จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,607



พันนิชเมนต์ (Punishment) คือเวทมนตร์ที่บราฮัมคิดค้นขึ้น


หากหอกแสงพลังเวทอย่าง ‘ดิสอินทิเกรต’ คือสัญลักษณ์แห่งแสง พันนิชเมนต์ก็เป็นสัญลักษณ์ของเวทโลหิต


เวทมนตร์ที่ถือกำเนิดจากเลือด พลังเวท และองค์ความรู้ของบราฮัมซึ่งสั่งสมอย่างยาวนาน


บราฮัมออกแบบและสร้างมันขึ้นมาจากรากฐาน


แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากเวทมนตร์อื่นๆ ที่ผ่านการปรับปรุงมาแล้วหลายมือตลอดช่วงเวลาหลายปี


หากมีผู้พบเห็นพันนิชเมนต์มากกว่านี้อีกสักนิด เวทมนตร์ดังกล่าวจะถูกเทิดทูนในระดับเทวตำนาน มิใช่แค่ตำนานทั่วไป


พันนิชเมนต์ถูกสร้างขึ้นตอนไหน?


คำตอบก็คือ ระหว่างการต่อสู้กับคามิคิน ศัตรูที่ตึงมือเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น


ใช่แล้ว สถานการณ์อันบีบคั้นได้ให้กำเนิดสิ่งที่สุดยอด


อย่างไรก็ดี พันนิชเมนต์ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้น มิใช่จุดสิ้นสุด


พันนิชเมนต์ไม่ได้มีดีแค่ความอลังการ แต่เบื้องหลังถูกสร้างด้วยสูตรเวทมนตร์อันซับซ้อน


ประสิทธิภาพของมันยอดเยี่ยมประหนึ่งมีชีวิต สามารถกัดเซาะเวทมนตร์ชนิดอื่นและเข้าครอบงำโดยสมบูรณ์


เปรี้ยะ!


เพียงบราฮัมโบกมือ พายุสายฟ้าพลันก่อตัว


ไม่กี่อึดใจถัดมา หอกสายฟ้าสีเงินที่แตกแขนงเป็นหลายร้อยสาขา แผ่ขยายไปจนสุดระยะการมองเห็นของบราฮัม


เมฆสูงเหนือยอดเขาเปล่งแสงสีเงินพร้อมกับพรั่งพรูสายฝนลงมาจากเบื้องบน


เป็นพลังอำนาจอันเกรี้ยวกราด


ลำพังการโคจรพลังเวท มากพอที่จะเปลี่ยนสภาพอากาศในพริบตา


“…ชิ”


ใบหน้าบราฮัมเผยความไม่สบอารมณ์


กระแสไฟฟ้าที่ยังหลงเหลือบนฝ่ามือเริ่มกลายเป็นสีม่วง เป็นร่องรอยของพันนิชเมนต์


ช้าเกินไป


ผลลัพธ์ที่บราฮัมปรารถนาก็คือ กระแสไฟฟ้าทุกเส้นต้องถูกย้อมด้วยสีม่วงตั้งแต่ต้น


แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ กระแสไฟฟ้าสีเงินกระทบกับเป้าหมายก่อนที่สูตรเวทมนตร์ของพันนิชเมนต์จะทำงาน


แน่นอน หากนำสูตรเวทมนตร์ของพันนิชเมนต์มาใส่ในขั้นตอนโคจรพลังเวท กระแสไฟฟ้าทั้งหมดจะกลายเป็นสีม่วงตั้งแต่ต้น


แต่วิธีดังกล่าวมี ‘มากพิธี’ เกินไป ส่งผลให้เวลาร่ายเพิ่มขึ้น


กล่าวคือ บราฮัมจะสูญเสียจุดแข็งของตนในการ ‘ปลดปล่อยเวทมนตร์ในพริบตา’ ไปทันที


‘ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว เราต้องลดความซับซ้อนของขั้นตอนลง’


แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย


บราฮัมได้ปรับเปลี่ยนสูตรเวทมนตร์ของพันนิชเมนต์มาแล้วหลายหน ความซับซ้อนลดลงกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับตอนที่ใช้ใส่คามิคิน การจะลดขั้นตอนลงโดยที่ไม่สูญเสียประสิทธิภาพและพลังทำลาย สำหรับปัจจุบันถือเป็นเรื่องยากมาก


เป็นอีกครั้งที่ทางออกที่ดีที่สุด คือการเสริมความแข็งแกร่งให้กับ ‘พลังจิต’


พลังจิตที่เข้มแข็ง สามารถผสานพลังเวทและความคิดให้เป็นเนื้อเดียวกัน


กล่าวคือ การปลดปล่อยเวทมนตร์จะทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น


บราฮัมที่ได้รับพลังแวมไพร์ทายาทกลับคืนมา มีความเร็วในการร่ายเวทสูงชนิดไม่มีใครเทียบได้ กระทั่งเวทใหญ่อย่างอุกกาบาตก็ยังสามารถปลดปล่อยในพริบตา


แต่นั่นยังไม่เพียงพอที่จะร่ายพันนิชเมนต์แบบไร้หลอด


‘นี่คงเป็นขีดจำกัดในตอนนี้’


ถัดไปจะต้องแข่งกับเวลา


กว่าจะทำให้พันนิชเมนต์กลายเป็น ‘บิดาของเวทมนตร์ทุกชนิด’ ได้สำเร็จ เราคงต้องทุ่มเทเวลาให้กับการค้นคว้าอีกพักใหญ่ นั่นอาจต้องใช้เวลาหลายสิบหรือหลายร้อยปี…


แต่ก็ต้องทำให้ได้


หากสามารถใช้พันนิชเมนต์ในระดับดังกล่าว บราฮัมจะกลายเป็น ‘เทพแห่งเวทมนตร์’ ทันที


ขอเพียงมั่นใจว่าจะทำสำเร็จ เราจะก้มหน้าทำโดยไม่สนว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน…


จอมเวทผู้สังหารเทพ


กล่าวคือ บราฮัมมีสิทธิ์ก้าวไปถึงระดับที่สามารถสังหารเทพด้วยพลังทำลายบริสุทธิ์


“ออกมาได้แล้ว”


บราฮัมกล่าวขณะรวบรวมสติ


คู่สนทนาคือแขกไม่ได้รับเชิญที่กำลังยืนรอ


“ขอโทษที่มาหาโดยไม่บอกล่วงหน้า”


ผู้มาเยือนไม่ใช่ใครนอกจากปิอาโร่


ผิวพรรณซีดเผือด แม้จะเป็นชาวนาในตำนาน แต่ก็มองไม่เห็นถึงสง่าราศี ยากจะพบความพิเศษจากดวงตาที่เหมือนปลาตาย


‘เจ้านี่ธาตุไฟแตกหรืออย่างไร?’


บราฮัมขมวดคิ้ว


หลายปีก่อน


สมัยที่บราฮัมยังไม่ได้ร่างเนื้อกลับคืน ยังเป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อน


ปิอาโร่คือเสาหลักของอาณาจักร


กริดและทุกคนล้วนพึ่งพาปิอาโร่


มันเก่งกาจถึงเพียงนั้น


แม้แต่บราฮัมที่ได้รับร่างเนื้อกลับคืนมา ก็ยังนึกชื่นชมหลังจากได้ดวลกัน


‘แต่นับจากตอนนั้น เขาแทบไม่พัฒนาขึ้นเลย’


คนที่เคยสุกสว่างที่สุดหากไม่นับกริด ปัจจุบันกำลังซอมซ่อสุดขีด


เรื่องนี้ผิดไปจากความคาดหมายของบราฮัมพอสมควร อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คลาสชาวนามีศักยภาพต่ำกว่าตำนานอื่นอย่างชัดเจน


