จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,294
ณ วังหลวงที่รายล้อมด้วยต้นท้อและมวลหมู่เมฆหมอกละลานตา
เสื้อผ้าของสาวรับใช้ที่เดินกรีดกรายไปตามทาง กำลังสะบัดพลิ้วราวกับพวกมันมีชีวิต
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าพวกเจ้าห้ามมอง!”
“ต้องให้เผาลูกตาทิ้งใช่ไหมถึงจะยอมฟัง”
ยังบันตักเตือนซีบาลที่กำลังกวาดสายตาไปรอบตัวราวกับว่า มันจะไม่ได้เห็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อีกเป็นหนที่สอง
ภายในใจซีบาลพลันเดือดดาลและคับแค้น
‘พวกมันคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน!’
ผู้นำของซีบาลคือแกรนมาสเตอร์
ถึงอีกฝ่ายจะเป็นเทพ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่งด้วยประการทั้งปวง ซีบาลจึงไม่พอใจท่าทีแสนโอหังของเหล่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูง
ภายในใจนึกอยากเงยหน้าขึ้นพร้อมกับตะโกนด่าทออย่างหยาบคาย แต่สุดท้ายก็สงบจิตปล่อยวางและเลือกที่จะไม่สร้างปัญหา
‘คงต้องยอมทำตามไปก่อน… เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม’
แกรนมาสเตอร์คงเดือดร้อนไม่น้อยหากซีบาลก่อเรื่องกับยังบัน มันจึงพยายามสงบสติอารมณ์เหมือนกับอัศวินสีชาดใหม่คนอื่น ทำเพียงเดินตามยังบันด้านหน้าและก้มมองส้นเท้าด้วยความสำรวม
“ถึงจะพูดไป แต่พวกมันก็คงไม่เข้าใจ”
“มนุษย์กับปศุสัตว์มีมักสัญชาตญาณอยากรู้อยากเห็นเหนือการควบคุม เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงอดตายไปเป็นจำนวนมาก”
“…”
แกรนมาสเตอร์มีสีหน้าดำมืดขณะเดินไปในอาณาจักรฮวานที่มิได้หรูหราเทียบเท่าแอสการ์ด
ทัศนคติของยังบังทำให้มันเกิดความฉงน
‘ทำไมถึงได้ดูแคลนมนุษย์เช่นนี้’
จริงอยู่ อาจไม่ใช่เทพทุกตนที่คอยห่วงใยและเอาใจใส่มนุษย์ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเฮ็กเซเทีย เทพแห่งการตีเหล็ก มันเคยริษยาจนถึงขั้นคิดล้างบางเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้นซาก
แต่ธรรมชาติตามปรกติของเทพก็มิได้เป็นศัตรูกับมนุษย์ เนื่องจากยังคงต้องการความศรัทธามาเปลี่ยนเป็นค่าบารมีเทพ จึงไม่ใช่เรื่องดีนักหากจะดูแคลนมนุษย์ซึ่งเป็นแหล่งเก็บเกี่ยวค่าศรัทธาชั้นเลิศ
ถึงจะไม่ได้รักชอบมากมาย แต่เทพหลายตนก็รู้สึกขอบคุณและพยายามผูกมิตรกับมนุษย์
ในกรณีของเฮ็กเซเทีย หากมีมนุษย์ที่คอยมอบความรักความศรัทธาแก่มัน เฮ็กเซเทียคงไม่วางแผนทำลายล้างเผ่าพันธุ์อย่างโหดเหี้ยมแน่
เมื่อคิดในมุมดังกล่าว ท่าทีของยังบันจึงแทบไม่มีเหตุผลรองรับในสายตาแกรนมาสเตอร์
ปัจจัยสำคัญที่เทพตกสวรรค์ซึ่งพ่ายแพ้ในสงครามทวยเทพ สามารถฟื้นฟูพลังกลับคืนมาได้หลายส่วน ก็เป็นเพราะบารมีเทพอันเกิดจากความศรัทธาของมนุษย์ไม่ใช่หรือหรอก?
