จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,583
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเจ็ดมารมิได้เป็นของผู้เล่นคนใดคนหนึ่งเพียงลำพัง
เป็นภารกิจใหญ่ที่ต้องใช้ผู้เล่นจำนวนมากช่วยกันสืบเสาะความลับจากเจ็ดมารแต่ละคน
ในปัจจุบัน มีผู้เล่นจำนวนหน้าคนกำลังดำเนินภารกิจเจ็ดมาร
ซีบาล เจ้าของ ‘เทพคุ้มครอง’ เกี่ยวข้องกับมารลำดับหนึ่ง เจค
เฮสเตอร์ เจ้าของ ‘ตำนานวีรชน’ เกี่ยวข้องกับมารลำดับสอง ไดอานา
แอ็กนัส เจ้าของ ‘ราชาแห่งความพ่ายแพ้’ เกี่ยวข้องกับมารลำดับสาม เรย์ลี่
กริด เจ้าของ ‘บัญชาเทพ’ เกี่ยวข้องกับมารลำดับสี่ ทาเร็น
ครอเกล เจ้าของ ‘พลังลับ’ เกี่ยวข้องกับมารลำดับห้า อีฮา
ใครคือคนแรกที่เข้าถึงเนื้อหาของเจ็ดมาร?
แน่นอนว่าเป็นครอเกล
และครอเกลก็ยังเป็นคนที่ภารกิจก้าวหน้ามากที่สุด
อย่างไรก็ดี กริดคือผู้เล่นคนแรกที่ได้รับ ‘พลัง’
ในทางตรงกันข้าม ซีบาลได้รับพลังเป็นคนสุดท้าย
อย่างไรก็ดี ซีบาลมีส่วนสำคัญอย่างมากในพัฒนาการและความอยู่รอดของมารลำดับหก ซิก และยังพบว่าผนึกของเจ็ดมารอยู่ที่ห้วงนรก
กล่าวคือ การได้รับพลังก่อนหลังไม่ใช่สาระสำคัญ
ผู้เล่นที่มีโอกาสเกี่ยวข้องกับเจ็ดมาร ล้วนเข้าถึงความลับของเจ็ดมารในระดับที่ไม่แตกต่าง
นั่นคือสัจธรรม โดยที่ทั้งห้าคนไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
เจ็ดมารโด่งดังถึงเพียงนั้น
ไม่ใช่ว่าฮานึล หนึ่งในมหาเทพต้นกำเนิด เคยพยายามชักชวนซิกไปเป็นพวกหรอกหรือ?
โลกกึ่งกลาง นรก แอสการ์ด แม้กระทั่งสวนสวรรค์และอาณาจักรฮวาน
ทุกหนแห่งทราบเรื่องราวเกี่ยวกับเจ็ดมารเป็นอย่างดี ข่าวคราวจึงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
และในปัจจุบัน
เนื้อเรื่องของเจ็ดมารกำลังดำเนินมาถึงจุดจบ
นอกเหนือจากมารลำดับหก ซิก มารที่เหลือล้วนเสียชีวิตไปหมดแล้ว
กลายเป็นวิญญาณล่องลอยอยู่ที่ใดสักแห่งภายในห้วงนรก
ซิกซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังหลงเหลือร่างกาย ได้รับการคืนชีพโดยสมบูรณ์ ส่วนพลังที่เหลือของมารตนอื่นต่างกระจายไปอยู่ในมือผู้เล่น
ปัจจุบัน ขั้นตอนถัดไปคือการสืบค้นเรื่องราวของเจ็ดมารแต่ละคนยกเว้นซิก เพื่อเปิดเผยพลังของมารลำดับเจ็ดที่ยังเป็นปริศนา
แต่บางที ขั้นตอนนี้อาจไม่จำเป็น
จุดจบของภารกิจเจ็ดมารคือการลงทัณฑ์เทพแห่งแอสการ์ด
เปิดโปงความน่ารังเกียจของเทพ ปลดเปลื้องบารมีเทพของพวกมัน หรือไม่ก็ยึดครองแอสการ์ดในทางกายภาพ
นี่คือความปรารถนาของเจ็ดมาร
หากสามารถเติมเต็มความปรารถนาสูงสุดของเจ็ดมารได้ ถึงจะข้ามขั้นตอนกลางทางไปบ้างก็ไม่ใช่ปัญหา
ทว่า ครอเกลยังคงบากบั่นไปถึงสวนสวรรค์
หลังจากสืบเสาะภารกิจเกี่ยวกับมารลำดับห้า อีฮา อย่างไม่ลดละ ในที่สุดมันก็เข้าใกล้เป้าหมาย
