จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,290
“ไม่นอนพักสักนิดเลยหรือ ร่างกายจะไม่เป็นอะไรแน่นะ?”
“แสงแดดและสายฝนเปรียบดังผืนผ้าห่มสำหรับร่างกายกระหม่อม ความรู้สึกไม่ต่างจากการได้หลับพักผ่อนแม้นความจริงจะไม่ได้นอนก็ตาม กลิ่นดินหญ้าช่วยให้จิตใจปลอดโปร่ง ขจัดอาการเหนื่อยล้าได้เป็นปลิดทิ้ง… การได้ทำงานที่รักก็ไม่ต่างอะไรกับการได้พักผ่อนกายา”
‘ชาวนาในตำนานหลงใหลกลิ่นดิน…’
แล้วสักวันเราจะหลงใหลกลิ่นเหล็กบ้างไหม?
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประสิทธิภาพในการทำงานของเราอาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย…
ความคิดทำนองนี้ช่วยให้กริดก้าวขึ้นมายืนอยู่บนจุดสูงสุดเหนือผู้เล่นทั้งหมด เป็นหลักฐานของความเพียรพยายามและความไม่ท้อถอยขณะเผชิญหน้ากับปัญหา
ในยามที่คนอื่นหลับ ชายหนุ่มมักทำงานตีเหล็กข้ามวันข้ามคืนบ่อยครั้ง ส่งผลให้ถีบตัวเองหนีห่างจากผู้เล่นคนอื่นและรักษาความเป็นจุดสูงสุดไว้อย่างมั่นคง
แม้กระทั่งตอนนี้ กริดปรารถนาจะบรรลุเป้าหมายของการเดินทางโดยเร็ว แม้นร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสก็ตาม
“เข้าใจแล้ว ฉันขอตัวไปนอนพักก่อน ส่วนนายก็รีบจัดการให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์ตกดิน”
“ขอรับฝ่าบาท เมื่อพระองค์ตื่นจากบรรทม กระหม่อมขอสัญญาว่าจะนำข่าวดีไปมอบให้”
วอลนัทสีทองคือไอเท็มที่ช่วยเพิ่มแต้มสถานะอย่างถาวร คุณสมบัติเป็นรองเพียงโอสถ
กริดมีความฝันที่จะปลูกมันมาตลอด ปิอาโร่จึงต้องการสนองเจตจำนงดังกล่าว
***
“เป็นที่รักของเด็กขนาดนี้เชียว…”
กษัตริย์ชิงมีบุตรชายทั้งหมดสามคน
คนโตอายุ 10 ขวบ รองลงมา 7 ขวบ และคนเล็กสุด 6 ขวบ
เมื่อทุกคนได้พบกริด พวกเขาต่างตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบและพากันประกาศขอแต่งงาน
ชายหนุ่มทำเพียงยักไหล่และเดินกลับห้องพัก จากนั้นก็ยืนสำรวจตัวเองหน้ากระจกเงา
มันมองเห็นภาพของไอรีนกำลังอมยิ้มมุมปาก รวมไปถึงริ้วรอยจุดเล็กรอบขอบตาที่บ่งบอกถึงอายุปัจจุบัน
ในฐานะมารดาแห่งอาณาจักรผู้ต้องปกครองราษฎรนับสิบล้าน ไอรีนมีบุคลิกภาพที่อบอุ่น เด็ดเดี่ยว และเข้มแข็ง
อย่างไรก็ตาม กริดย่อมทราบดีว่า หญิงงามในภาพสะท้อนของกระจกตรงหน้า แท้จริงแล้วเป็นคนอ่อนโยนและอ่อนแอมากเพียงใด
กริดพึมพำพลางจับข้อมืออันบอบบาง
“…ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน เราต้องทำให้สำเร็จ”
มันจะมอบความอ่อนเยาว์และชีวิตที่ใกล้เคียงกับนิรันดร์ให้เธอ
มันจะขจัดความโดดเดี่ยวและอ้างว้างที่ไอรีนได้รับทุกครั้งเมื่อเห็นสามีไม่แก่ชราลง
กริดสาบานกับตัวเองโดยไม่เคยนำเรื่องนี้ไปปรึกษาอีกฝ่าย มันเชื่ออย่างไม่เคลือบแคลงว่า ไอรีนเองก็ต้องดีใจมากแน่
ขณะจ้องเข้าไปในกระจกเงา ชายหนุ่มพลันเย็นสันหลังวาบ
หน้าต่างในห้องกำลังเปิดอยู่
กริดตระหนักได้จากการปลิวไสวของผ้าม่านที่ถูกสายลมพัดผ่าน
‘ได้ยังไง…’
ในตอนที่เราเดินเข้ามา มันปิดอยู่แน่นอน…
ชายหนุ่มรีบกวาดตามองรอบห้อง
“…”
บรรยากาศเงียบงันราวกับหนูตาย กริดไม่ตระหนักถึงความผิดปรกติใดเลย
แม้กระทั่งประสาทสัมผัสเหนือมนุษย์ก็ไม่พบความเปลี่ยนแปลง
“ข้างนอก…?”
