จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,573



“ขอบคุณมาก”


ต้นไม้โลกตกปากรับคำว่าจะอัญเชิญห้าราชาภูต แม้จะว่านั่นจะสิ้นเปลืองอายุขัยก็ตาม


เมื่อสัมผัสถึงความจริงใจจากก้นบึ้ง กริดสลัดความกังขาทั้งหมดทิ้งทันที


‘เป็นที่แน่ชัดแล้ว ต้นไม้โลกมิใช่มิตรของแอสการ์ด’


อันที่จริง มันควรจะเป็นเช่นนั้น


ถ้าต้นไม้โลกมีสายสัมพันธ์อันดีกับทวยเทพจริง ก็คงไม่ล้มป่วยเพียงเพราะแก่นแห่งยาธาน


นอกจากนั้น ต้นไม้โลกยังสร้างไมตรีอันดีกับกิลด์โอเวอร์เกียร์ผ่านภูตธาตุ


แต่เหตุผลที่กริดหวาดระแวงต้นไม้โลก นั่นเพราะรากของต้นไม้โลกคือ ‘ไม้ศักดิ์สิทธิ์’


และตามตำนานพื้นบ้าน ต้นไม้โลกปลูกโดยเทพ


กล่าวกันว่า สิ่งแรกที่รีเบคก้าทำหลังจากสร้างโลกคือการปลูกต้นไม้โลก


จากมุมมองของกริด เป็นเรื่องยากที่จะจำแนกให้ต้นไม้โลกอยู่คนละฝ่ายกับรีเบคก้า


แม้จะเคยได้รับความหวังดีเป็นภูตธาตุจำนวนมาก แต่กริดก็คอยกังวลว่าตนจะถูกต้นไม้โลกหักหลัง


โชคดีที่แค่คิดไปเอง


ในวินาทีนี้ ต้นไม้โลกประกาศตัวชัดเจนว่าจะยอมอุทิศชีวิตเพื่อกริด


นั่นไม่ใช่การพูดพล่อยๆ เพราะสิ่งที่ตามมาทันทีคือการลงมือทำ


สัญลักษณ์และรูปทรงที่ยากจะพบเห็นจากที่ใด ผุดขึ้นรอบต้นไม้โลกอย่างหนาแน่นพร้อมกับก่อตัวเป็นกฎเกณฑ์


กฎเกณฑ์ก่อกำเนิดรูปแบบ สีสัน และคุณสมบัติ จากนั้นก็หลอมรวมกลายเป็นวงแหวนเวทสี่วง


“ท่านแม่…!”


เหล่าเอลฟ์พากันใจหาย ด้วยสีหน้าในปัจจุบัน หากจะมีใครร้องไห้ออกมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก


ท่าทีดังกล่าวพิสูจน์ความจริงใจของต้นไม้โลกได้เป็นอย่างดี


อัญเชิญราชาภูต


การคาดคะเนของไฟโวล์ฟนั้นถูกต้อง พิธีกรรมอัญเชิญราชาภูตถือเป็นภาระอันหนักอึ้งสำหรับต้นไม้โลกในปัจจุบัน


กิ่งก้านจำนวนมากด้านบนที่ทอดยาวไปยังจุดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เกิดเหี่ยวเฉาในพริบตา


ใบไม้สีเขียวกลายเป็นแห้งกรอบก่อนฤดูกาล


กริดสัมผัสได้


ระดับตัวตนของต้นไม้โลกลดลง


เป็นการเสียสละเพื่อกริด


เปรี้ยะ!


ปิดท้ายด้วยเสียงอันน่าขนลุก เปลือกไม้สีขาวสูญเสียความแวววาว ก่อนจะบิดเป็นเกลียวและแตกออก


ในสายตากริด ยางไม้สีใสที่กำลังไหลปกคลุมเนื้อไม้ เกิดเป็นภาพซ้อนทับกับเลือดที่บีบันและมีร์เคยหลั่ง


เหล่าคนที่เคยร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่


ต้นไม้โลกก็เช่นกัน


วงแหวนเวททั้งสี่เสร็จสมบูรณ์ภายในเวลาอันสั้น


[ราชาภูตไฟปรากฏตัว]


[ราชาภูตน้ำปรากฏตัว]


[ราชาภูตดินปรากฏตัว]


[ราชาภูตลมปรากฏตัว]


อีกหนึ่งมิติที่ไม่ได้แบ่งแยกตามนรก สวรรค์ และโลก


เปล่าผู้ปกครองแห่งอาณาจักรธาตุปรากฏกาย


> ต้องขอโทษด้วย สำหรับข้าในตอนนี้ นี่คือขีดจำกัด


วิ้ง! วิ้ง!


