จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,252



ฉึบ.


ภาพการมองเห็นฝั่งซ้ายลื่นไถลลง


ฉึบ.


ภาพการมองเห็นฝั่งขวาแยกออกจากกัน


ในสายตาของซาลอส ทัศนียภาพในดวงตาทั้งสองข้างเริ่มไม่สอดคล้อง


หลังจากได้เห็นภาพอันน่าเหลือเชื่อที่โลกถูกผ่าออกเป็นสองซีก มันเพิ่งตระหนักได้เมื่อสาย


“อริย… ดาบ!”


นั่นคือตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ตรงหน้า


ฉูดดดดดด!!


น้ำพุเลือดสีแดงสดฉีดพุ่งออกจากบริเวณหน้าผากของจอมอสูรซาลอส—ผู้ถูกฟันขาดออกเป็นสองท่อนอย่างเท่าเทียมในแนวตั้ง


อวัยวะภายในสีดำสนิทร่วงหลุดจากลำตัวอย่างน่าขนลุก เป็นภาพที่ชวนให้นึกถึงความตายได้เพียงอย่างเดียว


『ล…เหลือเชื่อ!』


『จอมอสูรลำดับ 19… แค่ทีเดียว…』


หลังจากสิ้นสุดยุคสมัยของมุลเลอร์ นามแห่งอริยดาบมีน้ำหนักต่อโลกใบนี้อย่างมาก


ไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า โลกมนุษย์เคยถูกปกป้องไว้หลายครั้งหลายหนด้วยฝีมือของอริยดาบ (มุลเลอร์)


แตกต่างจากแพ็กม่าที่ต่อสู้ตามลำพังในมุมอับซึ่งไม่มีใครช่วยเป็นพยาน อริยดาบ (มุลเลอร์) สลักชื่อของตัวเองลงบนประวัติศาสตร์ได้เพราะมันร่วมต่อสู้กับมวลมนุษย์เรื่อยมา


และในวินาทีนี้ โลกกำลัง


= สมกับเป็นอริยดาบ!!


= ก็อดครอเกล!!


ไม่มีใครเคลือบแคลงอีกแล้วว่า ครอเกลจะเป็นผู้สืบสานตำนานของมุลเลอร์คนต่อไป


ฝีมือทัดเทียม ‘ท้องฟ้า’


จุดสูงสุดของผู้เล่นที่มีเพียงกริดเอื้อมถึง บัดนี้ครอเกลเริ่มย่างกรายเข้าไปในขอบเขตดังกล่าวทีละนิด


“มังกรดินผงาด!”


เปรี้ยง—!


เขาเติบโตขึ้นมากเพียงใด?


ครอเกลผู้สร้างปาฏิหาริย์เหนือจินตนาการด้วย ‘ดาบผ่ามิติ’ ที่สะบั้นโลกออกเป็นสองซีก ยังไม่นิ่งนอนใจกับการโจมตีแรก รีบซ้ำซาลอสต่อทันทีโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายพักหายใจ


ปราณดาบที่พุ่งขึ้นจากพื้นดินกำลังแยกออกเป็นสองส่วน กระจายตัวพุ่งเข้าหาซาลอสที่ร่างกายถูกแบ่งออกเป็นสองซีก ใครได้เห็นฉากดังกล่าวคงคิดเหมือนกันทุกคนว่า ซาลอสต้องกลายเป็นซากขี้เถ้าในอีกไม่กี่อึดใจ


จอมอสูรลำดับ 19 กำลังจะถูกสังหารด้วยฝีมือของผู้เล่นเพียงคนเดียว


ขณะทุกคนกำลังใจจดใจจ่อกับเหตุการณ์ที่จะกลายเป็นตำนานเล่าขานไปอีกหลายปี


ซู่ว—!


โลหิตแดงฉานหลายหมื่นหยดที่พุ่งออกจากกึ่งกลางหน้าผากซาลอส เริ่มแข็งตัวและไหลย้อนกลับไปหาเจ้าของร่างทีละนิด


『…!』


= …!