มันนำดาบอัสนีแห่งการบรรลุสัจธรรมฯ ที่เชื่อมติดกับเครื่องดึง ออกมากำแน่น พร้อมกับเพ่งสมาธิตั้งใจฟังเสียงและปล่อยให้ดาบมังกรเพลิงลอยอยู่ด้านหลัง
กึก กึก กึก
เสียงฝีเท้ากริดดังเป็นจังหวะภายในห้องอันเงียบสงบ
จากนั้น มันหันไปทางหน้าต่างและตะโกน
“หัตถ์เทวะ!”
ด้วยความเร็วสูงสุด ฝ่ามือจำนวนหกข้าง สีดำสลับทอง พุ่งออกจากหน้าต่างที่กำลังเปิดอยู่
ในหมู่พวกมันมีข้างหนึ่งรวดเร็วกว่าหัตถ์เทวะอื่นอย่างชัดเจน แถมยังช่วยเพิ่มระยะเวลาบัฟจากการใช้ไอเท็ม
“…?”
กริดที่เตรียมจับตัวหัวขโมยบริเวณหน้าต่างพลันชะงักงันด้วยสีหน้าสุดฉงน
เป็นเพราะหัตถ์เทวะทำเพียงลอยวนเวียนกลางอากาศโดยไม่พบเป้าหมายใด
ขณะกริดกำลังกระวนกระวาย…
[อันตราย!]
> เจ้านาย! ข้างหลังท่าน!
ดาบมังกรเพลิงร้องเตือน แต่ก็ช้าไปหนึ่งก้าว
เสียงระเบิดอื้ออึงดังขึ้นด้านหลังกริดในระยะประชิด
“คึ่ก!”
ชายหนุ่มรีบกระโจนถอยหลังพลางครุ่นคิดหาความเป็นไปได้ แต่เสียงเมื่อครู่ได้รบกวนโสตประสาทอย่างหนักหน่วงจนมันขาดสมาธิ
เมื่อเงยหน้าขึ้น กริดได้พบกับเหตุการณ์อันน่าตกตะลึง ดาบมังกรเพลิงที่ไม่ได้รับส่วนแบ่งค่าสถานะจากตนเพราะมิได้สวมใส่ กำลังเผชิญปัญหาที่แม้แต่อีโก้ระดับอัจฉริยะก็มิอาจแก้ไขได้ด้วยตัวเอง
ซิกเฟรคเตอร์เหวี่ยงดาบซาฮารันปะทะกับดาบมังกรเพลิงเต็มเหนี่ยว
‘อยู่ในห้องตั้งแต่แรก…?’