แล้วทำไมถึงปฏิบัติต่อมนุษย์ได้แย่นัก?
‘ไม่เพียงจะไม่เคารพ แต่ยังนำไปเปรียบกับปศุสัตว์… ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร’
แกรนมาสเตอร์ผุดคำถามมากมายภายในหัว
ก่อนจะฉุกคิดถึงบางสิ่ง
‘บางที มันคงมองมนุษย์เป็นเพียงเครื่องมือมากกว่าจะตระหนักถึงคุณค่าความศรัทธา…’
เมื่อลองพิจารณาให้ดี เทพตะวันฝั่งออกก็มีอุปนิสัยเช่นนี้อยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือเทพสงคราม เซราทุล ผู้มักโอ้อวดว่า ในเมื่อตนเป็นเทพที่แข็งแกร่ง ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่มนุษย์แสนอ่อนแอจะเทิดทูนบูชา
แกรนมาสเตอร์หวนนึกถึงรอยแผลที่ซาราทุลเคยฝากไว้บนหน้าอก มันรู้สึกเจ็บแปลบเสมอเมื่อความทรงจำดังกล่าวหวนกลับคืนมา
ในความเป็นจริง หน้าอกของซิกเฟรคเตอร์ไม่มีแผลเป็นใดปรากฏให้เห็น เพราะร่างกายที่ได้รับบาดแผลมิใช่ตัวตนปัจจุบัน หากแต่เป็นร่างเดิมซึ่งถูกเซราทุลเฉือนจนเกิดแผลฉกรรจ์และผนึกไว้ในหลุมลึก นับเป็นชะตากรรมเดียวกันกับเจ็ดมารที่เหลืออีกหก
ไม่สิ เจ็ด ‘นักบุญ’ ต่างหาก
‘ซิกเฟรคเตอร์…?’
ตั้งแต่เล็กจนโต กริดเคยได้ยินถ้อยคำดูแคลนถากถางนับไม่ถ้วน จึงมีภูมิต้านทานและมองเป็นเพียงเสียงสุนัขเห่าหอน ทุกประโยคเหยียดหยันของยังบันลอยเข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวาโดยสมบูรณ์
แต่เมื่อกริดเหลือบเห็นสีหน้าอันหมองคล้ำของแกรนมาสเตอร์ มันพบว่าใบหน้าที่สดใสขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย กลับไปหม่นหมองยิ่งกว่ายามปรกติเสียอีก
ชายหนุ่มพลันเกิดความกังวล
‘คำสาปเกียจคร้านกำเริบ?’
อันที่จริง คำสาปเกียจคร้านถือเป็นสิ่งที่พบได้น้อยครั้งมาก กวาดตามองไปทั่วโลกซาทิสฟาย มีเพียงแวมไพร์และแกรนมาสเตอร์เท่านั้นที่ได้รับคำสาปอันทรงพลังชนิดนี้
“ตั้งสติหน่อย”
กริดกระซิบบอก
มันกังวลว่าเรื่องราวจะยุ่งเหยิงหากแกรนมาสเตอร์เกิดเบื่อหน่ายจนมิอาจตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
“จะต้องให้ข้าพูดอีกกี่ครั้งกัน!”
ยังบันหญิงคนหนึ่งตะบันแข้งใส่คางกริด
หล่อนหงุดหงิดเมื่อมนุษย์เพศหญิงคนหนึ่งบังอาจเงยหน้าขึ้น ทั้งที่ตนกำชับนักหนาให้ก้มต่ำและมองเพียงพื้นทางเดิน
‘ไอ้พวกระยำ…’
กริดพลันฉุนเฉียว แต่ก็ทำเพียงก้มหน้าลงโดยไม่ก่อความวุ่นวาย
เราแค่เผลอเหลือบไปมองแกรนมาสเตอร์เพียงครู่เดียว แต่พวกมันลงไม้ลงมือทันที…
‘ตัวปัญหามันซีบาลต่างหาก! ไม่ใช่ฉัน!’
