จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,582



“เลิกใส่ชีสลงในข้าวผัดได้แล้ว เป็นเพราะนายใส่ชีสมากเกินไป แค่เห็นฉันก็รู้สึกคลื่นไส้ ใส่กิมจิเพิ่มดีกว่า”


ณ ร้านขายซัมกยอบซอล (หมูสามชั้นย่าง) ใกล้กับตึกของยองวู


สมาชิกกิลด์โอเวอร์เกียร์ทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในเกาหลี ปัจจุบันกำลังมารวมตัวที่นี่


เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จของเทศกาลที่จัดขึ้นในกรุงไรน์ฮาร์ท


ในช่วงแรก บรรยากาศเป็นกันเองมาก


ข้าวผัดที่สุกได้ที่บนกระทะเหล็ก


จนกระทั่งลอเอลตำหนิพีคซอร์ดที่เอาแต่เทชีสลงไป


ใช่แล้ว ไม่ใช่พีคซอร์ดตำหนิลอเอล แต่เป็นตรงกันข้าม


“…เลิกยุ่งกับข้าวผัดของฉัน แล้วสนใจข้าวผัดตัวเองดีกว่า”


“นายเป็นคนพูดบ่อยๆ ไม่ใช่หรือ คนที่กินอาหารผิดวิธี จำเป็นต้องได้รับการสั่งสอนให้ถูกต้อง”


“แล้วนั่นมันผิดหรือไง? การโรยมอสซาเรลล่าลงในข้าวผิดมันผิดตรงไหน? เอาจริงดิ? นายกำลังหมิ่นวัฒนธรรมการกินอาหารดั้งเดิมของเกาหลีอยู่นะ”


“ฉันก็แค่บอกว่าปริมาณมันมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเสนอให้ใส่กิมจิแทน นี่ก็เป็นวัฒนธรรมการกินของเกาหลีไม่ใช่หรือ?”


“อคติ! เหยียดเชื้อชาติ! คนเกาหลีถูกตีตราว่าต้องใส่กิมจิในอาหารทุกประเภท!”


บรรยากาศเย็นเยียบไปพักหนึ่ง


แต่ก็แค่ครู่เดียว


ความสนใจจากผู้คนหันเหออกจากพีคซอร์ดและลอเอล


การโต้เถียงระหว่างทั้งสองจะจบลงด้วยชัยชนะของลอเอลเสมอ ในเมื่ออีกเดี๋ยวพีคซอร์ดก็ปิดปากเงียบแล้ว กังวลไปก็เท่านั้น


“จิสึกะโรยไข่ปลาบินใช่ไหม?”


“ช…ใช่!”


“ยูร่า ไม่ใส่ผงสาหร่าย?”


“อ…อื้อ!”


สมาธิของกริดจดจ่ออยู่กับจิสึกะและยูร่าตั้งแต่ต้น


ยืนอยู่ใจกลางกระทะเหล็กใบใหญ่ ชายหนุ่มทำข้าวผัดสำหรับสองที่ด้วยตัวเอง


เป็นความสามารถที่ยอดเยี่ยม


สามารถนิยามได้ว่ากำลัง ‘เล่นกับไฟ’


ประสบการณ์การปรุงอาหารในซาทิสฟาย กลายเป็นประโยชน์กับโลกความจริง


เจ้าของร้านซัมกยอบซอลที่มีประสบการณ์กว่าสี่สิบปีในการย่างและผัดบนกระทะเหล็ก ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง


“การกดข้าวเพียงพริบตาทำให้เนื้อสัมผัสของไข่ปลาบินยังคงสภาพเดิม… นี่มันอะไรกัน… ยองวู นายมาจาก CIA หรือ?”


“หือ? ซีอะไรนะ?”


