จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,550
“คำว่า ‘เดลาร์’ ที่ใช้ในวาร์ปเกตความจริงแล้วหมายถึงหน่วย หลังจากเพิ่มค่าแรงโน้มถ่วงมาตรฐานให้กับพลังงานจลน์ของมานาซึ่งถูกสร้างขึ้นขณะเวทมนตร์เทเลพอร์ตทำงาน อัตราการถ่ายโอนร่างกายจะถูกคำนวณแบบย้อนกลับ…”
กริดพูดไม่หยุดตลอดสิบนาที
ด้วยดวงตาที่สั่นระริก
ชายหนุ่มทยอยพ่นคำพูดของไฟโวล์ฟออกจากปาก จนกระทั่งถึงจุดที่คำและกลุ่มคำซึ่งไม่รู้จัก ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งจนมันเริ่มกระอักกระอ่วน
ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าพูดอะไรออกไป…
เป็นเรื่องธรรมดาที่จะสับสนใจสถานการณ์ตรงหน้า
> เจ๋งมาก ดูเหมือนกับพวกศาสตราจารย์ เอาแว่นสักหน่อยไหม?
ลอเอลคอยส่งข้อความเสียงส่วนตัวเพื่อให้กำลังใจกริด
ลอเอลทราบเรื่องที่กริดได้รับคำปรึกษาจากไฟโวล์ฟ ประโยคดังกล่าวจึงดูเหมือนการล้อเลียน ทว่า ดวงตาที่สดใสและส่องประกายของลอเอลกำลังมอบความรู้สึกจริงใจ
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด กริดก็อยากให้ลอเอลช่วยเงียบสักที
ลำพังการแปลคำพูดของไฟโวล์ฟโดยไม่บิดเบือนความหมายก็นับว่ายากแล้ว นี่ยังมีเสียงของลอเอลดังแทรกสอด
“…ดังนั้น ทฤษฎีการใช้วาร์ปเกตข้ามห้วงมิติและกระแสเวลาจะสมบูรณ์แบบได้หากใช้พลังงานสิบห้าเดลาร์”
กริดที่รักษาสมาธิท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบาก ฝืนอธิบายจนจบ
มันถอนหายใจผ่อนคลายพลางรู้สึกพึงพอใจประหนึ่งสร้างไอเท็มออกมาเป็นเกรดมิธ
นี่เป็นงานที่ยากมาก
แม้จะแค่ ‘พูด’ ก็ตาม
เริ่มมาเหมือนกับการยิงมุกตลกทีเล่นทีจริง แต่เมื่อถลำลึกก็ยิ่งเหมือนกับขุดหลุมศพ
กริดนับไม่ได้ว่าตนอยากถอดใจเลิกพูดกลางคันไปกี่ครั้ง
แปะ แปะ แปะ!
สติกส์ที่ฟังอย่างตั้งใจตลอดสิบนาทีปรบมือขึ้นอย่างกระตือรือร้นโดยไม่เก็บซ่อนสีหน้าชื่นชม
“เมื่อเดลาร์ถูกใช้เป็นทรัพยากร ข้อสงสัยมากมายของกระหม่อมก็ได้รับคำตอบ ยอดเยี่ยมมาก เป็นทฤษฎีที่ไม่มีข้อบกพร่อง… บางทีอาจเป็นเพราะพระองค์ได้รับประสบการณ์ขณะเปิดเผยความจริงของโลก ความเข้าใจในโลกนี้จึงแตกต่างออกไป… ฝ่าบาทสมควรถูกเรียกว่าจอมปราชญ์”
ยังกับได้เห็นคนยักษ์โบราณที่สูญพันธุ์ไปแล้วกลับมามีชีวิตอีกครั้ง…
นั่นคือภาพจำของสติกส์
‘พวกเขาไม่ได้กลับมามีชีวิต เพียงแต่…’
ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนยักษ์กลับมา
คนยักษ์ทรงปัญญา
สิ่งมีชีวิตที่ถือครองความรู้โบราณซึ่งสาบสูญไปนานแล้ว กำลังร่วมมือกับกริด
สองคนในหอคอย และหนึ่งคนในตัวกริด
เป็นสายสัมพันธ์ที่มิอาจซื้อได้ด้วยเงิน ประสบการณ์ หรืออำนาจ
เป็นเครือข่ายที่เกิดจากฝีมือล้วนๆ
