จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,295
สำหรับท่าทีอันเฉยเมยที่แกรนมาสเตอร์ปฏิบัติต่อพุงซา กริดไม่แปลกใจสักเท่าไร
ตรงข้ามกับความสงสัย มันเข้าใจและมองเป็นเพียงเรื่องปรกติ
ทว่า
“ขอคารวะองค์เทพ”
แกรนมาสเตอร์กลับนอบน้อมต่อซือโหยวชนิดที่เห็นความแตกต่างได้ชัดเจน
คำทักทายอันเปี่ยมด้วยความเคารพ รวมไปถึงภาษากายอย่างการก้มศีรษะคำนับโดยไม่ต้องมีใครออกคำสั่ง เป็นอากัปกิริยาที่แตกต่างจากเมื่อครั้งเผชิญหน้าเทพตนอื่นโดยสิ้นเชิง
ซือโหยว…
หรือว่า… เทพสุดทรงพลังผู้ทำหน้าที่คอยอบรมดูแลยังบันตนนี้ จะแข็งแกร่งเสียจนแกรนมาสเตอร์ต้องเคารพยำเกรง?
กริดครุ่นคิดสักพัก แต่เพียงไม่นานก็เริ่มมั่นใจ ว่าไม่ใช่เพราะสาเหตุดังกล่าวแน่
‘…ไม่น่าใช่ คงมีอะไรมากกว่านั้น’
รีเบคก้า เทพธิดาแห่งแสง
เฮ็กเซเทีย เทพแห่งการตีเหล็ก
เซราทุล เทพสงคราม
พุงซา เทพวายุ
กริดมีความรู้สึกต่อเทพเหล่านี้แตกต่างกันออกไป สำหรับรีเบคก้า มันสัมผัสถึงความห่วงใยจากอีกฝ่าย แต่ก็มีกลิ่นอายความซับซ้อนที่ยากจะอธิบาย
สำหรับเฮ็กเซเทีย มันรู้สึกเห็นใจและเข้าถึงอารมณ์ความเจ็บปวด
สำหรับเซราทุลและพุงซา กริดรู้สึกหวาดกลัวและรังเกียจพวกมัน
แต่ในกรณีของซือโหยว กริดแทบไม่มีข้อมูล
ไม่เกี่ยวกับความรู้สึก แต่มันมิอาจตัดสินซือโหยวเนื่องจากไม่รู้จักอีกฝ่ายมาก่อน
“ยินดีที่ได้พบเจ้า”
สายตาซือโหยวที่มองสลับไปมาระหว่างตนกับแกรนมาสเตอร์ ทำให้กริดเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง
เป็นความรู้สึกเหมือนกับเมื่อครั้งได้พบเมอร์เซเดสเป็นหนแรก
[เทพสงครามแห่งตะวันออก ซือโหยว กำลังเพ่งมองท่าน]
[ข้อมูลด้านต่อสู้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเลเวล ค่าสถานะ หรือทักษะ จะถูกเปิดเผยต่อซือโหยว]
[จุดอ่อนทั้งหมดถูกเปิดเผยต่อซือโหยว]
[ขณะโจมตี ความแม่นยำจะลดลง 80%]
[ขณะถูกโจมตี ท่านจะได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปรกติ]
[พลังเหนือมนุษย์ทุกชนิดที่ท่านสั่งสมมา จะถูกระงับเป็นการชั่วคราว]
[ค่าสถานะทุกชนิดที่เกิดจากตัวตนเหนือมนุษย์จะถูกผนึกเป็นการชั่วคราว]
แตกต่างจากเนตรมองทะลุ
เนตรมองทะลุของเมอร์เซเดสมีพลังในการมองทะลุ ‘ทุกสิ่ง’ แต่การเพ่งมองของซือโหยวจะมีผลเฉพาะคุณสมบัติด้านการ ‘ต่อสู้’
อย่างไรก็ตาม เนตรมองทะลุของเมอร์เซเดสยังไม่ใช่รุ่นสมบูรณ์ ถึงจะมองได้ทุกสิ่ง แต่คุณภาพก็ยังด้อยกว่า เมื่อเทียบกับการเพ่งมองของซือโหยวที่มีขอบเขตเพียงการต่อสู้
หรือก็คือ หากเทียบเฉพาะปัจจุบัน การเพ่งมองของซือโหยวจะทรงพลังกว่ามาก
ทว่า เหตุผลที่กริดสั่นสะท้านมิใช่เพราะการเพ่งมองของซือโหยวเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็น ‘ระดับตัวตน’ ซึ่งดูเหมือนจะสูงส่งกว่าหลายเท่า