กริดหงุดหงิดกับความอยุติธรรม
เป็นความรู้สึกคล้ายกับการถูกครู่ตำหนิส่งเดช เพียงเพราะนั่งข้างเด็กเกเรที่คุยเสียงดังในห้อง
“…?”
ซีบาลพลันลนลาน
มันไม่เข้าใจว่า ทำไมราชินีโอเวอร์เกียร์ถึงชำเลืองสายตามาทางตนหลังจากถูกยังบันสาวนาม ‘แฮจิน’ เตะเสยใส่คาง
“ถ้าจำไม่ผิด พวกมนุษย์มักไม่เห็นค่าในสิ่งที่ตัวเองมี รู้อย่างนี้น่าจะควักลูกตาหล่อนออกมาตั้งแต่แรก”
แฮจินรำพันเบื่อหน่ายเมื่อเห็นมนุษย์เพศหญิงก้มหน้ากลับลงไปหลังจากชำเลืองซีบาลเล็กน้อย
ในวินาทีนี้
‘นั่งนี่คิดจะควักดวงตาอันงดงามของไอรีน?’
โทสะของกริดเริ่มสั่งสม
แม้นจะพยายามสงบสติ แต่มันก็สลักนาม ‘แฮจิน’ ลงไปในความทรงจำเรียบน้อย
‘ฉันต่างหากที่จะควักลูกตาของแก’
กริดและกลุ่มของแกรนมาสเตอร์ผ่านทางยาวเดินไปอีกพักใหญ่ ต้องใช้เวลาถึงสองชั่วโมงกว่าจะถึงวังหลวง และใช้เวลาอีกราวหนึ่งชั่วโมงในการเดินไปตามทางในวัง
ขณะกริดเริ่มเบื่อหน่ายและหงุดหงิด
“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ”
เสียงของบุคคลใหม่ดังแว่ว
กริดกกับซีบาลเตรียมเงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณ แต่สุดท้ายก็รีบดึงสติกลับและก้มศีรษะลงต่ำยิ่งกว่าเดิม
กลุ่มยังบันที่นำทางพลันชะงัก ท่าทีโอหังตลอดทางแปรเปลี่ยนเป็นความนอบน้อม
“ขอคารวะท่านเทพผู้บงการวายุ”
เทพผู้บงการวายุ?
ซีบาลไม่มีข้อมูลของอาณาจักรฮวานในมือ จึงมิอาจคาดเดาตัวตนอีกฝ่ายในทันที เพียงคิดว่าคงเป็นหนึ่งในเทพตกสวรรค์
แต่กลับกัน กริดที่มีข้อมูลปูมหลังของอาณาจักรฮวานอย่างละเอียด ย่อมทราบว่าตัวจริงของอีกฝ่ายเป็นใคร
‘พุงซา’
หนึ่งในสามเทพผู้ปกครองสภาพอากาศร่วมกับอึนซาและอูซา
พุงซาคือคนที่ ‘เหลือบเห็น’ กริดกำลังยืนข้างศพยังบัน ‘ฮันกยอล’ แต่ในตอนนั้นเป็นรูปลักษณ์ของอัศวินดันเต้
เมื่อหวนนึกถึงอดีต หัวใจกริดพลันเต้นระรัวเพราะกำลังจินตนาการถึงวินาทีที่ไอรีนได้รับค่าบารมีเทพมาครอง
แกรนมาสเตอร์จ้องพุงซาพร้อมกับเปิดปาก
“ตกลงว่าฮานึลยอมพบข้าแล้วใช่ไหม”
“…!”
สีหน้าของเหล่ายังบันพลันบิดเบี้ยว กระทั่งคนรอบข้างก็ยังพากันตกตะลึง
ห้าอาวุโสคือเทพ
เหนือสิ่งอื่นใด เป้าหมายของแกรนมาสเตอร์คือการยืมมือเทพตกสวรรค์ไปทำสงครามกับเทพฝั่งตะวันตก ท่าทีของแกรนมาสเตอร์จึงควรนอบน้อมและให้ความยำเกรงมากกว่านี้
“สามหาวนัก…!”