รูปแบบที่ก่อตัวจากแสง กำลังส่งเสียงดังขณะยังคงลอยอยู่กลางอากาศ ไม่ยอมก่อตัวเป็นวงแหวนเวท


ร่องรอยของความพยายามที่จะอัญเชิญราชาภูตแสง


ทั้งที่ได้ฟังว่ายูร่าจะช่วยแบ่งเบาภูตแสง แต่ต้นไม้โลกก็ยังยืนกราน


แน่นอน อีกฝ่ายมิได้ทำไปเพราะหัวรั้น


‘ท่านคงประเมินไว้ว่า โอกาสที่ยูร่าจะอัญเชิญสำเร็จนั้นมีไม่มาก’


ย้อนกลับไปขณะกำลังเดินเข้ามาในป่า


สีหน้าของยูร่าดำมืดตลอดทาง


กริดเคยเข้าใจว่าเป็นเพราะเธอรังเกียจพฤติกรรมของไฟโวล์ฟ แต่เมื่อนึกทบทวนให้ดี เธอน่าจะกังวลเรื่องการอัญเชิญมากกว่า


ยูร่าตั้งคำถาม


“เหล่าราชาภูตจะปรากฏตัวนานแค่ไหน?”


เป็นคำถามที่มาพร้อมสีหน้าประหม่า


หญิงสาวเป็นกังวลว่า เหล่าราชาภูตจะหายตัวไปก่อนที่ตนจะอัญเชิญสำเร็จ


ต้นไม้โลกมอบคำตอบ


> ขึ้นอยู่กับกริด เป็นเพราะกริดปรารถนา ข้าจึงอัญเชิญสำเร็จ


เหล่าราชาภูตต่างจ้องมาทางกริด


[ราชาโอเวอร์เกียร์เอ๋ย ข้าได้ฟังเรื่องราวของเจ้ามาจากเซียนบนสวนสวรรค์]


หนึ่งในราชาภูตกล่าว


ในเมื่อต้นไม้โลกเป็นต้นไม้ ราชาภูตจึงเป็นทั้งไฟ น้ำ ดิน และลม


เนื่องจากไม่มีอวัยวะที่เหมือนปาก เสียงจึงถูกเปล่งด้วยพลังจิต


เฉกเช่นคลาส ‘นักรบลอบสังหาร’ ซึ่งเป็นคลาสระดับสี่ของนักลอบสังหาร พวกมันมีทักษะ <เสียงแปดทิศ> ซึ่งทำให้ศัตรูไม่สามารถจำแนกแหล่งที่มาของเสียง


แต่กริดกลับหาพบอย่างรวดเร็ว


ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ครอบครองทั้งประสาทสัมผัสเหนือมนุษย์และบารมีเทพ


‘ราชาภูตไฟ’


เปลวไฟซึ่งขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ถูกอัญเชิญ


สำหรับตัวตนที่ถือดีว่าทุกสิ่งที่สัมผัสกับตนล้วนเป็นฟืน ทัศนคติของมันไม่ต่างจากทรราช แม้แต่ต้นไม้โลกก็ยังลุกไหม้บางส่วน


> เป็นเพราะปลูกถ่ายหัวใจฟีนิกซ์แดงเข้าไป ก็เลยควบคุมไฟได้สินะ… เจ้ารู้อะไรไหม? ทุกสิ่งบนโลกล้วนเกิดจากองค์ประกอบของโลกแห่งธาตุ ดังนั้น แหล่งกำเนิดไฟทั้งหมดจึงจากภายในตัวข้า และสามารถกล่าวได้ว่า ฟีนิกซ์แดงเองก็เป็นหนึ่งในร่างอวตารของข้าเช่นกัน ตัวเจ้าที่ไม่คู่ควรกับไฟของข้า กล้าดีอย่างไรมาขอความช่วยเหลือ?