มันเริ่มเข้าใจแล้วว่า เหตุใดแกรนมาสเตอร์ถึงยอมก้มศีรษะให้บุคคลผู้นี้
‘เทพแท้จริง’
เฮ็กเซเทียและเซราทุลถูกสร้างโดยรีเบคก้า ส่วนพุงซาถูกสร้างโดยฮานึล แต่ซือโหยวคือเทพที่เกิดจากความปรารถนาก้นบึ้งของมนุษย์ นั่นคือปัจจัยที่สร้างความแตกต่าง
จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากตนได้พบกับเทพธิดาแห่งแสง รีเบคก้า โดยตรง?
เพียง ‘ภาพเสมือน’ ของเทพธิดา ก็มากพอจะทำให้กริดใจเต้นโครมครามจนแทบหลุดทะลุออกจากอก จึงไม่แปลกที่มันจะตั้งตารอคอยการพานพบระหว่างตนกับอีกฝ่าย
ขณะเดียวกัน กริดเริ่มอยากทราบว่า การได้พบฮานึลจะก่อให้เกิดความรู้สึกเช่นไรบ้าง
“ขึ้นไป”
อึก
เมื่อซือโหยวจากไป บันไดเริ่มเผยรูปร่างให้เห็น กริดกลืนน้ำลายหลายหนขณะเดินตามหลังกลุ่มขึ้นไป
พวกยังบันมักดูแคลนมนุษย์ และฮานึลคือผู้สร้างยังบัน
ในอดีต มันเคยใช้ภารกิจเพื่อหลอกล่อผู้เล่นมาฆ่า อย่างน้อยก็สามหนเท่าที่กริดจำความได้
‘ฮานึลคือตัวตนที่ชั่วร้าย’
มันคือเทพลึกลับที่มิได้คุกคามมนุษย์โดยตรงเหมือนกับที่ยาธานชุบเลี้ยงจอมอสูร
ฮานึลกัดกร่อน หลอกลวง และมองมนุษย์เป็นเพียงทาส
ในสายตากริด ฮานึลไม่ต่างอะไรกับสัตว์ประหลาด ชวนให้นึกถึงงูพิษที่แอบกัดกร่อนและทำลายปอดของมนุษย์
ทว่า ความจริงแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
“ยินดีต้อนรับ”
[ ท่านคือผู้เล่นคนแรกที่ได้พบกับตัวตนสัมบูรณ์ ฮานึล ]
[ ท่านได้ประจักษ์หนึ่งในแหล่งกำเนิดโลก ส่งผลให้พื้นฐานความรู้กว้างขวางขึ้น ]
[ ในอนาคต ท่านจะไม่เกิดความหวาดกลัวเมื่อได้เผชิญหน้ากับตัวตนสัมบูรณ์อื่น เช่นเทพ มังกร และจอมอสูร ]
น้ำเสียงอันอบอุ่นและดวงตาแสนอ่อนโยน
ฮานึลมอบความประทับใจแรกเดียวกับรีเบคก้า เทพธิดาแห่งแสง
มันใจดีถึงขนาดเสกเก้าอี้เมฆให้กริดและพรรคพวกนั่ง
แต่ชายคนนี้คือผู้ปิดผนึกเทพผู้พิทักษ์ทั้งสี่และหลอกลวงให้มนุษย์ทวีปตะวันออกหลงเชื่อในตำนานจอมปลอม แถมยังเป็นตัวตนที่สร้างภารกิจเพียงเพื่อลวงสังหารผู้เล่นนับพัน…
ภาพจำของฮานึลแตกต่างจากที่กริดคิดไว้ แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็มิได้ประมาท
มันพยายามมองทะลุเข้าไปให้ถึงธรรมชาติอันโหดร้ายที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม กริดกลับมองไม่เห็น ‘ใบหน้า’ ของฮานึลได้ชัดเจน
เพียงทราบว่าบรรยากาศรอบกายอบอุ่นและอ่อนโยน แต่มิอาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริง
หลังจากฮานึลทักทายแกรนมาสเตอร์ สายตาของมันชำเลืองมาทางกริด
“คงเป็นการอคติเกินไปสักนิด หากจะตัดสินว่าใครบางคนอยู่ฝ่ายดีหรือชั่ว ผ่านการกระทำและพฤติกรรมเพียงผิวเผิน… และในทางกลับกัน เจ้าเองก็กำลังถูกผู้คนจำนวนไม่น้อยมองว่าเป็นปีศาจ”
“…!!”