เหล่ายังบันเตรียมเปิดศึก
ในสายตาพวกมัน แกรนมาสเตอร์เป็นเพียงอัครสาวกของเทพ ระดับจึงไม่น่าจะสูงไปกว่ายังบันและเทวทูต
ถ้อยคำขาดความเคารพเมื่อครู่ย่อมถือเป็นการเสียมารยาทอย่างร้ายแรง
แต่ขณะกลุ่มยังบันเดือดดาลเตรียมชักกระบี่อ่อนรอบเอว พุงซาตวาดใส่พวกมันทุกคน
“ไสหัวไป”
“…!”
ม่านพายุอันทรงพลังพลันรายล้อมรอบพุงซาและแกรนมาสเตอร์ คนที่เหลือต่างพากันดิ้นรนขัดขืนเพื่อมิให้ร่างกายถูกพัดกระเด็น
แต่แน่นอน นี่คือพายุแห่งเทพ ไม่มีใครสามารถทัดทานของความเกรี้ยวกราด ส่งผลให้ทุกคนกระเด็นล้มหงายหลังจนกริดและซีบาลได้เห็นใบหน้าของพุงซาอย่างชัดเจน
พุงซาอ่อนเยาว์จนน่าตกตะลึง อายุใกล้เคียงชายวัยสามสิบตอนต้นที่ค่อนข้างขาดความมั่นใจ
อย่างไรก็ตาม ใต้เส้นผมที่ถูกหวีเรียบ ปลายขนคิ้วห้อยยาวลงมาจนถึงแก้ม ทำให้ยากจะคาดเดาอายุแท้จริงของอีกฝ่าย
พุงซามิได้กล่าวสิ่งใดมากนัก เพียงจ้องยังบันด้วยสายตาเย็นชาและออกคำสั่ง
“ไสหัวไป”
“ข…ขอรับ”
ยังบันที่กำลังสับสน รีบก้มศีรษะลงและเดินผ่านแกรนมาสเตอร์ด้วยสีหน้าหงุดหงิด
พุงซาชำเลืองไปยังประตูท้องพระโรง
“เข้าไปสิ ฮานึลกำลังรออยู่”
สายตาของพุงซากำลังสนใจแกรนมาสเตอร์เพียงผู้เดียว ราวกับว่ากริด ซีบาล และพรรคพวกเป็นเพียงอากาศธาตุไร้ตัวตน
แกรนมาสเตอร์เปิดปาก
“พวกเขาคือกลุ่มคนที่ช่วยเหลือข้าในแผนคืนชีพนักบุญทั้งเจ็ด”
นัยแฝงก็คือ ต้องให้พวกเขาเข้าไปด้วย
“เหล่าสาวกที่ช่วยเจ้าคืนชีพเจ็ดนักบุญ… ตกลง ทุกคนคือพวกพ้องอันมีค่า อนุญาตให้เข้าไปพบฮานึลได้”
พุงซาพยักหน้ารับพร้อมกับนำทางกริดและกลุ่มของแกรนมาสเตอร์เข้าไปในท้องพระโรง
“…!”
“…!”
เพียงไม่นานหลังจากคณะเดินทางผ่านเข้าประตูท้องพระโรง ดวงตาทุกคนพลันสั่นเกร็งด้วยความตกตะลึงสุดขีด
แม้ที่นี่จะอยู่ในวังและถูกเรียกว่าท้องพระโรง แต่กลับมีสระบัวและสวนพืชพรรณด้านใน
“อึก”
ซีบาลพลันหายใจแรง
เนื่องจากขณะเดินเฉียดใกล้สระบัวที่น้ำใสจนผิดธรรมชาติ มันบังเอิญเหลือบเห็นภาพของอาณาจักรปาและอาณาจักรคายาภายในบ่อ
หากมองลึกเข้าไปจะเห็นรายละเอียดของพื้นที่เจาะจงอย่างชัดเจน เห็นผู้คนเดินผ่านไปมาตามท้องถนน เห็นแม้กระทั่งสีหน้า ได้ยินกระทั่งบทสนทนาของชาวเมือง
ฉากดังกล่าวสมจริงจนน่าขนลุก
ไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวว่า ทวีปตะวันออกกำลังถูกเฝ้ามองโดยคนจากเบื้องบน!