แน่นอน ปิอาโร่เคยภาคภูมิใจกับความเป็นชาวนา แต่นั่นคือเรื่องสมัยอดีต


เมื่อกริดกลายเป็นเทพและเริ่มมอบตำแหน่งอัครสาวก


ปิอาโร่ซึ่งตระหนักถึงขีดจำกัดของตัวเอง ทวีความกังวลและพยายามดิ้นรนเพื่อทำลายกำแพง


แต่ในท้ายที่สุด มันทำไม่สำเร็จและต้องตกอยู่ในสภาพปัจจุบัน


“ต้องการอะไร?”


บราฮัมเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงเย็นชา คล้ายกับกำลังไม่สบอารมณ์


แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิด


หากบราฮัมไม่สบอารมณ์จริง มันคงไม่หันมาสนใจปิอาโร่แต่แรก


คนอื่นอาจไม่ทราบ แต่บราฮัมนับถือปิอาโร่พอสมควร


อีกฝ่ายคอยอยู่เคียงข้างกริดในระหว่างที่ตนทำไม่ได้ ย่อมเป็นธรรมดาที่บราฮัมจะนึกชื่นชม


แต่ด้วยอุปนิสัยส่วนตัว มันไม่สามารถแสดงออกในสิ่งที่คิด


ยิ่งไปกว่านั้น ในระยะหลัง ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนจากชื่นชมเป็นเห็นใจ


“ดวลกับฉัน”


“ดวล?”


บราฮัมเผยรอยยิ้ม นั่นไม่ใช่การยิ้มเยาะ แต่เป็นความขบขันจนอดยิ้มไม่ได้


“เกรงว่านั่นอาจไม่ใช่การดวล”


บราฮัมกล่าวเสียงเย็นชา


มันหวนนึกถึงความโดดเด่นของปิอาโร่ในมหาสงครามระหว่างมนุษย์กับอสูร


จริงอยู่ที่ปิอาโร่อาจแข็งแกร่ง แต่ก็แค่ในสายตามนุษย์


บราฮัมไม่เพียงจะเป็นตำนาน แต่ยังเป็นเหนือมนุษย์ที่กำลังสั่งสมบารมีเทพ แถมยังได้รับพลังแวมไพร์ทายาทกลับคืน เรียกได้ว่าเหนือกว่าปิอาโร่ทั้งทางกายภาพและเวทมนตร์


ด้วยความสัตย์จริง ช่องว่างต่างกันเกินไป


มันเข้าใจเจตนาของปิอาโร่ ที่ต้องการมองหาแรงบันดาลใจจากการแลกเปลี่ยนวิชา แต่บราฮัมมองว่าคงเป็นเรื่องยากที่ปิอาโร่จะได้อะไรจากการสู้กับตน


และต้องไม่ลืมว่า นอกจากเวทมนตร์ บราฮัมไม่เก่งกาจพอที่จะศาสตร์วิชาแขนงอื่น


“ทำไมไม่ลองละทิ้งศักดิ์ศรีและขอคำแนะนำจากศิษย์ของเจ้าดู”


บราฮัมหมายถึงเมอร์เซเดส


อัศวินผู้ครั้งหนึ่งเคยเป็นศิษย์ของปิอาโร่


พิจารณาจากองค์ประกอบ เมอร์เซเดสเหมาะสมที่จะสอนปิอาโร่มากที่สุด


แน่นอน นั่นเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจปิอาโร่ แต่ในฐานะดยุคแห่งปัญญา บราฮัมเลือกใช้ยาขม


ปิอาโร่ส่ายศีรษะ


“ฉันยังไม่มั่นใจว่าจะควบคุมพลังของตัวเองได้”


“…?”


“คู่ดวลที่ดีที่สุดจึงเป็นนาย”


“…!”