“ซีไอเอคือหน่วยข่าวกรองกลางของสหรัฐอเมริกา”


“ฉันหมายถึงโรงเรียนสอนทำอาหาร CIA เจ้าโง่” (The Culinary Institute of America)


กริด, เซฮี, ยูร่า, เยริม, บกจา (อลิซาเบธ) , สวาปามจกบัลเผ็ด, พีคซอร์ด และอีกมาก


เรียกได้ว่ามีชาวเกาหลีจำนวนไม่น้อยในกิลด์โอเวอร์เกียร์


นอกจากนั้นยังมีอีกหลายคนที่ย้ายมาอยู่เกาหลีถาวร เช่นจิสึกะ ลอเอล และทูน ดังนั้นเมื่อจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ จำนวนคนจึงแตะหลักสิบ


ย่อมต้องเสียงดังอย่างมิอาจเลี่ยง


เป็นธรรมดาที่พวกพ้องซึ่งสนิทสนมกัน จะมีบทสนทนามากมาย


ในการปิดร้านสังสรรค์ใหญ่ครั้งที่สอง การสนทนาเชิงลึกเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน


“ฉันเกือบลืมไปแล้วว่าแค็ทซ์เป็นคนญี่ปุ่น จนกระทั่งเขาตะโกนออกมาว่าสุริยคลาส” (สุริยคลาส มีอีกความหมายคือ อาหารญี่ปุ่น)


พีคซอร์ดถูกเมินโดยสมบูรณ์


“ฉันได้ยินว่าครอเกลเข้าไปในสวนสวรรค์ได้แล้ว”


“ดูเหมือนว่าในหมู่เซียนจะมีเซียนดาบ ที่นั่นคงมีภารกิจลับซ่อนอยู่”


“ถ้าไปได้สวย ครอเกลจะผสานคาถาเซียนเข้ากับวิชาดาบไหม?”


“คงเสื่อมมนต์ขลังลงไปเยอะ เสน่ห์ของอริยดาบคือการตัดทุกสิ่งด้วยดาบบริสุทธิ์”


“แต่เสน่ห์กินไม่ได้นะ”


ไม่เพียงแค่กริด ทุกคนยกระดับตัวเองขึ้นมาก


สิ่งที่เหมือนกันก็คือ พวกมันพัฒนาความสามารถ ‘แขนงอื่น’ ให้ตัวเอง


สำหรับกริด ลำพัง ‘วาสนา’ ก็มากพอจะชักนำให้ชายหนุ่มได้ครอบครองพลังที่หลากหลาย


แนวคิดเชิงความภูมิใจในคลาสเดียวของตน กลายเป็นเรื่องล้าหลัง


“พลังของอริยดาบเพียงอย่างเดียว ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้มากแล้ว”


ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของอริยดาบที่เก่งที่สุดอย่างมุลเลอร์ คือการผนึกเฮลกาโอ


แน่นอน นั่นอาจไม่ใช่ขีดจำกัดของมุลเลอร์ แต่เป็นเพราะภัยคุกคามอันดับหนึ่งในยุคของมุลเลอร์คือเฮลกาโอ


อย่างไรก็ดี ในซาทิสฟาย ความสำเร็จดังกล่าวถูกจัดให้อยู่ในระดับ ‘ปานกลาง’ เท่านั้น


หลายคนในยุคสมัยปัจจุบัน สามารถสร้างความสำเร็จได้มากกว่ามุลเลอร์เสียอีก


ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือกริด บราฮัม และเมอร์เซเดสที่ก้าวข้ามมุลเลอร์ไปแล้ว


นั่นคือปัญหาที่ครอเกลกำลังเผชิญ


ในเมื่ออริยดาบที่แข็งแกร่งที่สุดยังตกเป็นรองคนอื่น อริยดาบเกรดรองลงมาย่อมต้องมีชะตาเดียวกัน


ครอเกลซึ่งต้องแบกรับตำแหน่งเดียวกับมุลเลอร์ ย่อมถูกมองต่ำอย่างมิอาจเลี่ยง


ชาวโอเวอร์เกียร์คิดเห็นตรงกันว่า หากครอเกลต้องการพัฒนาตัวเอง ก็ต้องเลิกยึดติดกับความเป็นอริยดาบเสียก่อน