“ถัดไปคือส่วนที่ยากลำบาก… หากหวังจะสร้างพลังงานสิบห้าเดลาร์ จากการคำนวณของกระหม่อม พวกเราต้องใช้วัสดุอย่างน้อยเก้าสิบเจ็ดล้านตัน และต้องเป็นวัสดุที่มีอัตราการคายมานา 0.17% หรือต่ำกว่า และต้องมีมานาถูกถ่ายเทเข้าไปอย่างต่อเนื่อง… กระหม่อมเกรงว่า ต่อให้นำจอมเวททั้งทวีปมารวมตัว ก็ยังไม่แน่ว่าจะหาวัสดุดังกล่าวมาได้…”
[ไฟโวล์ฟกล่าวชมเชยพันธุกรรมอันยอดเยี่ยมของไฮเอลฟ์]
ไฟโวล์ฟเริ่มสาธยายยืดยาวอีกครั้ง
เพื่อทำให้สูตรคำนวณของสติกส์ชัดเจนมากขึ้นและหาทางเพิ่มโอกาสทำให้เป็นจริง
กริดต้องการจะถ่ายทอด แต่ท้ายที่สุดมันก็ถอดใจยกธงขาว
หมายความว่ามุกตลกจบลงที่นี่
“สติกส์ ความจริงแล้ว…”
กริดสารภาพอย่างเถรตรง
มันเปิดเผยการมีอยู่ของไฟโวล์ฟ
“กระหม่อมดีใจ”
สติกส์มิได้ผิดหวัง แต่ออกไปทางโล่งใจ
“กระหม่อมเคยกังวลว่าฝ่าบาทที่คอยต่อสู้เพื่อทุกคนจะไม่มีเวลาสำหรับศึกษาเล่าเรียน แต่ตอนนี้หมดห่วงแล้ว”
สติกส์ได้รับภารกิจให้ปกป้องหมู่เกาะเบเฮ็นแม้ตัวเองจะถูกคำสาปของมังกรจอมเขมือบเล่นงาน
ผู้ที่ช่วยปลดปล่อยให้มันเป็นอิสระ ไม่ใช่ใครนอกจากกริด
ยิ่งเวลาผ่านไปหลายปี สติกส์ก็ยิ่งตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตที่ถูกช่วยเหลือ ทำให้มันยิ่งทวีความศรัทธาในตัวกริด
“กระหม่อมได้แต่หวังว่าพระองค์จะไม่หักโหมจนป่วยไข้”
“สติกส์…”
ความห่วงใยของสติกส์สัมผัสถึงก้นบึ้งจิตใจกริด
[ท่านสร้างสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับมหาจอมปราชญ์ ‘สติกส์’]
ระบบตอบสนองทันที
ไม่จำเป็นต้องร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่
ไม่จำเป็นต้องผ่านเหตุการณ์อันตราตรึงร่วมกัน
สายสัมพันธ์สามารถเกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อความสัมพันธ์มีระยะเวลานาน
สิ่งนี้เรียกว่ามิตรภาพ
เมื่อใดก็ตามที่ตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้ ใบหน้าหนึ่งมักผุดขึ้นในใจกริด
‘ข่าน’
เพื่อนคนแรกที่ได้พานพบ
กริดยังคงคิดถึงอีกฝ่ายจวบจนปัจจุบัน
เดิมที กริดเชื่อว่าข่านจะได้ขึ้นสวรรค์และใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวอย่างมีความสุข
แต่น่าเสียดาย ตอนนี้มันได้ทราบสัจธรรมของนรกและสวรรค์แล้ว
ข่านในปัจจุบันน่าจะกำลังหลงทางอยู่ในแม่น้ำแห่งการคืนชีพ
โดยยังไม่ลืมความทรงจำในชาติก่อน และไม่ได้ไปเกิดใหม่
เมื่อจินตนาการถึงข่านที่กำลังสั่นกลัวและทนทุกข์ กริดนึกอยากจะบุกนรกเสียประเดี๋ยวนี้
แต่มันทำแบบนั้นไม่ได้
นรกยังคงเป็นถิ่นของบาเอล
แม้จะจัดการกับเศษเสี้ยวอีโก้ได้บนโลกกึ่งกลาง แต่กริดยังไม่มีความมั่นใจที่จะเผชิญหน้าตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในนรก
‘เราต้องการเวลา’
ก่อนอื่นก็ต้องดำเนินแผนตาม ‘ขั้นตอน’ ที่ลอเอลวางไว้
ต้องฉวยโอกาสขณะผู้เล่นที่กำลังอาละวาดไปทั่วนรก
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง กริดจะลงมือได้ก็ต่อเมื่อความสนใจของเหล่าอสูรกระจัดกระจายไปทั่วนรก