ความหยิ่งทะนงของราชาภูตไฟนั้นร้อนแรงไม่ต่างจากเปลวไฟภายนอก มันทำตัวจองหองประหนึ่งโลกทั้งใบอยู่แทบเท้า


‘แหล่งกำเนิดไฟทั้งหมดมาจากภายในตัวราชาภูตไฟ?’


กำลังจะบอกว่า เทพฟีนิกซ์แดงแห่งทิศตะวันออก หนึ่งในสี่เทพผู้พิทักษ์ที่ทรงพลัง เป็นเพียงหนึ่งในร่างอวตารของราชาภูต?


หลังจากประหลาดใจกับข้อมูลใหม่สักพัก กริดถามกลับ


“เช่นนั้นแล้ว มังกรเพลิงทราวก้าก็เป็นหนึ่งในร่างอวตารด้วยหรือ?”


เป็นคำถามที่บริสุทธิ์ใจ ไม่มีเจตนาใดแอบแฝงแม้แต่น้อย


ทว่า ราชาภูตไฟกลับตอบสนองอย่างเกรี้ยวกราด


> คิดจะหมิ่นข้าด้วยการเอ่ยถึงตัวตนที่อยู่เหนือมาตรฐานสินะ? เจ้าเล่ห์ซะจริง


ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมองเป็นคำยั่วยุ


ไฟโวล์ฟกระซิบบอกกริดด้วยเสียงกระอักกระอ่วน


“ตำนานนั่นเป็นความจริง รีเบคก้าสร้างโลกกึ่งกลางจากองค์ประกอบของโลกแห่งธาตุ อย่างไรก็ดี ไม่มีใครตอบได้ว่าโลกแห่งธาตุดำรงตนมาตั้งแต่ยุคสมัยแรกเริ่มเลยหรือไม่ แต่ในทางกลับกัน มังกรโบราณมีอายุเทียบเท่าเทพต้นกำเนิดทั้งหมด รวมถึงรีเบคก้าด้วย”


“…หมายความว่า ราชาภูตรู้สึกต่ำต้อยกว่ามังกรโบราณ?”


“ใช่”


“แล้วทำไมเพิ่งมาบอกเอาป่านนี้”


“ใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะโพล่งชื่อทราวก้าออกมา”


> พึมพำอะไรนักหนา?


ราชาภูตไฟพองตัวขึ้นจากเดิมหลายเท่า ขนาดปัจจุบันเทียบเท่าคลื่นยักษ์ที่พร้อมถาโถมใส่กริด


ขณะกำลังสับสน ชายหนุ่มได้ยินเสียงกระซิบ


เป็นเสียงของเอลฟ์ที่ดังมาตามสายลม


น้ำเสียงแสนอ่อนหวานดังกังวานในหูกริดเพียงผู้เดียว


> โดยธรรมแล้ว ภูตธาตุจะไม่เป็นมิตรกับมนุษย์ เพราะอารยธรรมของมนุษย์บ่อนทำลายธรรมชาติที่พวกเขาหวงแหน


> ท่านเทพโอเวอร์เกียร์มิได้กระทำสิ่งใดผิด ราชาภูตธาตุเพียงต้องการทดสอบคุณสมบัติของท่านมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นไม่ว่าท่านจะวางตัวอย่างไร แต่พวกเขาก็จะหาทางข่มท่านอยู่ดี


ทดสอบคุณสมบัติ?


ดังที่เคยกล่าวไป ต้นไม้โลกระบุชัดเจนว่า ระยะเวลาในการปรากฏตัวของราชาภูตขึ้นอยู่กับกริด


‘ต้องสู้หรือ?’


ภูตธาตุ


การดำรงอยู่ที่ยืนกรานว่าจะปกป้องธรรมชาติ โดยไม่แทรกแซงเรื่องราวของมิติอื่น


กริดไม่ได้ชื่นชอบพวกมันสักเท่าไร เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะวางท่าทีเป็นศัตรูกับมนุษย์


อย่างไรก็ดี เนื่องจากพรรคพวกล้วนทำสัญญากับภูตธาตุ และตนก็ทำสัญญากับภูตแสง กริดจึงอยากแสดงความเป็นมิตร


แต่ถ้าเป็นการต่อสู้เพื่อวัดคุณสมบัติ ก็ไม่มีเหตุผลใดให้ต้องปฏิเสธ


‘แบบนั้นก็ยิ่งดี’


ขอแสดงความโกรธสักหน่อยเถอะ


ไม่ว่าจะเป็นการอาละวาดสุดเหวี่ยงของกองทัพอสูร หรือลูกไม้สกปรกจากทวยเทพ การที่ภูตธาตุไม่เคยเข้ามาแทรกแซง ทำให้ตัวตนของพวกมันดูสูงส่งนักหรือไง?