นั่นเพราะครอเกลเชื่อว่า ยิ่งตนเข้าใจเรื่องราวมากเพียงใด ‘พลังลับ’ ก็ยิ่งแข็งแกร่ง
และไม่สำคัญว่าจะคิดถูกหรือไม่
เพราะไม่ว่าอย่างไร มันก็ต้องยืนยันด้วยตาตัวเองว่าบนสวนสวรรค์มีเซียนดาบอาศัยอยู่
ลำพังการได้พบกับเซียนดาบก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
“เฉกเช่นที่นี่ซึ่งไม่ได้อยู่บนโลก ยังมีมิติอื่นซ่อนอยู่อีกหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือมิติที่มีภูตธาตุวิ่งเล่น”
หมู่บ้านเล็กๆ ที่รายล้อมด้วยต้นท้อ
ใครบางคนกำลังนั่งบนม้านั่งหน้ากระท่อมตรงทางเข้า
มันกำลังหันหลังให้ครอเกลที่เพิ่งเดินเข้ามา
กิ้ง กิ้ง กิ้ง กิ้ง
เสียงใสกังวานดังขึ้นอย่างไม่สม่ำเสมอ
เป็นของการวางหินหมากล้อมลงบนกระดานไม้บีจา
“โลกแห่งธาตุคือโลกที่ธาตุทั้งสี่ถูกสร้างขึ้นจากกฎเกณฑ์”
“ดินอยู่ต่ำที่สุด น้ำสูงกว่าดิน อากาศอยู่เหนือทั้งสอง และไฟอยู่สูงสุด คุณกำลังหมายถึงกฎเกณฑ์เช่นนี้?”
ความรู้และความเฉลียวฉลาดของครอเกลนั้นไร้เทียมทาน
มันรู้จักหมู่ที่บ้านที่เพิ่งมาเยือนและสามารถปรับตัวเข้าหาได้ในทันที
นั่นเพราะมันสัมผัสถึงพลังที่เป็นมงคล
ครอเกลมั่นใจว่าชายที่กำลังนั่งเล่นหมากล้อมตามลำพังคือเซียน และคำถามก่อนหน้าคือสัญญาณของภารกิจ
“ถูกต้อง เป็นเพราะเจ้ารู้เรื่องนี้ดี ข้าจึงถาม”
กิ้ง
หินสีขาวใกล้จะล้อมหินสีดำได้แล้ว เห็นทีว่าหินสีดำคงไม่รอด
“การที่แสงปรากฏขึ้นในภายหลังโดยไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ของโลกที่สมบูรณ์ในตัวเองอยู่แล้ว คือสิ่งที่ผิดหรือถูก?”
ห้าธาตุภายในโลกแห่งธาตุประกอบด้วยไฟ น้ำ ลม ดิน และแสง
หากเป็นครอเกลเมื่อไม่กี่วันก่อน มันคงตอบว่า ‘แสงมีอยู่ทุกที่ ดังนั้นจึงไม่ผิด’
แต่ปัจจุบันแตกต่างออกไป
มันได้ทราบจากกริดว่า ราชาภูตแสงร่วงหล่นและถูกแทนที่โดยราชาภูตแห่งความว่างเปล่า
“ผมไม่คิดว่าแสงคือสิ่งจำเป็น… บนโลกที่ความสว่างจากไฟก็เพียงพออยู่แล้ว”
“เจ้าตีความจากสมมติฐานที่ว่า โลกแห่งธาตุนั้นสมบูรณ์แบบเพราะมีกฎเกณฑ์ที่สมบูรณ์แบบ”
“ใช่ครับ”
“แต่หายากมาก ที่จะมีโลกใดสมบูรณ์แบบ”
หมากแห่งเทพ
หินสีขาวที่กำลังจะล้อมหินสีดำ ถูกกลืนกินทั้งหมดจากการวางหมากดำเพียงหนึ่งตัว
จากนั้น ชายคนดังกล่าววางหินลงและหันหลังกลับ
ครอเกลซึ่งเห็นการพลิกผันบนกระดานหมากล้อม เข้าใจว่าคำตอบของตนผิด จึงกำลังสับสนและพยายามควบคุมสีหน้า
“กฎเกณฑ์ของโลกแห่งธาตุนั้นผิดมาตั้งแต่ต้น การถือกำเนิดของราชาภูตตนล่าสุดคือเครื่องพิสูจน์”
เบนทาโอ
ชื่อของเซียนที่กำลังจ้องหน้าครอเกล
อีกฝ่ายดูเหมือนเด็กเล็กไร้เดียงสาและชายชราอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน
“ท้องฟ้าสร้างน้ำ น้ำสร้างต้นไม้ ต้นไม้สร้างไฟ ไฟสร้างดิน และดินสร้างทอง ซึ่งเป็นธาตุสุดท้ายจากทั้งห้า”
“…!”