แต่ภาพของทางฝั่งอาณาจักรชิงและโชกลับถูกปกคลุมด้วยเพลิงเทพและหมอกหนาทึบ ส่งผลให้มิอาจเพ่งมองลงไป
‘เหมือนที่กริดไว้พูดไม่ผิด…’
ซีบาลสลัดอาการตกตะลึงและรีบเดินตามกลุ่มให้ทัน
ภายใต้การนำทางของพุงซา หลังจากเดินไปได้สักพัก ทุกคนพบกับศาลาแห่งหนึ่งที่กำลังลอยอยู่กลางสระน้ำในจุดห่างไกลออกไป
“ที่นั่น”
เพียงพุงซากวักแขน สายลมกระโชกพลันพัดผ่านพร้อมกับแบ่งสระน้ำออกเป็นสองซีก
ทุกคนมองเห็นพื้นสระ และตระหนักว่านั่นคือทางเดินเดียวที่จะนำพาไปสู่ศาลากลางน้ำ
“…?”
เมื่อเดินถึงหน้าศาลาใหญ่ แกรนมาสเตอร์หยุดยืนในจุดข้างพุงซา พร้อมกับก้มศีรษะคำนับเป็นหนแรก
“ขอคารวะองค์เทพ”
“…!”
ดวงตากริดพลันเบิกโพลงหลังจากได้เห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงมุมบันไดที่นำไปสู่ศาลา
บุคคลที่ทำให้แกรนมาสเตอร์ต้องก้มศีรษะเป็นครั้งแรก ชื่อเหนือศีรษะของมันเขียนไว้ว่า
<ซือโหยว>
แตกต่างจากพุงซาที่เอาแต่สนใจแกรนมาสเตอร์ ซือโหยวมองสลับไปมาระหว่างกริดและแกรนมาสเตอร์ด้วยความสนใจ
“ยินดีที่ได้พบเจ้า”
การทักทายจบลงเพียงเท่านี้
ซือโหยวอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย
“ขึ้นไป”
พุงซาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินนำทุกคนขึ้นบันได จนกระทั่งกริดที่ตามไปด้านหลังเริ่มมองเห็นซอบยอล อูซา และอึนซา โดยทั้งหมดกำลังนั่งล้อมวงรอบโต๊ะตัวเล็ก
แกรนมาสเตอร์หันไปทักทายซอบยอล
“บุตรแห่งฮานึลสินะ”
ซอบยอลยิ้มตอบอย่างสดใส
“ยินดีได้พบ ซิก”
แตกต่างจากตำนานการสร้างโลกของพระเจ้าทันกุนเล็กน้อย ซาทิสฟายได้เปลี่ยนชื่อ ‘พุงแบก’ (เจ้าวายุ) ให้กลายเป็น ‘พุงซา’ (เทพวายุ)
เป็นการสื่อโดยนัยว่า ห้าอาวุโสจะประกอบด้วยเหล่าเทพแห่งสภาพอากาศทั้งสามที่ชื่อลงท้ายด้วย ‘ซา’ โดยมีซอบยอลอยู่เหนือพวกเขาอีกทีหนึ่ง
และตัวตนที่เหนือกว่าซอบยอล
“ยินดีต้อนรับ”
ฮานึล
เทพสัมบูรณ์ผู้มีระดับทัดเทียมเทพธิดาแห่งแสง รีเบคก้า และเทพมาร ยาธาน
Comments
Post a Comment