ถ้อยคำฮานึลเสียดแทงเข้าไปในใจกริด
ตรงข้ามกับรีเบคก้าที่เป็นตัวแทนของความดี และยาธานที่เป็นตัวแทนความชั่ว ฮานึลเลือกจะนิยามตัวเองดังนี้
“จากบรรดามหาเทพทั้งสาม ข้าคือตัวตนที่ใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุด จึงไม่ควรตัดสินจากด้านเดียวและเลือกจะตั้งตัวเป็นศัตรู”
เจ็ดนักบุญภัยพิบัติเคยกล่าวไว้ว่า รีเบคก้าและยาธานไม่ต่างอะไรกับผู้ปกครองไร้อารมณ์
ทั้งสองเทพสลับกันสร้างและทำลายโลกมนุษย์อย่างต่อเนื่องโดยไม่เคยมีความรักหรือเกลียดชังเข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่ในทางกลับกัน ฮานึลแตกต่างออกไป อย่างน้อยก็ในด้านความรู้สึกนึกคิด
บางครั้ง มันต่อสู้เพื่อใครบางคน และเลี่ยงไม่ได้ที่จะเสียสละเพื่อใครบางคน นั่นคือสาเหตุที่มันผนึกสี่เทพผู้พิทักษ์ และสร้างยังบันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ห้าอาวุโส
“ข้า…”
สีหน้าฮานึลพลันขึงขัง ราวกับแม่ทัพสวรรค์ผู้ไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใด
“…ต่อสู้เพื่อทุกคนที่รับใช้ข้า”
ทันใดนั้น ใบหน้าฮานึลแปรเปลี่ยนกลายเป็นอสรพิษดุร้ายตามจินตนาการของกริด
“ข้าจะลงทัณฑ์ทุกคนที่บังอาจเคลือบแคลงและต่อต้าน”
ใบหน้าฮานึลกลายเป็นสตรีร่ำไห้
“ข้าโศกเศร้ากับทุกความตาย”
ปิดท้ายด้วยใบหน้าอันอบอุ่นของชายชรา
“ข้าคือมหาเทพเพียงตนเดียวที่สามารถชี้นำมนุษย์ไปยังอนาคตที่ถูกต้อง”
ฮานึลพยายามขจัดความเคลือบแคลงในใจกริด โดยขณะเดียวกัน มันก็พยายามโน้มน้าวให้แกรนมาสเตอร์เปลี่ยนใจมาเป็นพวก
“แล้วรีเบคก้ากับยาธานทำอะไร? พวกเขาแบ่งแยกเป็นฝ่ายดีชั่ว จนโลกต้องแตกออกเป็นสองฝั่งและห้ำหั่นกันจนเกิดความเสียหายร้ายแรง… ในขณะที่ข้าทำเพียงเฝ้ามอง… และเหนือสิ่งอื่นใด รีเบคก้ามิได้แยแสมนุษย์เจ็ดคนที่พยายามต่อสู้เพื่อหล่อน ซ้ำร้ายยังสาปให้พวกเขากลายเป็นมาร”
“…”
ดวงตาแกรนมาสเตอร์พลันแดงก่ำ เนื่องด้วยความเกลียดชังเป็นล้นพ้นที่มีต่อรีเบคก้า
แกรนมาสเตอร์ที่มิอาจให้อภัยรีเบคก้า กำลังถูกฮานึลผู้ประกาศว่าตนไม่สังกัดฝักฝ่าย โน้มน้าวใจให้เข้าร่วมเป็นพวกพ้อง
มันเริ่มเชื่อทีละนิดว่า ฮานึลคือเทพที่ใกล้ชิดกับมนุษย์และพยายามชี้นำไปยังทิศทางที่ถูกต้อง
ในวินาทีดังกล่าว กริดแทรกบทสนทนา
“แล้วท่านเคยชี้นำมนุษย์ไปในทิศทางที่ถูกต้องสักครั้งหรือยัง?”