แม้แต่เฟคเกอร์ที่กลายเป็นลันเทียร์ ก็ยังมิอาจลอบเปิดหน้าต่างเข้ามาในห้องกริดได้โดยที่เจ้าตัวไม่ทันสังเกตเห็น
เพราะถึงจะเพียงเล็กน้อย แต่การเปิดหน้าต่างจะทำให้เกิดเสียงเสียดสีดังแว่ว รวมไปถึงเสียงของกระแสลมที่แปรเปลี่ยน ปัจจัยเหล่านั้นจะกระตุ้นสัมผัสเหนือมนุษย์ของกริด หรือไม่ก็การตรวจสอบของดาบมังกรเพลิง
ถูกต้อง ถึงจะอำพรางตัวตนได้สมบูรณ์แบบสักเพียงใด แต่ก็ไม่น่าจะกลบเกลื่อนความเคลื่อนไหวของวัตถุรอบตัวได้
แต่แกรนมาสเตอร์กลับสามารถลอบเปิดหน้าต่างเข้ามาในห้องขณะกริดกำลังยืนส่องกระจกเงา แม้นชายหนุ่มจะกวาดตาสำรวจด้วยสัมผัสเหนือมนุษย์อย่างถี่ถ้วนแล้ว แต่ก็มิอาจตรวจจับความผิดปรกติได้แม้แต่เศษเสี้ยว
‘แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว…’
ดูเหมือนว่า คำยกย่องของลิมชอลโฮจะไม่ใช่การโฆษณาเกินจริง
หากฮายาเตะ ลำดับ 1 ของหอแห่งปัญญาคือจุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์และถูกขนานนามอย่างยิ่งใหญ่ให้เป็น ‘นักล่ามังกร’ ซิกเฟรคเตอร์เองก็คงเป็นอีกหนึ่งจุดสูงสุดไม่ต่างกัน สมญานามลับของมันอาจเป็นถึง ‘นักล่าเทพ’
ในอดีต เหตุผลเดียวที่ทำให้ซิกเฟรคเตอร์ล่าเทพไม่สำเร็จก็คือ มันถูกเล่นงานด้วยคำสาป ‘เกียจคร้าน’
เทพทำการสาปให้ซิกเฟรคเตอร์มีบาปเกียจคร้านติดตัวจนต้องพลาดโอกาสเข้าร่วมสงครามทวยเทพในอดีต
การที่บาปร้ายแรงที่สุดถูกฝังลงในดวงวิญญาณของเขาย่อมหมายความว่า…
เหล่าเทพเกรงกลัว ‘ซิก’ มากที่สุดในเจ็ดมาร
หากเจ็ดนักบุญภัยพิบัติในอดีตผนึกกำลังกันต่อสู้ทวยเทพอย่างพร้อมหน้า บางที พวกมันอาจไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นเจ็ดมาร และฝ่ายที่ต้องพ่ายแพ้ก็คือเทพ…
ขณะกริดกำลังดำดิ่งในห้วงความคิด
ดาบมังกรเพลิงที่มิอาจทนรับแรงปะทะปริมาณมหาศาลอันเกิดจากฝีมือแกรนมาสเตอร์ พุ่งเฉียดใบหน้ากริดจนทำให้เกิดบาดแผลถากและเลือดไหล ก่อนจะกระแทกกับกำแพงห้องจนเกิดเสียงดัง
ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายของแกรนมาสเตอร์พลันส่องประกายแวววาว
“ไม่หลบหรือ…”
แกรนมาสเตอร์ได้คำนวณวิถีการพุ่งของดาบมังกรเพลิงไว้ล่วงหน้า หากสัตว์ประหลาดที่ปลอมตัวเป็นราชินีโอเวอร์เกียร์ตัดสินใจหลบการโจมตีเมื่อครู่ คมดาบอีโก้จะพุ่งเสียบเบ้าตาซ้ายอย่างแม่นยำ
แต่สัตว์ประหลาดตนดังกล่าวกลับไม่หลบ
“สายตาเฉียบแหลม… เหนือมนุษย์สินะ”
สมองของแกรนมาสเตอร์กำลังประมวลผลหนักหน่วง
แต่เมื่อประเมินจากดาบบินและฝ่ามือที่สามารถเคลื่อนไหวได้เอง สองสิ่งนี้ชวนให้มันนึกถึงสมบัติวิเศษของราชาโอเวอร์เกียร์
หรือว่า ตัวตนของสัตว์ประหลาดที่ปลอมตัวเป็นราชินีโอเวอร์เกียร์อาจจะเป็น…
“…”
“…แฮ่ม”
กริดทวีความตึงเครียด
แกรนมาสเตอร์ หรือตัวตนที่แท้จริงคือมารลำดับ 6 ‘ซิก’
สำหรับชายหนุ่ม ถือเป็นเรื่องน่าทึ่งมากเมื่อคำนึงว่า ทั้งที่อีกฝ่ายมีคำสาปเกียจคร้านติดตัว แต่กลับปรากฏกายภายในเวลาเพียงครึ่งวันหลังจากเกิดเหตุ
กริดค่อนข้างกังวลเนื่องจากแกรนมาสเตอร์เอาแต่ยืนนิ่งโดยไม่กล่าวสิ่งใด มิอาจทราบได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดเช่นไรอยู่
ในที่สุด กริดตัดสินใจเริ่มบทสนทนา
“ซิกเฟรคเตอร์”
‘ทราบชื่อของเราด้วย…?’
