ซาลอสกลับไม่ปล่อยปัจจัยที่อาจทำให้มันพ่ายแพ้มีลมหายใจต่อไป หากใครถูกข่มขวัญด้วยจิตสังหาร มันผู้นั้นจะถูกเชือดทิ้งอย่างไร้ความปรานีทันที เป็นแผ่นลดจำนวนศัตรูลงเรื่อย ๆ


นิสัยเช่นนี้นับว่าผิดความคาดหมายอย่างมาก


ลงเอยด้วย แรงเกอร์ระดับหัวกะทิจำนวน 18 คนต้องเพ่งสมาธิมากเป็นพิเศษ


พวกมันไม่ต้องการให้กำลังฝ่ายตัวเองลดจำนวนลงเร็วเกินไป จึงพยายามป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ล้างสังหารจากซาลอส


แต่ปัญหาคือ


เปรี้ยง!


“…อึ่ก!”


พลัง ‘พิสดาร’ ของซาลอสนั้นขัดต่อหลักเหตุและผลอย่างมาก


หากกำปั้นของมันปะทะกับสิ่งใด ซาลอสจะได้รับใช้ชัยชนะ ‘โดยไม่มีเงื่อนไข’


มันใช้กำปั้นชกทำลายทุกการโจมตีที่พุ่งเข้ามาหาตัว พร้อมกับลงมือตอบโต้จนฝ่ายมนุษย์ได้รับบาดเจ็บสาหัส


สิ่งที่เรียกว่า ‘การต่อสู้’ ยังไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งหมดเป็นเพียงการรังแกฝ่ายเดียว


“นี่มัน… แม้แต่สวนกลับก็ยังทำไม่ได้!”


“ลอบโจมตีทีเผลอก็ไม่ได้.. แล้วต้องสู้ยังไง”


ทาร์ม่าซักถามด้วยเสียงเย็นชา ตามร่างกายมีบาดแผลที่เกิดจากการลองผิดลองถูก


ส่วนใหญ่จะลองผิด


ขณะบรรยากาศภายในป้อมเริ่มห่อเหี่ยว


ฉึบ…


เงาดำจุดหนึ่งโผล่เหนือศีรษะซาลอส พร้อมกับใช้เคียวเกี่ยวลำคอจอมอสูรสุดแกร่งด้วยความว่องไวที่ยากจะมองตาม


เมื่อเห็นแผนการลอบสังหารประสบผลสำเร็จ ทาร์ม่าทำได้เพียงยืนอ้าปากค้างอย่างหมดคำพูด


<ทูตความตาย> สิ่งนี้คือท่าไม้ตายของไนท์


ลำคอของซาลอสอาจดูคล้ายกับถูกเกี่ยวขาด


แต่ในความเป็นจริง


“ฮึ!”


เมื่อความเย็นจากโลหะเริ่มสัมผัสกับผิวหนัง ซาลอสพลันเกร็งคอรับคมเคียว จนกระทั่งอาวุธสีดำขนาดมหึมาเกิดหักครึ่งท่อน


ดวงตาของไนท์ ผู้กำลังซ่อนตัวในความมืด พลันเบิกกว้างอย่างเหนือความคาดหมาย


เปรี้ยง!!


แทบจะในวินาทีเดียวกัน กำปั้นซาลอสพุ่งเข้าไปในเงามืด กระแทกชายโครงไนท์เต็มแรง


ชุดเกราะคุณภาพสูงแตกละเอียดในพริบตา เสียงกระดูกหักดังลั่น ชนิดที่ไม่มีใครเชื่อว่าไนท์จะกลับมายืนได้อีก


“บ้าบอสิ้นดี…”


จะให้สู้กับสัตว์ประหลาดตนนี้ด้วยวิธีใด?


บรรดาผู้เล่นที่พยายามเอาชนะแรงข่มขวัญเพื่อกลับไปมีส่วนร่วมกับสงคราม ต่างพากันยืนตัวแข็งในตำแหน่งเดิม


แต่ไหนแต่ไร พวกมันไม่เคยมีมิตรภาพระหว่างกันมาก่อน ภายในใจจึงเริ่มใคร่ครวญอย่างจริงจังว่า มันคุ้มแล้วหรือ ที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับสัตว์ประหลาดซึ่งไม่มีวันชนะ


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทางเลือกฉลาดกว่าก็คือ การหันหลังเผ่นหนีไปให้ไกล เพราะถึงภารกิจจะไม่ลุล่วง แต่อย่างน้อยต้องก็ไม่ต้องเสียอะไร


แล้วไม่กลัวว่าจะถูกคนทั่วโลกตีตราว่าเป็นพวกปวดแหกางหรือ?


คำตอบคือไม่


พวกปอดแหกที่เอาแต่นั่งดูจากทีวี มีสิทธิ์วิจารณ์คนที่พยายามเสี่ยงชีวิตในสนามรบจริงด้วยหรือ?


ไม่มีอะไรน่าขันกว่านี้อีกแล้ว…


ทันใดนั้น กลุ่มคนที่วิ่งหนีพลันชะงักฝีเท้า


กึก. กึก. กึก.


สาเหตุที่ทำให้ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่


อดีตชายผู้ถูกยกย่องว่าท้องฟ้า


อริยดาบครอเกล กำลังเยื้องย่างผ่านสมรภูมิ


ย่างก้าวอาจไม่รีบร้อน แต่สายตากลับมองตรงไปทางซาลอสอย่างไม่สั่นคลอน แม้อีกฝ่ายจะโค่นท็อปแรงเกอร์มาแล้วหลายพันคนก็ตาม


“โฮ่… สายตาน่าสนใจ ข้าจะจบชีวิตให้เจ้าอย่างสมเกียรติก็แล้วกัน”


ซาลอสกล่าวชมเชยความกล้าหาญของชายผมดำที่ย่างกรายเข้าหาตนอย่างไม่เกรงกลัว ตามด้วยการหายตัวเข้าประชิดอีกฝ่าย และประเคนกำปั้นใส่จุดตายทันที


ชิ้ง.


ครอเกลใช้ดาบพูดแทน


ด้วยท่วงท่าอันสมบูรณ์แบบหมดจด คมดาบถูกตวัดใส่กำปั้นของซาลอสได้ดังใจปรารถนา


ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้


แม้กระทั่งซาลอสก็ยังยิ้มมุมปากอย่างเอ็นดู


แต่


ฉัวะ—! ฉูดดดด!


ทุกสิ่งเปลี่ยนไปเมื่อกำปั้นของซาลอสบังเกิดความรู้สึกปวดแปลบแสนสาหัส


‘ฟันข้าได้…?’


ดวงตาทั้งสองข้างของซาลอสเริ่มสั่นระริก


ครึก…


ผืนดินเริ่มสะเทือน


ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ซาลอสรีบหันไปมองด้านหลังเมื่อตระหนักถึงความผิดปรกติ


ครืนนนน….


ครืนนนนน—!!


‘โลก’ ด้านหลังถูกแยกออกมาเป็นสองส่วน


“ “อริย…ดาบ!” ”

\
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,646
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00