ในทางกลับกัน กริดมองต่าง


“หืม… ฉันคิดว่าศักยภาพที่แท้จริงของอริยดาบ ยิ่งใหญ่กว่าที่คนทั่วไปรับรู้”


กริดพอจะทราบเรื่องราวชีวิตลับๆ ของมุลเลอร์ที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ


ความสำเร็จทั้งหมดของมุลเลอร์ที่ทั่วโลกทราบกันดี เกิดขึ้นหลังจากมุลเลอร์ ‘แบ่ง’ ระดับตัวตนบางส่วนให้ราชาขุนเขา


ยิ่งไปกว่านั้น กริดยังได้ประจักษ์ฝีมือที่แท้จริงของอริยดาบผ่านบีบันผู้ยังมีชีวิตจวบจนปัจจุบัน


นั่นคือความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้


‘ฉันคิดว่าเป้าหมายของครอเกลคือการโค่นเซียนดาบ ไม่ใช่การฝากตัวเป็นศิษย์’


กริดแสดงความเห็นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขณะปอกเปลือกส้ม


เป็นความชำนาญมืออันน่าทึ่ง


เปลือกส้มหลุดออกอย่างง่ายดายพร้อมกับเส้นใยสีขาวคล้ายตาข่าย เนื้อส้มที่กริดปอกจึงดูเปล่งปลั่งราวกับก้อนทองคำ


“นุ่มจัง~”


ใบหน้าของจิสึกะที่ถูกกริดนำส้มป้อนใส่ปาก เผยความซาบซ่าน


เยริมที่มองดูอยู่สักพัก ใช้ศอกดันใส่สีข้างของเซฮี


“พี่สาวคนนั้น ยิ่งมองยิ่งเหมือนหมานะว่าไหม?”


“ชู่ว…!”


เซฮีที่ตกใจ รีบปิดปากเยริม


“ถึงเธอจะดูเหมือนนังแมวขโมยมากแค่ไหน แต่ก็ห้ามพูดออกมาเสียงดังเด็ดขาด! ต่อให้ไม่นับเรื่องที่เป็นแฟนพี่ หล่อนก็เป็นกัปตันของเรา!”


“อู้อี้~!”


เยริมเปรียบอีกฝ่ายเป็นสุนัขด้วยเจตนาบริสุทธิ์


ตรงข้ามกับภาพลักษณ์ดุจดังเสือดาว จิสึกะดูอ่อนโยนและน่ารักจนชวนให้นึกถึงลูกหมา ไม่มีเจตนาจะด่าอีกฝ่ายแต่อย่างใด


‘ทำไมถึงได้แรงเยอะขนาดนี้?’


เยริมอยากอธิบาย แต่ก็ไม่มีโอกาส เพราะมิอาจสลัดมือของเซฮีให้หลุดจากปาก


คงเป็นพันธุกรรมกระมัง


‘…ทำไมถึงกลับไปวุ่นวายอีกแล้ว?’


เซฮีและเยริมที่กำลังทะเลาะกันอย่างดุดเดือด สวาปามจกบัลเผ็ดที่เอาแต่เรียกชื่อบกจา พีคซอร์ดที่เอาแต่เถียงกับลอเอล


ทูนซึ่งไม่ดื่มเหล้า กังวลว่าความวุ่นวายอาจลุกลามจนควบคุมไม่อยู่


มันรีบวิทยุไปหาเพื่อนจากอิตาลีที่เพิ่งบินมาถึงเกาหลี ให้เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน


ค่ำคืนแห่งชาวโอเวอร์เกียร์ยังคงดำเนินต่อไป


***


ไม่กี่วันหลังจากจบการแข่งคัดเลือกกัปตัน


“โอ้…!”