“คุณไม่ควรไปพบเทพตกสวรรค์ พวกมันปกครองมนุษย์ด้วยความน่ารังเกียจ อาจชั่วร้ายยิ่งกว่าเทพตะวันตกเสียอีก”
‘มองเป้าหมายของเราออก…’
ทันใดนั้น ดวงตาที่เคยแวววาวของแกรนมาสเตอร์ พลันแปรเปลี่ยนกลับไปเป็นความเบื่อหน่ายตามเดิม
ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า มันเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า บุคคลที่เก่งกาจพอจะฆ่าซูซานย่อมไม่ใช่ราชินีโอเวอร์เกียร์
ตลอดครึ่งวันที่ผ่านมา ซิกเฟรคเตอร์พยายามเค้นสมองขบคิดหาความเป็นไปได้ถึงตัวจริงของสัตว์ประหลาดจำแลงกายตนดังกล่าว ก่อนจะตัดสินใจลงมือด้วยตัวเอง
พฤติกรรมทั้งหมดถือเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก คำสาปเกียจคร้านจึงออกอาการกำเริบ
เทพได้สลักบาป ‘เกียจคร้าน’ ลงในวิญญาณ ของมัน และสิ่งนั้นมีอิทธิพลครอบงำจิตใจอย่างรุนแรง
ลงเอยด้วย
“น่ารำคาญชะมัด”
“…หือ?”
“ข้าขอตัวก่อน”
การเผชิญหน้าระหว่างกริดและแกรนมาสเตอร์จบลงอย่างปัจจุบันทันด่วน
สำหรับวินาทีนี้ ภายในใจแกรนมาสเตอร์มีเพียงความปรารถนาเดียวก็คือ
นอน
“หลีกทาง”
“ด…เดี๋ยวก่อน! ตามมารยาทแล้ว ในเมื่อทางนี้แสดงความเห็นให้ฟัง คุณก็ต้องบอกความคิดของตัวเองกลับมาบ้าง!”
กริดพยายามยื้อยุดมิให้แกรนมาสเตอร์กลับออกไป แต่เมื่อเหลือบเห็นรูปลักษณ์ของไอรีนในกระจกเงา มันเข้าใจได้ทันทีว่าเพราะสาเหตุใด แกรนมาสเตอร์ถึงไม่เป็นมิตรกับตนนัก
อย่างไรก็ตาม ขณะพยายามถอดหน้ากากหนังออก ซิกเฟรคเตอร์ได้บินออกนอกหน้าต่างไปเรียบร้อยแล้ว
“ชิ… บ้าจริง!”
ช่วยไม่ได้ เราก็ไม่อยากทำแบบนี้สักเท่าไร…
กริดส่ายหน้าพร้อมกับส่งข้อความเสียงไปหาใครบางคน
> นายกำลังทำอะไรอยู่
ปลายสายกำลังออนไลน์ (เชื่อมต่อกันเกม)
ถึงจะไม่ได้รับคำตอบในทันที แต่กริดก็ไม่กังวลนัก เพราะอีกฝ่ายไม่มีทางเพิกเฉยต่อข้อความเสียงของตนแน่
แล้วก็เป็นไปตามที่คาด
> นึกแล้วเชียว… ฉันก็คิดว่ามันแปลกที่ราชินีโอเวอร์เกียร์ปรากฏตัวบนทวีปตะวันออก ที่แท้เป็นเพราะนายมาด้วย
เสียงที่ตอบกลับมาแฝงความไม่เต็มใจอยู่หลายส่วน
บุคคลปลายสายไม่ใช่ใครนอกจากซีบาล หนึ่งในคู่แข่งคนสำคัญของกริดทั้งอดีตและปัจจุบัน
> ไปบอกกับแกรนมาสเตอร์ว่า หากเขายังต้องการทำเพื่อมวลมนุษย์ อย่าได้เชื่อคำลวงของเทพตกสวรรค์โดยเด็ดขาด พวกมันชั่วร้ายยิ่งกว่าเทพตะวันตกเสียอีก
> …ถ้าฉันจำไม่ผิด นายเคยวิพากษ์วิจารณ์เทพตะวันออกในบทกวีมหากาพย์ของตัวเอง
>…
ใบหน้ากริดพลันร้อนฉ่าเมื่อถูกกระตุกให้นึกถึงบทกวีมหากาพย์
อันที่จริง มันไม่ค่อยยินดีสักเท่าไรที่ความคิดและอารมณ์ของตนในขณะนั้นถูกเปิดเผยให้คนทั้งโลกรับทราบ หากวันใดนอนฝันถึงบทกวีมหากาพย์ดังกล่าว มันจะสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมกับเตะผ้าห่มจนปลิวเสมอ
กริดอับอายจนถึงขั้นเคยคิดที่จะฟ้องร้อง SA กรุปในข้อหานำความลับส่วนตัวไปเปิดเผย
ขณะกริดเงียบงัน ซีบาลกล่าวต่อ
> ขอปฏิเสธ คำกล่าวหาของนายเป็นเพียงข้อมูลด้านเดียว และเหนือสิ่งอื่นใด ฉันไม่มีสิทธิ์เสนอความเห็นกับแกรนมาสเตอร์อยู่แล้ว
> แค่นำคำพูดของฉันไปบอกก็พอ หากระบุว่ามาจากราชาโอเวอร์เกียร์ เขาจะใส่ใจกับมันแน่
> หือ…?