ประหนึ่งวิดีโอถูกฉายย้อนหลัง


อวัยวะภายในของซาลอสเริ่มลอยกลับเข้าร่างกายตามเดิม ทุกส่วนกลับคืนสู่ตำแหน่งปรกติ ร่างซาลอสที่เคยขาดออกเป็นสองท่อน เริ่มผสานติดกันอย่างเรียบเนียนปราศจากรอยต่อ


หากในจุดที่มันยืนไม่มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนอย่างน่าหวาดเสียว คนทั่วโลกคงพร้อมจะเชื่อว่า ซาลอสที่ถูกฟันขาดไปเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา


แปะ แปะ แปะ


ความประทับใจของซาลอสถูกกลั่นกรองจนออกมาเป็นภาษากาย


มันฉีกยิ้มกว้างพลางปรบมือ บรรยากาศรอบตัวเป็นไปอย่างผ่อนคลาย


“ไม่ผิดแน่ นี่คือพลังของอริยดาบ… เจ้าคือผู้สืบทอดของมุลเลอร์ใช่ไหม ข้าไม่ได้รู้สึกสนุกเช่นนี้มานานแล้ว”


แต่ไหนแต่ไหน ชื่อของมนุษย์ที่สามารถสั่นคลอนขุมนรกมีเพียงอเล็กซ์และมุลเลอร์


ความกระวนกระวายของจอมอสูรทั้ง 33 ตนล้วนมีต้นตอมาจากสองคนดังกล่าว


แล้วแพ็กม่าผู้สามารถปกป้องหมู่เกาะเบเฮ็นจากการรุกรานของจอมอสูรได้ตามลำพัง?


ไม่อยู่ในสายตาเลยสักนิด แพ็กม่าทำสำเร็จเพราะพลังของบาเอลต่างหาก แถมยังแสดงฝีมือได้แค่ช่วงเวลาบั้นปลายของชีวิต


แต่ในทางกลับกัน อเล็กซ์ได้ลงไปเยือนขุมนรกด้วยตัวเอง ไล่โจมตีเหล่าผู้ปกครองของขุมนรกในแต่ละชั้นจนหวาดหวั่น ส่วนมุลเลอร์ก็ผนึกจอมอสูรสำเร็จหลายตน ทั้งสองย่อมมีภาพลักษณ์สูงส่งในสายตาเหล่าจอมอสูร


‘แต่ปัจจุบัน พวกมันไม่อยู่อีกแล้ว…’


มุลเลอร์


ซาลอสไม่เคลือบแคลงเลยว่า หากตนจัดการกับเจ้าของพลังอริยดาบที่เคยผนึกจอมอสูรลำดับ 9 อย่างเฮลกาโอสำเร็จ ตัวมันจะถูกประเมินลำดับใหม่แน่นอน


ท่ามกลางความคิดมากมายแล่นผ่าน ซาลอสฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับปรี่เข้าหาครอเกล


เคร้ง!


ไม่ว่าจะเป็นดาบชนิดใด กำปั้นของซาลอสสามารถป่นอาวุธที่ครอเกลเรียกออกมาได้ทุกเล่ม


เป๊าะ!


โดยไม่ว่าดาบของครอเกลจะยาวสักเพียงใด แต่ก็มิอาจทะลวงผ่านชั้นแนวป้องกันเข้าไปถึงร่างกายซาลอสสำเร็จ


“ “น่าแปลก…” ”


เมื่ออีกฝ่ายอ่อนแอจนผิดวิสัย ซาลอสมีอันต้องขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ


“ง่ายเกินไป วิชาดาบมุลเลอร์มีแค่นี้เองหรือ”


“…มุลเลอร์”


ครอเกลพลันชะงัก ประหนึ่งลำไส้เล็กถูกบีบรัดจนเกิดความเจ็บปวด


ดวงตาที่แทบไม่เคยเผยอารมณ์ ยามนี้กำลังอัดแน่นไปด้วยความมุ่งมั่นปนคับแค้น


“ฉันไม่ได้ใช้วิชาดาบมุลเลอร์!”