ในระหว่างนั้น กริดจะพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น
เวลาอยู่ฝ่ายเดียวกับกริด เพราะพลังชนิดใหม่ช่วยเปิดประตูที่ช่วยยกระดับตัวเองเพิ่มอึกหนึ่งบาน
สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของกริดในตอนนี้ก็คือ ต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทำให้แผนการดังกล่าวสมบูรณ์แบบ
“สติกส์… ฉันจะฝากฝังหุ่นยนต์… เอ่อ ใครบางคนไว้กับนาย”
วัตถุทรงกลมสีดำที่กำลังลอยเหนือศีรษะกริดในจุดห่างออกไปประหนึ่งดาวเทียม
นั่นคือมวลของละโมบที่ขยายขนาดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
กริดคิดจะนำส่วนหนึ่งของละโมบมาสร้างเป็นจักรกลเวทมนตร์
ถูกต้อง สร้าง มิใช่เปลี่ยนรูป
สิ่งนั้นจะเป็นร่างกายให้ไฟโวล์ฟ
***
ความปรารถนาของดวงวิญญาณที่วนเวียนรอบตัวกริดนั้นแตกต่าง
รายแรก ซีดาน มันต้องการอิสรภาพ
ซีดานไม่ต้องการทุกข์ทรมานไปมากกว่านี้ และปรารถนาที่จะหลับพักผ่อนชั่วนิรันดร์
แต่น่าเสียดาย การหลับพักผ่อนนั้นหมายถึงความตาย
และหากต้องการจะตายอย่างสงบสุข ก็ต้องรอให้แม่น้ำแห่งการคืนชีพกลับมาเป็นปรกติเสียก่อน
ตราบใดที่แม่น้ำยังอยู่ในเงื้อมมือของอสูร ความปรารถนาของซีดานก็ยากที่จะเป็นจริง
กริดจึงมอบข้อเสนอ
ให้ซีดานคอยอยู่เคียงข้างคริสไปสักระยะ
ค่อนข้างน่าประหลาดใจ ซีดานยอมรับแต่โดยดี
ดูเหมือนว่าจะสนใจในตัวผู้สืบทอดคนนี้มาก
และมันยังทราบดี ความแข็งแกร่งของคริสคืออีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ตนได้เป็นอิสระ
ได้เวลาที่กริดต้องบอกลาดวงวิญญาณของซีดาน
อีโก้ของซีดานถูกบรรจุลงในดาบใหญ่เล่มใหม่และย้ายไปอยู่ในมือคริส
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นยิ่งใหญ่มาก
พัฒนาการด้านเลเวลของคริสก้าวกระโดดในระดับเดียวกับเมื่อครั้งมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูร
อย่างไรก็ดี ปัญหาด้านการสื่อสารมักเกิดขึ้นเป็นระยะ ส่งผลให้ในบางครั้งก็นำพาไปสู่เหตุการณ์ในเชิงลบ ถึงขั้นที่คริสถูกแซวว่ากำลังสะดุดขาตัวเองล้มลง
กริดมองว่าปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลายเมื่อเวลาผ่านไป
ขณะเดียวกัน เปลวไฟแห่งการเรียนรู้ในตัวฮัคเซ่นกำลังลุกโชน
มันให้ความสนใจกับเวทมนตร์ยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่เวทมนตร์ยกระดับของบราฮัม
แม้จะเคยตกเป็นวิญญาณทาสของคามิคินและต้องทนทุกข์เหมือนซีดาน แต่ฮัคเซ่นไม่ต้องการพักผ่อน มันอยากมีปฏิสัมพันธ์กับบราฮัม
“เหลวไหลสิ้นดี”
บราฮัมตอบสนองด้วยความเย็นชา
มันไม่พอใจอย่างมากเมื่อทราบว่า วิญญาณจากอดีตปรารถนาที่จะศึกษาเวทมนตร์ของตน
“ช่างน่าขันที่วิญญาณหลงใหลในเวทมนตร์ เจ้าใช้มันไม่ได้ด้วยซ้ำ หรือต่อให้เป็นมนุษย์ แต่เจ้าคิดจริงหรือว่าตัวเองคู่ควรที่จะเป็นศิษย์ข้า?”