ดวงตาบราฮัมค่อยๆ เบิกกว้าง


นั่นเพราะหลังจากดวงตาปิอาโร่กลับมาคมชัดและแน่วแน่ บราฮัมสัมผัสถึงความผันผวนของละอองมานาในอากาศ


ผืนป่า ไม่สิ ภูเขาทั้งลูกเริ่มสั่นไหว ทั้งหมดกำลังโอนถ่ายพลังมาให้ปิอาโร่


เมื่อตระหนักว่าเวท ‘ดูดกลืนมานา’ ใช้ไม่ได้ผล บราฮัมลอยตัวขึ้นไปในอากาศพร้อมกับนำไม้เท้าบีเลียลออกมาถือ


‘บ้าน่า…?’


ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่ง บราฮัมไม่ลืมเปิดใช้งานเวทตรวจจับ


เพื่อให้ตนระบุความเคลื่อนไหวของเป้าหมายได้แม่นยำขึ้น


แต่ในวินาทีนี้ เมื่อเวทตรวจจับแผ่ขยายออกไป บราฮัมมีอันต้องตะลึง


ปิอาโร่กำลังยืนอยู่บนยอดเขา


บราฮัมเห็นอีกฝ่ายด้วยตาเปล่า แต่เวทตรวจจับกลับหาไม่พบ


“ธรรมชาติบิดเบือน…”


นับตั้งแต่วันที่กลายเป็นชาวนา


ปิอาโร่เต้นระบำท่ามกลางธรรมชาติมาตลอด


แต่ในช่วงเวลานั้น ปิอาโร่มิอาจควบคุมธรรมชาติได้โดยสมบูรณ์


เพราะนั่นคือแนวคิดที่ผิด


มนุษย์ไม่ควรควบคุมธรรมชาติ


แต่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ


ต้องเป็นผืนดินให้กริดเหยียบยืน เป็นสายฝนคอยชะล้างเลือดและเหงื่อให้กริด เป็นสายลมที่ทำให้กริดตัวแห้ง


กลมกลืนเป็นเนื้อเดียว มิใช่บังคับควบคุม นั่นคือการเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ


“ลงมือล่ะนะ”


ทันทีที่ปิอาโร่ก้าวเท้า


บราฮัมซึ่งรู้สึกเหมือนถูกขุนเขาทั้งลูกโถมเข้าใส่ อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งร่าง


ถึงขั้นได้รับแรงบันดาลใจใหม่


สูตรเวทมนตร์ของพันนิชเมนต์ที่ล่องลอยอยู่ในหัวมาสักพัก มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง


สูตรเวทมนตร์ซึ่งเคยถูกลัดขั้นตอนให้สั้นลง แปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อนมากกว่าสูตรแรกสุด จนสูญเสียคุณสมบัติในการกัดเซาะเวทมนตร์ชนิดอื่น


แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือความเร็ว


หลักการของเวทมนตร์เปลี่ยนไป เจตจำนงในการพิชิตถูกสลัดออก แทนที่ด้วยความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว


เปรี้ยะ!


กระแสไฟฟ้าสีม่วงส่องสว่างท่วมโลก


***


“น่าแปลก”


ประสบการณ์ครั้งแรกมักสร้างความประหลาดใจเสมอ


เนเฟลิน่าซึ่งใช้วาจามังกรสำเร็จเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดมา ผุดความฉงนมากกว่ามัวชื่นชมยินดี


วาจามังกรประสบความสำเร็จไม่ผิดแน่


แต่สิ่งที่เธอกำลังเห็นคือทุ่งกว้างอันว่างเปล่า


อย่าว่าแต่กริด ที่นี่ไม่มีอะไรเลย


หมายความว่ายังไง?


‘หรือว่า…?’


เนเฟลิน่ากวาดสายตาด้วยใบหน้าซีดเผือด จากนั้นก็รีบหมอบลงและใช้หูแนบพื้น ปิดลมหายใจของตัวเอง


เธอเชื่อว่ากริดอาจถูกฝังอยู่ใต้ดิน


‘เขาตายแล้ว… ก็เลยถูกฝัง?’