ในที่สุด ลิฟต์นรกเริ่มทำงานเป็นครั้งแรก


เมื่อสิ่งก่อสร้างที่ฝังอยู่ใต้ดินเปล่งแสงโดยพร้อมเพรียง พื้นดินพลันถูกย้อมกลายเป็นสีคราม ดูราวกับกำลังมองไปยังทะเลสาบ


“ขอให้โชคดี”


กริดมาส่งทีมสำรวจนรกด้วยตัวเอง


สมาชิกของทั้งสิบสองหน่วยถูกคัดเลือกจากแรงเกอร์ที่อาสาตัวเข้ามา โดยไม่คำนึงถึงต้นสังกัด


ผู้เล่นหลายร้อยคนได้รับการสนับสนุนโพชันพิเศษหลายชนิดจากโรงแปรธาตุเรย์ดัน


ภารกิจของพวกมันไม่ใช่ประเภทครั้งเดียวจบ


อาละวาดให้เต็มคราบ


จนกว่าลิฟต์นรกจะเปิดใช้งานสาธารณะ หน่วยสำรวจต้องอยู่ในนรกให้นานที่สุดเพื่อล้างผลาญอสูรและสัตว์อสูร


อุปกรณ์พยุงชีพจึงเป็นสิ่งสำคัญ


จักรวรรดิโอเวอร์เกียร์มีหน้าที่สนับสนุนตามความเหมาะสม


“อย่างไรก็ดี พยายามสร้างความสัมพันธ์กับเผ่าอสูรในเขตปลอดภัยเข้าไว้”


หลังจากลอเอลกำชับเรื่องสุดท้ายเสร็จ คณะเดินทางทั้งหมดย่างกรายเข้าไปในลิฟต์


นี่คือวินาทีที่มนุษยชาติซึ่งถูกอสูรรุกรานฝ่ายเดียวมาตลอดร้อยปี ถึงคราวเปิดฉากตอบโต้เป็นครั้งแรก


เป็นการแก้แค้นที่แบกรับประวัติศาสตร์อันขื่นขมของมนุษย์เอาไว้บนบ่า ขณะเดียวกันก็เพื่ออนาคตของศาสนจักร


***


เหตุใดต้องแบ่งแยกความดีความชั่ว?


ทำไมคนชั่วถึงต้องใช้กรรม และคนดีถึงได้โอกาสเกิดใหม่มากกว่า?


นั่นไม่ยุติธรรมเลยสักนิด


นรกจำเป็นต้องถูกแก้ไข


อาโมแรคคือผู้ปกครองที่เห็นด้วยกับคำกล่าวอ้างของบาเอลอย่างมาก


จอมอสูรลำดับสอง


หนึ่งในสามอสูรต้นกำเนิด เธอเลือกข้างบาเอล


และมีส่วนอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงนรกให้เป็นดังในปัจจุบัน


เธอใช้พลังของตน เอาชนะเบริอาเช่ที่เป็นผู้นำฝ่ายตรงข้าม


นั่นคือสิ่งที่อาโมแรคนึกเสียใจมาตลอดชีวิต


เธอเห็นใจยาธานซึ่งถูกตราหน้าให้เป็นเทพอสูร หลังจากที่นรกเกิดความเปลี่ยนแปลง


เธอผิดหวังอย่างรุนแรงเมื่อตระหนักว่า การตัดสินใจของตนทำให้บิดาตกต่ำลงจากเดิม


นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิหารยาธาน


ตราบใดที่นรกยังเป็นแบบในปัจจุบัน บิดาของเธอจะไม่มีวันพ้นจากมลทิน จึงต้องการเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับความชั่วร้าย


เธอเผยแผ่คำสอนโดยหวังให้ผู้คนตระหนักถึงคุณค่าของความชั่ว เฉกเช่นที่บิดาให้กำเนิดเธอขึ้นมาด้วยเหตุผลบางประการ