บราฮัมไม่ลังเลที่จะพ่นถ้อยคำใจร้าย
กริดกังวลว่านั่นอาจเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ แต่ขณะเดียวกันก็เข้าใจหัวอกบราฮัม
ใครจะไปรู้สึกดีเมื่อมีคน (?) พยายามขโมยความรู้ที่ตนสั่งสมอย่างยากลำบากมานานกว่าร้อยปี
ฮัคเซ่นเองก็เข้าใจ
มันไม่เจ็บปวดกับคำพูดเหล่านั้น และยังเคารพสิ่งที่บราฮัมแสดงออก
“…ฮัคเซ่นรู้ดีว่านั่นเป็นคำขอร้องที่เสียมารยาท บราฮัม เขาเข้าใจว่าทำไมนายถึงโกรธและต้องการดูแคลน แต่ถึงจะรู้แบบนั้น เขาก็ยังยอมละทิ้งความอับอายและขอร้องอย่างตรงไปตรงมา… สุดท้ายนี้ เขาขอโทษ”
“เฮ่อะ!”
บราฮัมพ่นลมหายใจเหยียดหยันประหนึ่งไม่ต้องการสนทนาต่อ แต่ก็มิได้พ่นถ้อยคำหยาบคายใส่อีกฝ่ายเพิ่มเติม
ในฐานะมหาจอมเวท คล้ายกับบราฮัมเข้าใจความหลงใหลของฮัคเซ่น
บางทีในสักวัน คนทั้งสองอาจได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
[ฮัคเซ่นหวังว่าสักวันชายคนนี้จะเข้าใจหัวอกตน แต่ตอนนี้เขาต้องการทราบวันเกิด ราศี ส่วนสูง น้ำหนัก รสนิยม และงานอดิเรกของบราฮัม]
“…”
กริดครุ่นคิดขณะจ้องดวงวิญญาณฮัคเซ่นผู้ไม่ยอมตัดใจโดยง่าย
ทันใดนั้นเอง
“ยอดเยี่ยมมาก… ความรู้สึกที่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับโลหะ… วิเศษกว่าที่เคยจินตนาการไว้มาก… แฮ่ก… แฮ่ก… แฮ่ก…”
จากบรรดาวิญญาณอดีตตำนาน มีเพียงไฟโวล์ฟคนเดียวที่ถูกเติมเต็มความปรารถนา
ความปรารถนาที่จะเป็นจักรกลเวทมนตร์
“แม้จะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นมาก แต่ก็ยังคงกลิ่นอายของไรเดอร์สเอาไว้ สมกับเป็นรุ่นใหม่ที่ถูกพัฒนาตั้งแต่สมัยข้ายังมีชีวิต ข้าเคยเสียใจอย่างมากที่ตายก่อนจะได้ขับมัน แต่ตอนนี้ข้าสามารถข้ามกาลเวลามาเป็นหนึ่งเดียวกับมันในที่สุด… ความเคียดแค้นของข้าหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว แฮ่ก… แฮ่ก… แฮ่ก…”
โลหะสีดำ
ไฟโวล์ฟกำลังเผยด้านที่น่าขนลุกขณะพูดคุยกับตัวเองพลางลูบไล้ร่างกายที่สร้างจากละโมบ
ว่าแต่ ทำไมหมอนี่ถึงหายใจหอบ?
ไม่มีระบบทางเดินหายใจสักหน่อย
“แม้ฉันจะปรับปรุงไปบ้าง แต่ก็ยังจัดว่าล้าสมัยเมื่อเทียบกับปัจจุบัน”
“ถึงจะล้าสมัย แต่ก็ยังคงกลิ่นอายความคลาสสิก ไรเดอร์สของข้ายอดเยี่ยมที่สุดแล้ว… แฮ่ก… แฮ่ก… หืม เดี๋ยวนะ… เจ้าเป็นคนปรับแต่งมันให้ดีขึ้น? เจ๋งกว่าที่ข้าคิดอีกนะเนี่ย สมแล้วที่เป็นเทพ ฮะฮะฮะ!”