“โลกแห่งธาตุไม่ได้มีเพียงสี่ แต่เป็นโลกที่แสวงหาธาตุที่ห้าเสมอ ดังนั้นมันจึงหมกมุ่นอยู่กับเลขห้า”
โลกแห่งธาตุจะถูกปกครองโดยราชาภูตทั้งห้า
นี่คือกฎเกณฑ์พื้นฐานของโลกแห่งธาตุ
“โลกดังกล่าวสมบูรณ์แบบหลังจากความว่างเปล่าถือกำเนิดขึ้นและเปลี่ยนรูปเป็นทอง แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์เสียทีเดียว”
เหตุผลไม่ซับซ้อน
ครอเกลเดาได้ระหว่างประโยค
“ราชาภูตลมยังเป็นปัญหา?”
“ถูกต้อง”
ลมและอากาศไม่ได้อยู่ในธาตุทั้งห้า
ตำแหน่งดังกล่าวควรเป็นของ ‘ต้นไม้’
ราชาภูตลมคือผู้ร้ายที่แฝงตัวอยู่
และไม่คิดคาด คำพูดถัดไปของอีกฝ่ายคือการเปิดเผยความจริง
“หากเป็นอริยดาบจะมองเห็นได้ในทันที แต่เซียนที่เป็นครึ่งเทพอย่างเราต้องปรองดองกับโลก อาจหลอกตาเทพได้ชั่วครู่ก็จริง แต่เราไม่สามารถขัดขืนเจตจำนงที่เป็นแก่นแท้ได้”
พรึบ!
เมื่อเบนทาโอสะบัดชายเสื้อกว้าง แผ่นยันต์สีเหลืองพรั่งพรูออกมาในทันที เรียงตัวเป็นเส้นวงกลมประหนึ่งผีเสื้อเต้นระบำ
ในไม่ช้าก็กลายเป็นประตู
ประตูที่นำไปสู่โลกแห่งธาตุ
“ได้โปรดช่วยแก้ไขกฎเกณฑ์ของโลกแห่งธาตุในนามของเรา”
[★ภารกิจลับ★ <ดาบสะบั้นวายุ> ถูกสร้างขึ้น]
ดวงตาครอเกลที่กวาดอ่านเนื้อหาอย่างรวดเร็ว เบิกกว้างในทันที
นั่นเพราะดาบของอริยดาบที่ ‘ตัดได้ทุกสิ่ง’ กำลังจะก้าวเข้าสู่ระดับที่ลึกซึ้ง
‘ตัดได้กระทั่งออกซิเจน… สร้างเขตแดนที่ไม่มีอากาศหายใจ?’
ทุกครั้งที่แกว่งดาบ ทักษะติดตัวใหม่จะลดค่าเรี่ยวแรงของเป้าหมายรอบตัวอย่างรวดเร็ว
แต่แน่นอน เงื่อนไขก็คือ ครอเกลต้องตัดราชาภูตลมให้สำเร็จ
ครอเกลรับทำภารกิจโดยไม่มัวคิดมาก
“มีหลายสิ่งที่ผมอยากจะถามคุณ แต่คงต้องเอาไว้ทีหลัง”
สี่ธาตุและห้าธาตุกำลังสื่อความนัยอะไร?
เหตุใดเซียนถึงอยากช่วยโลกแห่งธาตุ?