กริดจ้องผู้ปกครองอาณาจักรธาตุด้วยสายตาเย็นชา


มันเคยพยายามผูกมิตรเนื่องจากติดหนี้บุญคุณอีกฝ่าย แต่ตอนนี้ถึงเวลาแสดงความรู้สึกจากก้นบึ้งบ้างแล้ว


เป็นท่าทีที่เกือบจะเป็นศัตรู


> นี่เจ้า…?


ราชาภูตไฟคำรามกึกก้อง


> กล้าจ้องข้าด้วยสายตาเช่นนี้เชียวหรือ? แค่ก้มหัวขอโทษมันไม่พอหรอกนะ!


“พูดจาดีๆ ก่อนสิ แล้วจะทำตัวดีด้วย”


> ว่ายังไงนะ? เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม! คิดว่าตัวเองเท่าเทียมกับข้าหรือ? ข้าเคยเห็นมนุษย์มาไม่น้อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบใครโอหังเยี่ยงเจ้า


‘อย่างที่คิด มันไม่รู้ว่าเรากลายเป็นเทพแล้ว’


กริดเริ่มตระหนักว่า ความเข้าใจโลกของราชาภูตไฟนั้นต่ำมาก


ชายหนุ่มเริ่มผิดสังเกตนับตั้งแต่อีกฝ่ายเรียกตนว่า ‘ราชาโอเวอร์เกียร์’


ตอนแรกเคยเข้าใจว่าราชาภูตสามารถรับข่าวสารได้จากเหล่าภูต แต่ดูเหมือนจะคิดผิด


อาจเป็นเพราะไม่แยแสโลก หรืออาจเป็นเพราะมีการรับรู้ด้านเวลาแตกต่างกัน


แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน สิ่งนี้ดีต่อกริด


ความแข็งแกร่งของกริดตามที่ราชาภูตเข้าใจ น่าจะต้องย้อนกลับไปสมัยที่เพิ่งครอบครองหัวใจฟีนิกซ์แดง


ฟุ่บ!


เทวภัณฑ์สี่เล่มถูกรวมเป็นสอง


ตามหลักการ ภูตธาตุนั้นใกล้เคียงปรากฏการณ์มากกว่าสสาร


อาจไม่ถูกฟันขาดหากไม่ใช่วิธีการหรืออาวุธพิเศษอย่างดาบจันทราดับ แต่ดาบเล่มนั้นฟันได้แค่ครั้งเดียวในทุกสิบนาที


ดังนั้น กริดคิดหยั่งเชิง เป็นการลองฟันอีกฝ่ายด้วยพลังโจมตีปริมาณมหาศาลแทน


‘ถ้าการโจมตีทางกายภาพได้ผล โอกาสสำเร็จก็มีสูง’


ประสบการณ์ที่กริดสั่งสม ล้วนเป็นประสบการณ์คุณภาพสูง


ต่อให้นับเฉพาะหลังมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูร ก็ยังประกอบไปด้วย: เศษเสี้ยวอีโก้ของบาเอล, เทพสงครามเซราทุล, อัครเทวทูตลำดับหนึ่ง, และมีร์ สามซา อิฟริต


กล่าวคือ หากจัดลำดับความแข็งแกร่งของ ‘มหาเทพ’ ไว้ที่เทียร์หนึ่ง บรรดาตัวละครสำคัญของโลกที่กล่าวไปข้างต้นก็จะอยู่ประมาณเทียร์สองและสามลดหลั่นกันไป


สายตาในการประเมินศัตรูของกริดถูกยกระดับขึ้นมาก ชายหนุ่มจึงไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อยในยามเผชิญหน้าเหล่าราชาภูต