นับตั้งแต่วันแรกที่เล่นซาทิสฟาย ครอเกลตัดสินใจจะสร้างชื่อด้วยดาบมาตลอด


เลือกเล่นนักดาบโดยไม่ลังเล และก้มหน้าฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองพัฒนาฝีมืออย่างต่อเนื่อง


ผลลัพธ์คือปัจจุบัน


เส้นทางดาบที่ครอเกลเลือกเดิน เป็นสิ่งที่มันตกผลึกจากประสบการณ์นับตั้งแต่จุดเริ่มต้น มิได้เกิดจากการเดินตามรอยเท้าใคร


ยิ่งเมื่อถูกนำไปเปรียบกับมุลเลอร์ ครอเกลยิ่งเกิดความหงุดหงิด


“ฉันคือครอเกล”


ชิ้ง—!


ปราณดาบสีเงินแพรวพราวจำนวนมากกำลังรายล้อมร่างกายครอเกล


ค่าพลังชีวิตและพลังป้องกันของอริยดาบ ถูกแปรเปลี่ยนให้เท่ากับค่าความทนทานและพลังโจมตีของดาบที่มันเลือกประทับร่าง


เคร้ง!


ดาบเสือขวาในมือขวากำลังร้องคำรามเมื่ออริยดาบใช้พลัง ‘บทกวีสรรเสริญดาบ’


“ฉันไม่ใช่ผู้สืบทอดมุลเลอร์ แต่เป็นอริยดาบที่เดินบนเส้นทางของตัวเอง!”


เคร้ง! เคร้ง!!


[<+9 ดาบแห่งอัลเลี่ยน> ถูกทำลาย]


[<+3 เขี้ยวของอีมูกี> ถูกทำลาย]


[<+8 ดาบคู่แห่งความลุ่มหลง> ถูกทำลาย]


ดาบหลายสิบเล่มในคลังสัมภาระครอเกลเริ่มถูกทำลายไปทีละเล่มของเล่ม


เมื่อใดก็ตามที่มันปล่อยให้การโจมตีของซาลอสสัมผัสร่าง เมื่อนั้นก็จะต้องเสียสละดาบหนึ่งเล่มไปพร้อมกันเสมอ เป็นค่าใช้จ่ายในการรับความเสียหายแทนเจ้าของ


ชิ้ง!


ทันใดนั้น <ดาบพิพากษา> ที่ทรงพลังขึ้นจากเดิม 11 เท่าเมื่อใช้งานร่วมกับ <บทกวีสรรเสริญดาบ> กำลังทำการพิพากษาซาลอสสมชื่อ


สำหรับท่าโจมตีชนิดนี้ ยิ่งเป้าหมายแฝงชั่วร้ายมากเพียงใด ก็ยิ่งทวีพลังทำลายมากขึ้นเป็นเงาตามตัว


ฉึก!


เส้นแสงดาบที่ฟันใส่ส่วนบนซาลอสมีสีขาว


ฉึก!


เส้นแสงดาบที่ฟันใส่ส่วนล่างเป็นสีดำ


เมื่อ <ดาบปีกขาว> และ <ดาบปีกดำ> สอดประสานอย่างสมบูรณ์แบบ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือเอฟเฟคขั้นสูงสุดของ <ดาบปีกคู่>


บึ้มมมมมมม!!


การฟันผสานอย่างลงตัวและแม่นยำจนเกิดเป็นคอมโบเต็มประสิทธิภาพของครอเกล ช่วยเปลี่ยนร่างกายซาลอสให้กลายเป็นซากผ้าขี้ริ้ว


อย่างไรก็ตาม อัตราการฟื้นฟูตามธรรมชาติของจอมอสูรนั้นน่าทึ่ง เพียงไม่นานบาดแผลก็สมานกลับเป็นปรกติ และหลอดพลังชีวิตของซาลอสก็ยังสูงกว่า 90%


แต่ในทางกลับกัน ครอเกลต้องสละดาบไปเกินกว่าครึ่งจากที่เคยเตรียมไว้ 40 เล่ม


อาวุธเกรดยูนีคและเลเจนดารีราคาสูงกว่า 20 เล่มต้องถูกทำลายโดยไม่มีวันหวนกลับ เพื่อแลกกับการไม่ถูกโจมตีโดยตรงราว 20 ครั้ง


การโหมบุกของซาลอสทำให้ครอเกลเกิดความประหม่าและตึงเครียด แต่ในทางตรงกันข้าม วิชาดาบครอเกลกลับทำให้ซาลอสง่วงนอน


“ “ทำไมเจ้าถึงอ่อนแอเยี่ยงนี้…” ”


ซู่วววว!!