นึกแล้วเชียว ช่องว่างของเวลาถึงได้นานขนาดนี้


สายตาหญิงสาวหมุนไปรอบทิศ เหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้เธอปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ติด ทำได้เพียงแผ่ขยายประสาทสัมผัสออกไป


สวบ สวบ


สวบ สวบ


ลูกสาวมังกรคลั่ง เนเฟลิน่า กำลังคลานไปตามผืนดินอันกว้างใหญ่ด้วยสีหน้าสับสน


ในท่าแนบหูข้างหนึ่งกับพื้น ภาพที่เห็นจึงไม่ต่างอะไรกับจิ้งจกตัวใหญ่


และยิ่งดูประหลาดเมื่อเธออยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กผู้หญิง


“อย่าบอกนะว่า… โตเต็มวัย?”


“…???”


กริดถูกฝังอยู่ที่ไหนกันแน่


เนเฟลิน่าที่กำลังคลานไปมา พลันประหลาดใจเมื่อเห็นขามนุษย์อันเลือนรางจากระยะไกล


กริด…?


ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่กลิ่นของกริด และเหนือสิ่งอื่นใด กริดไม่เคยเดินเท้าเปล่า


เนเฟลิน่าค่อยๆ เงยหน้าขึ้น


“แฮชลิ่งมาทำอะไรที่นี่?”


ลำดับหก เค็น


จากบรรดาสภาหอคอย ประสาทสัมผัสของเค็นเฉียบคมเป็นพิเศษ เนื่องจากมันใช้ทุกส่วนของร่างกายเป็นอาวุธ


เค็นที่สัมผัสถึงสัญญาณของมังกร ตัดสินใจเดินลงมาตรวจสอบ


“อะ…อึ๋ย!”


เนเฟลิน่าสะดุ้งเสียงหลง


เธอได้กลิ่นความตายจากตัวเค็น คล้ายกับที่วัวมีลางสังหรณ์ของโรงฆ่าสัตว์


เธอรีบสวมเกล็ดสีดำปกคลุมร่างกาย เป็นเกล็ดที่งดงามดุจดังอัญมณีสีดำ


เค็นเข้าใจในทันที


“ลูกสาวมังกรคลั่งสินะ… คงเสียสติเหมือนพ่อ”


โชคดีที่ไม่ใช่โตเต็มวัย


ขณะเค็นเผยความโล่งใจ เหล่าสภาคนที่เหลือทยอยปรากฏตัวจากด้านหลัง


สมองเนเฟลิน่าได้กลิ่นความตายชัดเจนยิ่งขึ้น ศีรษะของเธอวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม


แต่เธอเป็นถึงลูกสาวมังกรคลั่งและอัครเทวทูตแห่งเทพโอเวอร์เกียร์ ย่อมมิอาจแสดงกิริยาท่าทางน่าอดสู สติถูกประคองไว้อย่างเต็มกลืน


ทันใดนั้นเอง


“เนเฟลิน่า?”


เธอได้ยินเสียงที่อยากได้ยินมากที่สุด จากด้านหลังสุดของเหล่าสัตว์ประหลาด


“กริด…!”


นึกแล้วเชียว เขายังมีชีวิตอยู่…


ต้องแน่อยู่แล้ว


ชายผู้เป็นถึงเทพและบิดาของข้า ย่อมไม่ตายไปง่ายๆ …


เนเฟลิน่าฉีกยิ้มกว้างพลางหันไปมองต้นเสียง


ทันใดนั้นก็หมดสติทันที


นั่นเพราะรูปลักษณ์ของกริดซึ่งกำลังสวมเกล็ดพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ ดูน่าสยดสยองเหนือพรรณนา


เป็นเรื่องยากที่เนเฟลิน่าซึ่งจิตใจกำลังเปราะบางจะรับมือไหว


______________

ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,059   ★ ★ จบบริบูรณ์  ★ ★

ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ


Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00