คำถามอันโผงผางส่งผลให้ซอบยอลรวมถึงทั้งสาม ‘ซา’ หันมาจ้องกริดเป็นตาเดียว
ถึงแววตาจะมิได้แฝงความโกรธเคืองหรือจิตสังหาร แต่กริดก็สัมผัสถึงความมุ่งร้ายได้อย่างเจือจาง
ฮานึลตอบคำถาม
“จงรับใช้พวกเรา เหมือนกับที่เคยรับใช้เทพของพวกเจ้า”
“‘พวกท่าน’ ที่ว่า… รวมถึงยังบันด้วยไหม”
“ถูกต้อง”
“การชี้นำของท่าน หมายถึงการปฏิบัติต่อมนุษย์เยี่ยงปศุสัตว์และอนุญาตให้ยังบันทำร้ายพวกเขาได้ตามใจชอบ?”
“ประการแรก ยังบันมิได้ทำร้ายมนุษย์ตามอำเภอใจ… หากไม่นับพวกเด็กที่มิอาจควบคุมอารมณ์ตัวเอง ยังไม่เคยมียังบันตนใดสังหารมนุษย์มาก่อน”
นี่คือข้อเท็จจริง
ยังบันใช้ความรุนแรงไม่บ่อยครั้งนัก ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ กษัตริย์โชเคยไม่รอบคอบจนทำคันศรฟินิกซ์แดงหาย แม้สิ่งนั้นจะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับผนึกเทพฟินิกซ์แดง แต่ยังบันก็มิได้ลงโทษจนถึงแก่ความตาย
ยังบันที่เคยเข่นฆ่ามนุษย์อย่างสนุกมือมีเพียงการัมตนเดียว และนั่นเป็นเพราะมันหน้ามืดตามัวด้วยความแค้นที่มีต่อกริด
คงเป็นการอคติเกินไปสักนิด หากจะตัดสินภาพรวมของยังบันจากการัมเป็นหลัก
“ประการที่สอง การที่ยังบันปฏิบัติตัวต่อมนุษย์ด้วยความดูแคลน เรื่องนี้ถือเป็นเหตุสุดวิสัย… ต้องไม่ลืมว่า ถึงภายนอกจะคล้ายคลึง แต่ยังบันมีอายุขัยยืนยาวกว่ามนุษย์หลายเท่า รวมถึงฝีมือที่อยู่คนละระดับ จึงเป็นเรื่องปรกติหากพวกเขาจะมองว่ามนุษย์แตกต่างจากตน… ยังบันดูแคลนมนุษย์เพราะพวกเขายังไม่กลายเป็นเทพ หากวันใดที่กลายเป็นเทพได้ด้วยความศรัทธา พวกเขาจะรู้สึกขอบคุณและเมตตาต่อมนุษย์”
“มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว… บุคคลที่ปฏิบัติต่อมนุษย์เยี่ยงปศุสัตว์มาตลอด จะตระหนักถึงบุญคุณของมนุษย์เมื่อกลายเป็นเทพจริงหรือ?”