พลังเวทมนตร์สีดำกำลังหมุนวนรอบฝ่ามือทั้งสองข้างของซาลอสประหนึ่งลมพายุ


ในคราวนีี้ สิ่งที่จะทำลายเกราะดาบของครอเกลคือเวทมนตร์อันทรงพลัง มิใช่การโจมตีทางกายภาพเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา


ซาลอสผู้ยังคงมีสภาพสมบูรณ์พร้อม เดาไม่ได้ยากว่ามันจะทำลายเกราะดาบของครอเกลสำเร็จหรือไม่ และบางที การโจมตีหนนี้อาจถึงขั้นส่งอริยดาบไปเกิดใหม่ในคราวเดียวกัน


“ “เป็นเพราะเจ้าไม่เรียนวิชาดาบมุลเลอร์..” ”


ฟ้าว—!


การโจมตีสุดทรงพลังของซาลอสที่ครอเกลหมดโอกาสหลบหลีก กำลังพุ่งเข้าหาด้วยความเร็วดุจดังสายฟ้าคำราม


***


“ฉันคือกริด ชายผู้ทรหดที่สุดในโลก ช่วยจำใส่กะโหลกแล้วกลับไปเล่าให้คนในนรกฟังด้วย”


กริดต้องเดินบนทางเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้


หลังจากเปลี่ยนเป็นคลาสผู้สืบทอดแพ็กม่าด้วยความไม่เต็มใจ มันก็ถูกบังคับให้เดินไปบนถนนที่ไม่ราบรื่นสักเท่าไร


กริดเคยนึกย้อนทบทวนหลายครั้ง และพบว่ามีบางอดีตที่ตนอยากกลับไปแก้ไข


แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ทุกการตัดสินใจและทุกทางเลือกในวันก่อน ได้หล่อหลอมให้มันกลายเป็นตัวตนในปัจจุบัน


จนกระทั่งวันหนึ่ง กริดตัดสินใจเดินออกจากเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ เลือกสร้างถนนเส้นใหม่ของตัวเองขึ้นมา


ถนนที่ชื่อมหากาพย์จอมดาบเวท


‘เส้นทางของเรา’


เส้นทางพิเศษสำหรับกริดคนเดียว


แล้วมุลเลอร์มาเกี่ยวอะไรด้วย?


เมื่อได้ยินจอมอสูรลำดับ 13 ‘บีเลธ’ ซักถามว่าตนคือผู้สืบทอดมุลเลอร์หรือไม่ ศักดิ์ศรีของชายหนุ่มพลันเกิดความระคายเคือง


เหตุใดตนถึงถูกนำไปเปรียบกับมุลเลอร์ในทุกเหตุการณ์สำคัญ? เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ความอดทนก็ยิ่งลดต่ำลง


‘ชักเริ่มเบื่อแล้ว…’


อึก…


กริดโยนขวดโพชันเปล่าทิ้งไปด้านหลังพร้อมกับรำดาบอย่างสง่างาม ปราณดาบสีเงินรอบตัวเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นกลีบดอกไม้สีน้ำเงินเข้ม


เพียงไม่นาน สนามรบก็ถูกกลีบดอกไม้จาก ‘มายาร่ายรำสะพรั่ง’ ปกคลุมอย่างท่วมท้น


กริดเป็นเพียงคนเดียวที่ยังเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระ และจะเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าการโหมกระหน่ำของมายาร่ายรำสะพรั่งจบลง


บึ้ม!


มันบัฟโทสะช่างตีเหล็กและพลิ้วไหว ตามด้วยการเร่งฝีเท้าปรี่เข้าหาศัตรูความเร็วสูง


ขณะบีเลธกำลังหวาดระแวงปราณดาบกลีบดอกไม้สีน้ำเงิน กริดเตรียมฉวยช่องว่างซัดวิชาดาบผสาน 4 ชนิดเข้าใส่


นั่นคือแผนที่วางไว้


แต่ในความเป็นจริง บีเลธมิได้เกิดความลังเล


เพียงพริบตา ปราณดาบกลีบดอกไม้ทั้งหมดได้ย้อนกลับมาทำร้ายกริด ไม่มีแม้แต่เสี้ยวเดียวที่ตรงเข้าไปปะทะร่างบีเลธ


ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนแผนกลางคัน


“วังวน”


ไม่ว่าจะผสานกับท่าใด แต่ ‘สะพรั่ง’ จะมีคุณสมบัติ ‘สร้างมาร์ค’ บนร่างกายเป้าหมายเสมอ ยิ่งศัตรูถูกมาร์คจำนวนมากก็ยิ่งเป็นผลดีต่อกริด


ซู่ว—!