หากย่างกรายเข้าไปข้างใน บางทีอาจได้คำตอบ
ครอเกลสลัดความสงสัยทั้งหมดทิ้งและเดินเข้าไปในประตูมิติ
มันเชื่อว่า ตนกับอีกฝ่ายจะได้สนทนากันอีกนานหลังจากจบภารกิจตรงหน้า
แน่นอน ครอเกลไม่กลัวว่านี่จะเป็นกับดัก
มันเชื่อใจเบนทาโอ
เพราะเบนทาโอคือคนแรกซึ่งเปิดเผยความจริงที่ว่า เจ็ดมารเป็นคนดี
“ก่อนจะเข้าไป ข้ามีเรื่องจะบอกเพียงสองสิ่ง”
เบนทาโอยิ้มให้กับครอเกลที่ค่อยๆ จางลง
เป็นรอยยิ้มที่สามารถชะล้างความกังวลภายในใจ
“เรื่องแรก พวกเรารอการมาถึงของเจ้า เรื่องที่สอง หากโลกแห่งธาตุสมบูรณ์แบบ เทพโอเวอร์เกียร์และมนุษย์ทุกคนจะได้รับประโยชน์”
***
เรย์ดัน
ครั้งหนึ่งเคยเป็นหัวเมืองชายแดนของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ แต่ปัจจุบันกลายเป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมที่รับผิดชอบการเติมเสบียงให้กับจักรวรรดิ
แม้ดินแดนจะกว้างขวาง แต่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายอันรกร้าง
ความพากเพียรของปิอาโร่และเหล่าชาวนาทำให้กว่าครึ่งของทะเลทรายกลายเป็นนาข้าวและผืนป่า แต่อีกครึ่งยังคงเป็นทะเลทรายที่มีพายุทรายเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
เนื่องจากอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยมีโรงแปรธาตุเป็นจุดศูนย์กลาง จึงเป็นการดีกว่าที่จะเปลี่ยนเรย์ดันให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมมากกว่าแหล่งพักพิง
ต้องไม่ลืมว่า จักรวรรดิโอเวอร์เกียร์ในปัจจุบันครอบครองอาณาดินแดนกว่าแปดในสิบของทวีป
มีเมืองที่น่าอยู่กว่าเรย์ดันเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
“เฮ้! เฮ้! ฉันบอกให้บรรทุกของที่จะไปส่งวังหลวงเป็นอันดับแรกไง!”
อากาศของเรย์ดันนับว่าค่อนข้างดี
แม้ปล่องไฟจำนวนมากจะทยอยพ่นควันสีดำดุจดังหนวดคนงานออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่เครื่องฟอกอากาศที่ถูกติดตั้งในทุกปล่องก็ช่วยขจัดมลพิษได้อย่างรวดเร็ว
เครื่องฟอกอากาศ สิ่งประดิษฐ์แห่งศตวรรษที่สร้างโดยโรงแปรธาตุเรย์ดัน
เมื่ออุปกรณ์ชิ้นนี้ถูกผิดขึ้นเป็นครั้งแรก มีข่าวลือว่ามหาจักรพรรดิได้กล่าวชมเชยเหล่านักแปรธาตุว่า ‘ในที่สุดก็เลี้ยงไม่เสียข้าวสุก’
แม้ว่าโรงแปรธาตุเรย์ดันจะทำงานคุ้มข้าวสุกมานานแล้ว แต่เครื่องฟอกอากาศคือหนึ่งในแหล่งรายได้สำคัญในระยะหลังของราชวงศ์
ผลิตขึ้นในหลากหลายขนาดและรูปทรง จากนั้นก็ส่งไปขายให้สถาบันต่างๆ และขุนนางทั่วจักรวรรดิ
สำหรับประชาชนทั่วไปจะได้รับแจกฟรี
แต่แน่นอน เงื่อนไขก็คือการสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ในสาขาอาชีพของตน แต่ก็ไม่มีใครปริปากบ่น ยิ่งขอบคุณด้วยซ้ำที่ช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้ไม่ขี้เกียจระหว่างเรียนและทำงาน
“หือ? นั่นอะไร? ยังไม่ถึงเวลาพายุทรายสักหน่อย”
คนงานที่กำลังยุ่ง สัมผัสถึงเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลและเริ่มแตกตื่น
เนื่องจากเครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่จำนวนมากที่ติดตั้งในปล่องไฟ ทยอยสั่นสะเทือนจนเกิดเสียงดัง
นอกจากนั้น ‘มานา’ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการฟอกอากาศ ยังเกิดปรากฏการณ์ไหลย้อนกลับ
“ลมแรงกำลังจะพัดผ่าน”
คนงานในเรย์ดันส่งเสียงพึมพำ
จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครเป็นกังวลกับสถานการณ์
โลกสงบสุขมาสักระยะแล้ว
มวลมนุษย์ที่รวมตัวกันต่อต้านกองทัพอสูรอย่างสมัครสมานสามัคคี เลิกขัดแย้งกันเองเป็นการชั่วคราว
พิธีสมรสระหว่างกริดและบาซาร่าซึ่งมองเห็นคุณค่าของชนกลุ่มน้อยและชนเผ่ามาตลอด ส่งผลให้ความบาดหมางทางเชื้อชาติลดลง
ไม่เกินจริงเลยที่จะกล่าวว่า มนุษย์กำลังยืนอยู่ฝ่ายเดียวกัน
แม้ในเรย์ดันจะมีทหารประจำการไม่มาก และเหล่าหัวกะทิก็ถูกส่งไปเข้าร่วมหน่วยสำรวจนรกกันหมด แต่คนงานก็มิได้เกิดความวิตกกังวล
ไม่มีแม้แต่คนเดียวคิดว่าเป็นเหตุข้าศึกบุก
จนกระทั่งเสียงระฆังดังไปทั่วเมือง
“อพยพ! ทุกคนอพยพเร็วเข้า!!”