ผลก็คือ หลายคนหันกลับมานับถือเทพยาธานอีกครั้ง


แต่อาโมแรคก็ยังไม่พึงพอใจ


บิดาของเธอคือเทพต้นกำเนิด


สมควรถูกยกย่องในระดับเดียวกับรีเบคก้า ไม่ใช่ต่ำต้อยกว่าอีกฝ่ายอีกถึงเพียงนี้


อาโมแรคตระหนักดีว่า นี่คือกรรมที่เกิดจากการตัดสินใจผิดพลาดของเธอ


อาโมแรคอยากให้นรกกลับไปเป็นดังเดิมอีกครั้ง


อยากทำลายบาเอลให้สิ้นซาก


เธอคิดถึงเบริอาเช่


ดังนั้น อาโมแรคจึงแสร้งทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งในหลายเหตุการณ์


ลึกๆ ในใจแอบสนับสนุนมนุษย์


เธอจึงโกรธเมื่อได้ยินว่ามนุษย์กำลังจะรุกรานนรก


“ไม่ได้… เจ้าหนู พวกเจ้าทำแบบนั้นไม่ได้”


เมื่อมองย้อนกลับไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าอสูรดำรงอยู่เพื่อมนุษย์


บิดาของเธอสร้างความชั่วร้ายขึ้นมาเพื่อตักเตือนมนุษย์


จงเฝ้ามองและเรียนรู้จากความชั่ว แต่อย่าเลียนแบบความชั่ว ความดีจะทำให้มนุษย์ขึ้นสวรรค์ได้ในสักวัน


เธอไม่อยากเห็นมนุษย์ลงมายังนรกทั้งเป็น


“พวกเจ้าไม่ควรต่อต้านเจตจำนงของพระบิดา”


ตัวตนที่ก้าวข้าม ความหมายตรงตัวก็คือการอยู่เหนือกว่า


สามัญสำนึกของคนทั่วไป ไม่มีวันใช้ทำความเข้าใจตัวตนที่ก้าวข้ามได้


ความรู้สึกที่อาโมแรคกำลังมีต่อผู้บุกรุกก็คือ ‘ต้องฆ่า’ โดยไม่มีความเกลียดชังเจือปนแม้แต่น้อย


***


“เราไม่ได้คิดไปเอง”


มังกรนอนนานเพราะพวกมันมีอายุยืนยาว


หลายร้อยปีคือระยะเวลาที่อายุขัยของมนุษย์มิอาจเอื้อมถึง แต่กับมังกร นั่นเป็นเพียงชั่วครู่


แต่ปัจจุบัน


“นั่นเป็นความจริง”


เซรอน บุตรชายของกูเซล กำลังปรับการรับรู้ด้านเวลาให้ใกล้เคียงกับมนุษย์


บิดาของตนถูกสังหารขณะที่ตนหลับไปครู่หนึ่ง


แถมยังเป็นฝีมือมนุษย์


กล่าวคือ นี่เป็นคำเตือนกลายๆ ว่ามังกรควรปรับการรับรู้ด้านเวลาให้สอดคล้องกับมนุษย์ได้แล้ว


เซรอนเริ่มหวาดระแวงมนุษย์ เพราะมันไม่ต้องการถูกฟันใส่ตาหรือจมูกขณะหลับ


‘อารยธรรมมนุษย์ก้าวหน้าขึ้นแล้วหรือ? คงถึงเวลาที่ต้องทวงคืนสมบัติที่ถูกขโมยไปกลับคืน’


ซากของมังกร ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของมังกรประเภทเดียวกัน


เซรอนจำเป็นต้องตามล่าซากของกูเซลกลับคืน เพื่อให้ตนกลายเป็นมังกรศิลาที่แข็งแกร่งขึ้น


นั่นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ควรจะถือกวัดแกว่งไปมา


โฮกกกกก!!


เงาของมังกรสีเทาซึ่งกางปีกยักษ์พร้อมกับคำราม ทำให้ดินแดนอันรกร้างถูกปกคลุมด้วยสีดำสนิท


______________

ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,059   ★ ★ จบบริบูรณ์  ★ ★

ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ


Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00