ท่า ‘มายาร่ายรำสะพรั่ง’ จะทำการสร้างปราณดาบ 2 เส้นต่อ 1 มาร์คบนตัวเป้าหมาย และเมื่อมีการสะท้อนกลับ ผลของมาร์คจึงถูกซ้อนทับจนเกิดทำลายสูงสุด


นี่คือท่าโจมตีที่เพียบพร้อมด้วยพลังโจมตีทางกายภาพและเวทมนตร์


เป็นโอกาสอันดีที่กริดจะได้ประเมินระดับความทนทานของสังขารบีเลธ


นั่นคือสิ่งที่ชายหนุ่มคาดหวัง


ฉึบ.


บีเลธผู้ยืนจ้องปราณดาบสีน้ำเงินเข้มกำลังถาโถมกลับมาอีกระลอก เพียงตวัดฝ่ามืออย่างแผ่วเบาหนึ่งหน


ทันใดนั้น


ฟุ่บฟุุ่บ! ฟุ่บฟุุ่บ! ฟุ่บฟุุ่บ!


ปราณดาบจำนวนมากซึ่งเตรียมพุ่งปะทะบีเลธ กลับหยุดลงกลางอากาศและหันหัวกลับ


พลังพิเศษของบีเลธคือการเปลี่ยน ‘วัตถุที่ไม่มีเจ้าของ’ ให้กลายเป็น ‘อาวุธ’ ของตัวเอง


ในวินาทีนี้ ปราณดาบสีน้ำเงินเข้มได้กลายเป็นของบีเลธโดยสมบูรณ์ เพราะหลังจากถูกปลดปล่อยออกจากดาบ สถานะของมันจะกลายเป็น ‘โพรเจกไทล์’ แทน


บึ้มมมมมมมมมม!


“อึ่ก…!”


หลังจากถูกปราณดาบของตัวเองเล่นงาน กริดอาเจียนเป็นเลือดพร้อมกับรีบก้าวถอยหลัง


มันต้องสูญเสียพลังชีวิต 207,090 หน่วยไปในคราวเดียว


และนั่นคือความเสียดายที่เกิดจากการพลาดท่าโดนปราณดาบเพียง 3 เส้นเท่านั้น


ขณะเดียวกัน กริดบังเอิญนึกขึ้นได้ว่า หมัดเปล่าของบีเลธสามารถสร้างความเสียหายตนได้เป็นจำนวน 69,030 หน่วย


ชายหนุ่มพลันเย็นหลังวาบเมื่อลองนำ 69,030 มาคูณด้วย 3 และพบว่าผลลัพธ์ออกมาเป็น 207,090 พอดิบพอดี!


‘บ้าน่า… ความเสียหายแบบคงที่?’


สามารถโจมตีใส่ผู้เล่นด้วยความเสียหายแบบตายตัวที่รุนแรงเกือบ 70,000 หน่วยเนี่ยนะ!


มันเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า เหตุใดพลังป้องกันที่สั่งสมมาทั้งชีวิตถึงไม่มีความหมายแม้แต่น้อย


ขณะกริดกำลังสิ้นหวัง


ครืนนนนน!