ยิ่งสนทนา กริดก็ยิ่งพบว่าเรื่องราวไม่คืบหน้า
ฮานึลถามกลับ
“เจ้าเคยฆ่าคนไปเท่าไร”
“…!”
“เพียงเจ้าคนเดียว ก็สังหารผู้คนไปมากมายยิ่งกว่าที่ยังบันทั้งหมดเคยทำรวมกัน หลายร้อยหลายพันเท่า”
“ร…เรื่องนั้น…”
“จริงอยู่ การเข่นฆ่าของเจ้าเกิดขึ้นเพียงเพราะต้องการผดุงคุณธรรม แต่เจ้าจะพิสูจน์ได้อย่างไร ว่าคุณธรรมของเจ้าคือสิ่งที่ถูกต้อง… ในสายตาของเหยื่อ เจ้าก็คงไม่ต่างอะไรกับปีศาจ”
“…”
กริดหมดคำจะเถียง
ไม่ใช่เพราะมันเห็นด้วยกับฮานึล ผู้พยายามบ่ายเบี่ยงความผิดของยังบัน แต่เป็นเพราะกริดมิอาจหาเหตุผลมาหักล้าง
เมื่อขณะชายหนุ่มเงียบงัน ฮานึลหันไปทางแกรนมาสเตอร์และตั้งคำถาม
“เจ้าคิดว่าจะมีโอกาสได้สนทนากับรีเบคก้า เหมือนที่กำลังทำกับข้าไหม”
“…ไม่มีทาง”
เมื่อเห็นแกรนมาสเตอร์ส่ายหน้า รอยยิ้มเจือจางพลันปรากฏบนใบหน้าฮานึล
“ข้าคือมหาเทพเพียงตนเดียวที่สามารถทำความเข้าใจมนุษย์ด้วยบทสนทนา หากเจ้าปรารถนาโลกในอุดมคติ เจ้าและเจ็ดนักบุญต้องคอยสนับสนุนข้า… ไม่เพียงเท่านั้น การจะคืนชีพให้พวกเขา พลังของข้าคือสิ่งจำเป็น”
ถ้อยคำดังกล่าวอันแน่นไปด้วยการโน้มน้าว ฮานึลเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า แกรนมาสเตอร์จะต้องตอบตกลงแน่นอน
แกรนมาสเตอร์เงียบงัน ก่อนจะเปิดปากพูด
“แต่ท่านมิได้กล่าวคำขอโทษ”
“…?”
“มหาเทพผู้ไม่คิดจะขอโทษในความบกพร่องและพฤติกรรมอันต่ำช้าของยังบันโดยอ้างว่าเป็น ‘เหตุสุดวิสัย’ ข้าไม่คิดจะเสวนากับตัวตนเช่นนี้”
“ทุกการกระทำมีราคาที่ต้องจ่าย… ดังที่เคยกล่าวไป ยังบันจะตอบแทนมนุษย์อย่างแน่นอน”
“…”
แกรนมาสเตอร์เริ่มตระหนัก
มหาเทพทุกล้วนเหมือนกันทั้งหมด เพียงแต่ฮานึลอาจไม่สุดโต่งเท่ารีเบคก้าและยาธาน
แกรนมาสเตอร์ลุกจากที่นั่งด้วยสีหน้าเย็นชา
ฮานึลกล่าวตามหลัง
“อัครสาวกซิกผู้น่าสงสาร เจ้าไม่มีวันคืนชีพเจ็ดนักบุญได้ด้วยตัวคนเดียวแน่”
“ผิดแล้ว”
ซิกหยุดเดินและวางมือลงบนไหล่กริด
“ข้ามิได้ตัวคนเดียว”
สนุกมากๆ ลุ้นสุดๆ 555
ReplyDeleteเชี่ย!! 'ไอริณ'สวนมันไปเลย อย่างน้อยกริดก็ไม่ได้ดูแคลนมนุษย์เหมือนหมูเหมือนหมา
ReplyDelete