จากมุมมองของกริด ราชาภูตมีเทียร์ไม่สูงนัก


ยังห่างไกลจากอิฟริตและอัครเทวทูตลำดับหนึ่งมาก ยังตามมีร์อยู่พอสมควร และน่าจะยังเทียบกับเศษเสี้ยวอีโก้ของบาเอลไม่ได้


ความน่าจะเป็นก็คือ อาจแข็งแกร่งเทียบเท่าร่างลวงตาของอิฟริตที่บาดเจ็บหนัก


นั่นเพราะโลกแห่งธาตุมิใช่ศูนย์กลางของโลกซาทิสฟาย


ไม่มีความจำเป็นที่ภูตธาตุต้องแข็งแกร่ง


‘ราชาภูตแสงคือเรื่องพิสูจน์’


กล่าวกันว่า หากราชาภูตแสงเอาจริง ฝีมือจะเทียบได้กับจอมอสูร


แต่สำหรับกริดในปัจจุบัน จอมอสูรอื่นๆ นอกจาก ‘สามอสูรต้นกำเนิด’ ล้วนไม่อยู่ในสายตา


> เจ้าคงเชื่อในพลังหัวใจฟีนิกซ์แดงมากสินะ ถึงไม่กลัวไฟของข้าเช่นนี้ โอหังยิ่งนัก แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ


“เลิกพล่ามสักที”


กริดส่ายหน้า


“เข้ามา”


ปืนขึ้นสูง กริดก็ยิ่งพยายามทำตัวนอบน้อม


แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับคู่สนทนา


ต่อให้กริดเป็นฝ่ายบากหน้ามาขอความช่วยเหลือ แต่ถ้าทางนั้นพูดจาหมาไม่แดก ความสุภาพก็ไม่จำเป็น


> เจ้าต้องได้รับบทเรียน!


ซู่ว!!


ราชาภูตไฟซึ่งมีร่างกายใหญ่โตราวกับคลื่นยักษ์ เปิดฉากโจมตีด้วยการถาโถมเปลวเพลิงใส่กริด


กริดเคยคิดว่าตนจะรู้สึกกดดันพอๆ ถูกทหารนับแสนรุมล้อม แต่กลับต้องผิดคาด ไม่มีความตื่นเต้นเลยสักนิดเดียว


วิชาดาบของกริดต้านรับการโจมตีอย่างง่ายดาย


“ดาบสลายทัพสองแสน”


เปิดฉากด้วยการทำลายเปลวไฟในการมองเห็นทั้งหมด


บึ้ม!!


“คลื่นทำลายล้างมายาร่ายรำสังหาร”


วิชาดาบผสานห้าชนิด ถูกปลดปล่อยหลังจากก้าวขาเพียงครั้งเดียว


สำหรับผู้ที่เพิ่งเคยสู้กันครั้งแรก ย่างก้าวสั้นๆ ก้าวเดียวแฝงไว้ด้วยหลายความเป็นไปได้จนยากจะคาดเดา


บึ้มบึ้มบึ้มบึ้ม!!


เปลวไฟถูกฟันขาดเป็นหลายร้อยส่วน


กระจัดกระจายไปทุกทิศจนผืนป่าถูกย้อมด้วยสีแดง


กล่าวคือ กริดตัดเปลวไฟของอีกฝ่ายได้


ตามชื่อของมัน ราชาภูตไฟคือร่างอวตารของปรากฏการณ์แห่งไฟ


แต่ไม่มีปรากฏการณ์ใดที่คงอยู่ถาวร


แม้แต่เกล็ดของมังกรก็ยังถูกทำลาย ถูกทำให้เปราะ หรือถูกทำให้เสียรูป จากปรากฏการณ์เชิงกายภาพที่เกิดจากพลังทำลายปริมาณมหาศาลของกริด


> อ…อะไรกัน!!