เศษอิฐหินจากกำแพงป้อมปราการที่บีเลธทำลายทิ้งในตอนแรก เริ่มกระหน่ำถาโถมใส่กริดประหนึ่งพายุศิลา


ขืนโดนเข้าไปแค่สองครั้งก็คงทำให้ประกันชีวิตอมตะทำงานทันที…


ชายหนุ่มพยายามลองใช้ชุนโป แต่ก็ประสบความล้มเหลว


รองเท้ามังกรครามก็ยังไม่แสดงผลเอฟเฟค <เทพสายฟ้า>


กริดไม่มีทางเลือกนอกจากงัดไพ่ตายอย่าง <เคลื่อนที่อิสระ> ออกมาใช้ เป็นท่าสำหรับพุ่งตัวหลบการโจมตีแบบไม่ล็อคเป้าทุกชนิดพร้อมกับเข้าประชิดเป้าหมาย


ดวงตาที่กำลังสั่นคลอนท่ามกลางเส้นผมสีดำของชายหนุ่ม กำลังเพ่งมองการเคลื่อนไหวบีเลธอย่างระมัดระวัง


“สะพรั่งทำลายล้างร่ายรำสังหาร!”


บนตัวบีเลธยังคงมี 5 มาร์คเหลืออยู่


ฟุ่บ!


ว่ากันตามตรง พลังที่สามารถเข้าประชิดตัวเป้าหมายได้พร้อมกับหลบหลีกทักษะไม่ล็อกเป้าทุกชนิด นับเป็นทักษะระดับสูงที่น้อยคนนักจะมีในครอบครอง


หากไม่นับว่าระยะหน่วงหลังใช้นาน ทักษะชนิดนี้ก็แทบไม่มีข้อเสีย


“ “ลูกไม้น่ารำคาญ…” ”


เนื่องจากทักษะถูกปลดปล่อยในระยะประชิดบีเลธจึงมิอาจหลบหลีกสะพรั่งทำลายล้างร่ายรำสังหารพ้น มีอันต้องกระเด็นถอยหลัง และกระอักเลือดพร้อมกับถูกฝากรอยแผลเป็นหนแรก


มันกัดฟันกรอด รีบตีลังกาขึ้นมายืน


“ “ถ้าไม่ใช่ผู้สืบทอดมุลเลอร์ก็ไสหัวไปซะ! ข้าไม่เสียเวลากับเด็กน้อย!!” ”


ครืน—!


ผืนดินพลันสั่นสะเทือนโดยมีเศษอิฐหินจำนวนมากลอยขึ้นฟ้า จากนั้น ทั้งหมดพุ่งตรงมาทางกริดที่กำลังยืนอ่อนแรง


บีเลธไม่เคลือบแคลงเลยว่า ‘อาวุธ’ นับร้อยนับพันของมันจะส่งมนุษย์ตรงหน้าไปเกิดใหม่


อย่างไรก็ตาม ชายผมดำกลับถึกทนและตายยากดังคำโอ้อวด


ชายหนุ่มทำการสร้างเขตแดนพายุเพลิงเทพเพื่อแผดเผาเศษอิฐหินนับร้อยนับพันรอบตัว


พรึบ!!


ปราณดาบอนันต์อันงดงามได้ดึงดูดความสนใจจากบีเลธทันที


กริดยืนเฝ้ามองเหตุการณ์พร้อมกับพึมพำ


“ฉันรู้จุดอ่อนของแกแล้ว…”


พลังที่สามารถใช้ทุกสิ่งรอบตัวเป็นอาวุธ


คงไม่ต้องอธิบายว่าทรงพลังเพียงใด


ยิ่งเมื่อผนวกเข้ากับความเสียหายแบบคงที่จำนวน 69,000 หน่วย ใครมันจะไปรอดชีวิตหากถูกเศษหินดาเมจเกือบ 70,000 หมื่นกระหน่ำใส่แบบไม่หยุดพัก?


แต่กริดผู้เป็นช่างตีเหล็กย่อมทราบดี


พลังโจมตีไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดของ ‘อาวุธ’


ไม่ว่าจะทรงพลังสักเพียงใด หรือมีดาเมจหนึ่งล้านหน่วย แต่หากค่าความคงทนต่ำก็จะไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย เพราะอาวุธจะถูกทำลายก่อนได้สร้างความเสียหายแก่เป้าหมาย


เหมือนกับเศษอิฐหินหลายร้อยก่อนที่สลายตัวไปในเขตแดนพายุเพลิงเทพเมื่อครู่


กริดเผยรอยยิ้มเปี่ยมความมั่นใจ พร้อมกับเปิดใช้งาน <ดึงศักยภาพซ่อนเร้น> และนำปราณดาบอนันต์มาห่อหุ้มร่าง ปิดท้ายด้วยการรำดาบผสาน คลื่นทำลายล้างมายาร่ายรำสังหาร


ทันใดนั้น


กึก!