“…”
กริดหันหลังกลับอย่างเงียบงัน
จากนั้นก็ยกนิ้วโป้งให้สติกส์ที่กำลังเผยสีหน้ากังวล
สติกส์ที่ถูกทิ้งให้อยู่กับไฟโวล์ฟตามลำพังต้องเผชิญความทุกข์อยู่พักหนึ่ง
ด้วยพฤติกรรมที่ชอบหายใจหอบพลางใช้มือลูบไล้ร่างกาย จินตนาการที่เกี่ยวกับคนยักษ์ของสติกส์แหลกละเอียดในทันที
***
มีข่าวลือว่าอสูรกระจกถูกจัดการไปแล้วในนรก
ครอเกลและเฟคเกอร์รายงานว่า อสูรกระจกเป็นศัตรูที่รับมือได้ยากที่สุดเท่าที่พวกมันเคยพบเจอ
กล่าวกันว่าพวกมันใช้เวลาสิบวันเต็มเพื่อไล่ล่าอสูรที่เอาแต่ซ่อนตัวและหลบหนีไปมาระหว่างกระจกภายในปราสาทผลึก
มันเป็นถึงอสูรที่สังหารบุคคลสำคัญของกองทัพฝ่ายพันธมิตรไปมากมาย
เมื่อโอกาสมาถึง นับว่าค่อนข้างโชคดีที่การล่าจบลงด้วยความสำเร็จ
ข่าวดียังไม่หมด
เลอราเฆ่พ้นจากวิกฤติแล้ว
แม้จะยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็ตัดโอกาสที่จะถูกลอบสังหารไปได้
อย่างไรก็ดี ขุมนรกทั้งหมดที่เธอครอบครองได้ถูกช่วงชิงไประหว่างมหาสงคราม แต่ผลลัพธ์เช่นนี้ยังถือว่าอยู่ในแผนการ
พวกมันเป็นดินแดนที่ยากจะปกป้องมาตั้งแต่แรกแล้ว จึงไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงหากต้องเสียไปในปัจจุบัน
ไม่มีเหตุผลให้ต้องผิดหวังหรือเสียใจ
‘พวกเราจะค่อยๆ ยึดครองดินแดนโดยรอบปราสาทผลึกไปทีละก้าว’
แผนการจะเริ่มขึ้นเมื่อผู้เล่นพรั่งพรูลงไปเก็บเลเวลในนรกจนกลายเป็นเรื่องปรกติ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ต้องรอให้ถึงจุดที่คนส่วนใหญ่เป็นอิสระจากผลข้างเคียงของนรก และเวลาที่วาร์ปเกตถูกสร้างเสร็จ
ใช่แล้ว
แผนการของลอเอลยังคงดำเนินไปอย่างมั่นคง
ผู้เล่นจำนวนมากทยอยเข้าร่วมทีมล่าเฮลกาโอ ส่วนสติกส์และไฟโวล์ฟลงมือสร้างวาร์ปเกตขนาดใหญ่ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน
จากนั้น ข่าวใหม่ถูกส่งมาถึงลอเอลที่กำลังยิ้มแก้มปริ
เอกอัครราชทูตจากจักรวรรดิ
สิ่งที่รอคอยมาถึงแล้ว
ขณะลอเอลทักทายทูตจากจักรวรรดิด้วยความยินดี เครื่องหมายคำถามพลันปรากฏขึ้นใบหน้า
“เจ้าเป็นราชาของประเทศเล็กๆ แห่งนี้ใช่ไหม? แย่กว่าในข่าวลือเสียอีกนะ”
ทั้งใบหน้าและท่าทีของทูตล้วนแปลกตาสำหรับลอเอล
กระทั่งดยุคแห่งจักรวรรดิก็ยังเอาแต่ก้มศีรษะโดยไม่ได้มองหน้าลอเอล พวกมันเอาแต่มองไปยังบุคคลที่มาด้วยกัน
“ซาฮารัน…?”
ชื่อของทูตที่มาเยือนสร้างความสับสนให้ลอเอลไม่น้อย
Comments
Post a Comment