ซีบาลพ่นลมหายใจเหยียดหยัน
แกรนมาสเตอร์คือหนึ่งใน NPC ที่สำคัญที่สุดของโลกซาทิสฟาย จากบรรดาผู้เล่นกว่าสองพันล้านคน มีเพียงหยิบมือที่เคยเห็นแกรนมาสเตอร์ด้วยตาตัวเอง
แต่กริดกำลังจะบอกว่า คนใหญ่คนโตเช่นนั้นจะรับฟังคำพูดของเขา?
‘จริงอยู่ ความสัมพันธ์ของกริดกับแกรนมาสเตอร์ย่อมไม่ธรรมดา…’
แต่การอ้างว่า บุคคลระดับแกรนมาสเตอร์จะยอมรับฟังคำแนะนำเพียงเพราะเป็นกริด เรื่องนี้ออกจะโอหังเกินขอบเขตผู้เล่นไปสักหน่อย
ซีบาลหัวเราะแห้งและรับปากแบบขอไปที
> ก็ได้
‘อย่างน้อย เราก็ต้องตอบแทนที่เขาเคยช่วยเหลืออาณาจักรฮาเค่น’
ซีบาลกลืนความคิดลงคอและตั้งคำถาม
> ในเมื่อนายสานสัมพันธ์เลือดกับอาณาจักรชิง ถ้าแกรนมาสเตอร์ลงมือจู่โจม นายก็จะช่วยปกป้องพวกเขาใช่ไหม?
> แน่นอน
> เข้าใจแล้ว… ถ้านายไม่เปลี่ยนความคิด ฉันขอแนะนำให้อพยพราชินีออกไปก่อน เพราะชัยชนะจะตกเป็นของทางนี้แน่นอน
> ฮะฮะ! ขอบคุณที่เตือน
> นายมันบ้า! ทำไมถึงยังหัวเราะในสถานการณ์แบบนี้ได้อีก!
> เข้าใจผิดแล้ว ฉันขอบคุณจากใจจริงต่างหาก
> ชิ!
บทสนทนาจบลงเพียงเท่านี้
***
วันรุ่งขึ้น
ขณะดวงตะวันกำลังส่องแสงกึ่งกลางท้องฟ้า ซีบาลแวะเข้าไปหาแกรนมาสเตอร์พร้อมกับรายงานข้อมูลจากกริดด้วยท่าทีนอบน้อม
“ท่านอาจารย์ ราชาโอเวอร์เกียร์แจ้งว่า ท่านไม่ควรเชื่อใจเทพตกสวรรค์”
“…”
เป็นอย่างที่คิด ไม่มีการตอบสนองใดกลับมา
ภายในหนึ่งวัน แกรนมาสเตอร์จะมีสติตื่นไม่เกินสองชั่วโมง จึงมักหลีกเลี่ยงการสูญเสียพลังงานโดยไม่จำเป็น
‘อย่างน้อยเราก็ทำตามที่ขอให้แล้ว’
ขณะซีบาลกำลังโล่งใจที่ตนรักษาสัญญาได้ มันได้ยินคำตอบจากแกรนมาสเตอร์ดังแว่ว
“เข้าใจแล้ว”
“…??”
ซีบาลพลันตกตะลึงเมื่อเห็นแกรนมาสเตอร์ผงกศีรษะรับด้วยใบหน้าครุ่นคิด
Comments
Post a Comment