กึก! กึก! กึก! กึก! กึก! กึก!


ปราณดาบอนันต์ชะงักค้างกลางอากาศและย้อนกลับมาทำร้ายกริด


“…หือ?”


ฉิบหายแล้ว…


กริดเพิ่งตระหนักได้เมื่อสาย


บึ้มมมมมมมม!


ปราณดาบอนันต์ที่ไปตกอยู่ในมือของบีเลธ พุ่งโหมกระหน่ำอย่างเกรี้ยวกราดใส่ชายหนุ่ม


หลังจากนั้น


เมื่อประกันชีวิตอมตะหมดลง กริดพยายามงัดทักษะเอาตัวรอดทั้งหมดออกมาใช้ รวมถึงการสวนกลับในบางจังหวะ แต่ก็ยื้อเวลาเพิ่มได้เพียงสามนาทีครึ่ง และปิดฉากลงด้วยความตายของราชาโอเวอร์เกียร์


สิริเวลารวม 5 นาที 50 วินาทีที่กริดยื้อได้


“…ขี้โกงฉิบหาย!!”


หลังจากคืนชีพในวังหลวง ชายหนุ่มสบถเสียงดังกังวานจนได้ยินทั่ว


บ้าจริง ใครจะไปคิดว่ามันสามารถขโมยปราณดาบอนันต์ในโลกจินตภาพของเรา ให้กลายไปเป็นอาวุธของตัวเอง…


แต่กริดก็เริ่มพบวิธีแก้ทางบีเลธที่เหมาะสม


ชายหนุ่มรีบเรียกหาสติกส์ทันที


“ฝ่าบาท?”


“เคลื่อนย้ายมิติ!”


“…ขอรับ”


ซู่ว!


***


『ผ…ผิดคาดครับ! ท้องฟ้ากริดเสียชีวิตภายในหกนาทีด้วยฝีมือของราชาคลั่ง·บีเลธ ดูเหมือนว่าวงแหวนอัญเชิญย้อนกลับที่จักรวรรดิซาฮารันพยายามติดตั้งจะกลายเป็นหมันแล้วนะครับ!』


ล่าจอมอสูรลำดับ 13 ตามลำพัง?


ในทางสามัญสำนึก เรื่องเช่นนี้ฟังดูเหลวไหลมาตั้งแต่แรกแล้ว


เพียงแต่ว่า ทั่วโลกต่างมีความหวังเพราะอีกฝ่ายคือ ‘นักสร้างปาฏิหาริย์’ อย่างกริด


หรืออย่างน้อย ถึงจะเอาชนะไม่ได้ แต่ใครหลายคนก็เชื่อว่ากริดจะยื้อบีเลธได้เกิน 13 นาที


ทว่า บทสรุปกลับออกมาเหนือความคาดหมายของทุกคน ทั่วโลกกำลังเกิดความโกลาหล


หลายฝ่ายกำลังจินตนาการภาพบีเลธย่างกรายเข้าไปในป้อมเฮนรูทู และทำลายวงแหวนเวทอัญเชิญย้อนกลับจนสิ้นซาก


ขณะโลกกำลังเงียบงันด้วยบรรยากาศสั่นกลัว


ซู่ว!


ลำแสงถูกยิงลงมาจากฟ้าพร้อมกับการปรากฏกายอีกครั้งของกริด ผู้เพิ่งเสียชีวิตอย่างน่าอนาถไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน


สติกส์


การเดินทางที่สะดวกสบายที่สุดในโลก…


ไม่สิ ระบุให้ชัดคือ เป็นสิทธิ์ที่ราชาโอเวอร์เกียร์สมควรได้รับแล้ว หลังจากซื้อใจจอมปราชญ์แห่งยุคสมัยสำเร็จ


“คราวนี้ไม่เหมือนเดิมแน่!”


“ “นี่เจ้าไม่เจียมตัวเลยหรือ…” ”


ใบหน้าบูดบึ้งของบีเลธทวีความบิดเบี้ยว


▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,647
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00