“ไปที่ปราสาท! หนีไปหลบในปราสาท! วิ่งเร็ว! วิ่ง!!”
เป็นเสียงตะโกนที่ใกล้เคียงกับการแหกปาก
ใบหน้าของทหารบนกำแพงที่กำลังแหกปากตะโกนสุดเสียง ดูผิดปรกติเป็นอย่างมาก
คนงานซึ่งในที่สุดก็ตระหนักถึงอันตราย รีบเคลื่อนไหวในทันที
พวกมันเร่งฝีเท้าวิ่งไปทางปราสาทสุดชีวิต โดยไม่มัวเสียเวลายืนดูต้นตอของอันตรายที่เคยเข้าใจว่าเป็นแค่ลม
ทว่า ด้วยการกระพือปีกเพียงครั้งเดียวของผู้บุกรุก การวิ่งนับร้อยก้าวกลายเป็นสิ่งไร้ความหมายในทันที
> มีของแปลกๆ เต็มไปหมด
“อะ… อะ… ฮะ…”
ตัวตนของเงาดำที่ปกคลุมทุกสิ่งจนสลัว
มังกร
เหล่าคนที่ได้เห็นสัตว์ประหลาดในตำนานตัวเป็นๆ ซึ่งแตกต่างจากแฮชลิ่ง ต่างล้มทรุดลงด้วยแข้งขาอ่อนระทวย
พวกมันนึกถึงความตาย ความพินาศ และการทำลายล้าง
เซนอน* มังกรสีเทา ไม่แม้แต่จะมองพวกมันที่เอาแต่สั่นระริกอย่างหวาดผวา
(ตอนที่แล้วต้นฉบับเขียน เซรอน)
ความสนใจของมังกรจดจ่ออยู่กับอุปกรณ์ประหลาดที่ติดอยู่ทั่วเมืองและโรงงาน
> อารยธรรมของมนุษย์พัฒนาได้เร็วขนาดนี้เชียว?
การตายของบิดาเริ่มสมเหตุสมผลขึ้นมาบ้างแล้ว
มนุษย์ในปัจจุบันควรค่าแก่การกังวล
หลังจากตัดสินใจได้ เซนอนกระพือปีก
พายุทำให้สิ่งก่อสร้างและอาคารต่างๆ พังทลายลงทันที
ครืนนนนน!!!
“อ๊ากกก!!”
“บัดซบ!!”
ผู้คนนับพันถูกพายุพัดกวาด
มีเพียงไม่กี่คนที่กอดต้นเสาไว้ได้ทัน ที่เหลือลอยไปบนฟ้า บ้างดิ้นรนท่ามกลางซากปรักหักพังของอาคาร
ใครบางคนมาช่วยพวกมันไว้ได้ทัน
“ใครที่พอจะสู้ได้ให้จับอาวุธ ที่เหลือหนีลงใต้ดินให้หมด!!”
เป็นโนลล์ที่มาถึงพร้อมกับกองทัพแวมไพร์
โนลล์
ผู้สืบทอดคุณสมบัติอ่อนโยนจากมารดา เบริอาเช่ เป็นคนเดียวในเหล่าทายาทที่สามารถแสดงความเมตตากรุณา เวทโลหิตของโนลล์จึงเป็นสายสนับสนุน ช่วยเหลือ และปกป้อง
> แวมไพร์… หืม…
เซนอนเผยท่าทีฉงน
มันไม่เข้าใจว่าทำไมแวมไพร์ถึงปกป้องมนุษย์
> ฟาร์มของพวกเจ้าหรือ?
เซนอนที่คิดเอาเอง เริ่มโคจรพลังเวท
จากมุมมองของมัน แวมไพร์และมนุษย์แทบไม่มีข้อแตกต่าง พวกมันล้วนเปรียบดังมดปลวกยกเว้นเพียง ‘หนึ่งเดียว’ เซนอนจึงคิดที่จะสังหารทั้งหมดในคราวเดียว
นี่คือวันที่เรย์ดันต้องเผชิญวิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
Comments
Post a Comment