เปลวไฟหดตัวลงอย่างรวดเร็วจนเผยให้เห็นแกนกลาง


เป็นเปลวไฟที่ยังคงลุกไหม้อย่างเกรี้ยวกราด แม้ว่าคลื่นเปลวไฟโดยรอบจะถูกสายลมปะทะกระจัดกระจาย


และไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันคือเป้าหมายของการโจมตีถัดไปกริด


“มังกรทำลายล้างคลื่นสยบสังหาร”


กริดอาจดูด้อยเมื่อเทียบกับอริยดาบบีบัน แต่ประเมินตามความจริง เทคนิคดาบของกริดค่อนไปทางยอดเยี่ยม


อาศัยก้าวสุดท้ายของ ‘คลื่นทำลายล้างมายาร่ายรำสังหาร’ เพื่อเป็นบันไดในการทำคอมโบด้วย ‘มังกรทำลายล้างสยบสังหาร’ อย่างลื่นไหลราวกับสายน้ำ


เป็นความช่ำชองและคล่องแคล่วที่ตอบสนองได้ไม่ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเพิ่งเคยเผชิญหน้ากันครั้งแรก นอกจากนั้น เพียงหนึ่งก้าวของกริดนั้นไม่สามารถบ่งบอกลักษณะการโจมตีได้เหมือนสมัยก่อน


ซู่ว!!


ราชาภูตไฟที่เร่งอุณหภูมิร่างกายให้ร้อนขึ้นในพริบตาเพื่อหวังแผดเผาดาบในมือกริด เปลี่ยนตัวเองกลายเป็นเปลวไฟสีน้ำเงิน


แต่ก็เปล่าประโยชน์


ดาบของกริดผลิตจากละโมบ พวกมันไม่ละลาย


คมดาบกรีดผ่านเปลวไฟสีน้ำเงินอย่างง่ายดายด้วยบรรยากาศคุกคาม


เปรี้ยง!!


ฟังดูเหมือนเสียงฟ้าร้อง


เสียงระเบิดคำรามกึกก้องอย่างต่อเนื่อง เปลวไฟรอบตัวราชาภูตสูญเสียความดุดันไปโดยสิ้นเชิง


ขนาดของมันหดเหลือเพียงไฟหัวไม้ขีด ราวกับพร้อมจะดับมอดและกลายเป็นเถ้าถ่านในทุกเมื่อ


‘ไฟหัวไม้ขีด’ อ่อนแรงลงและร่วงหล่นแทบเท้าราชาภูตที่เหลือ


“ต่อไปเป็นใคร”


ในตอนนี้ ลำดับชนชั้นถูกขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจน


ขณะกริดดึงดาบกลับพร้อมกับชำเลืองสายตา ขนาดร่างกายเหล่าราชาภูตทยอยหดลีบ


ราชาภูตน้ำที่เคยเปลี่ยนพื้นดินกลายเป็นแอ่งน้ำ ปัจจุบันมีขนาดเท่าหยดน้ำค้าง


ราชาภูตลมที่เคยสร้างวังวนพายุมหึมา ปัจจุบันเป็นเพียงสายลมเอื่อยอ่อนโยน


ราชาภูตดินที่เคยใหญ่โตราวกับขุนเขา ปัจจุบันกลายเป็นหินก้อนเท่ากำปั้น


> ราชาภูตไฟมิใช่ตัวแทนของเรา การดำรงอยู่ที่เอาแต่แผดเผาตัวเองตลอดเวลา ย่อมไม่มีอวัยวะสำหรับคิดอ่านอยู่แล้ว หรือหากจะยืมคำภาษามนุษย์มาใช้ก็คงเป็น… พวกไร้สมอง


> ข้าจะรอเงียบๆ จนกว่าภูตแสงจะออกมา


> ข้า… รัก.. มนุษย์


เป็นทัศนคติที่น่าพึงพอใจ


หลังจากเก็บดาบ กริดหันมาพูดกับยูร่า


“ไม่ต้องรีบร้อน พวกเรารอได้ ให้คิดว่ามาปิกนิกนอกสถานที่”


“อื้อ”


ยูร่าอมยิ้ม ในขณะที่เหล่าเอลฟ์ทำหน้าผงะ


ราชาภูตเกือบพินาศ แต่กริดบอกว่ามาปิกนิก


มันฟังดูน่าสะพรึงในหลายแง่มุม


ข้อเท็จจริงที่ว่า กริดไม่ใช่ศัตรูของมวลมนุษย์ ดูเหมือนจะเป็นพรที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยได้รับมา


______________

ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,059   ★ ★ จบบริบูรณ์  ★ ★

ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ


Comments

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00