จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,276
‘บ้าบอสิ้นดี…’
การผลิตไอเท็มทำให้โรงตีเหล็กถูกทำลาย?
นี่เรากำลังอยู่ในหนังบอลลีวู้ดรึไง?
หากนี่คือสิ่งที่ถูกออกแบบไว้ หมายความว่าแนวคิดในการพัฒนาเกมของ SA กรุปนับว่าพิสดารเกินสามัญสำนึกไปมาก
‘แล้วใครจะอยากเป็นช่างตีเหล็ก…’
กริดเริ่มกังวลเมื่อตระหนักว่าตนคือสาเหตุที่ทำให้โรงตีเหล็กใหญ่ของไรน์ฮาร์ทระเบิดเป็นจุณ
‘ถ้าเป็นเกล็ดมังกร ขั้นตอนการถลุงจะไม่สร้างความพินาศยิ่งกว่านี้หรอกหรือ…’
ในเชิงกายภาพ ศิลาอัคคีเป็นเพียงผลพลอยได้ ‘ทางอ้อม’ จากลมหายใจมังกร ยังห่างไกลจากคำว่า ‘ผลิตภัณฑ์มังกร’ โดยตรง
ส่วนเกล็ดมังกรที่ชายหนุ่มนำกลับมาจากหอแห่งปัญญา คือวัสดุจากมังกรอย่างแท้จริง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เกล็ดมังกรจะมีมูลค่าสูงกว่าศิลาอัคคีมากเพียงใด และขั้นตอนการถลุงก็คงซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม
หากนำไปเทียบกับเกมอื่น ข้อเท็จจริงนี้คือสัจธรรมที่เหล่าเกมเมอร์ล้วนเข้าใจตรงกัน
โดยทั่วไปแล้ว อุปกรณ์สวมใส่ที่สร้างจากผลิตภัณฑ์มังกรมักเป็นไอเท็ม ‘เอ็นด์เกม’ เสมอ
และในซาทิสฟายก็คงไม่แตกต่างกันนัก
‘…สงสัยต้องแอบไปถลุงเกล็ดบนภูเขาลึก’
ด้วยความที่เกรงว่า ขั้นตอนการหลอมเกล็ดมังกรของตนอาจทำให้กรุงไรนฮาร์ททั้งเมืองราบเป็นหน้ากลอง
ในตอนแรก กริดที่ครองครอบเทคนิคการสร้างไอเท็มอีโก้ ได้วางแผนถลุงเกล็ดมังกรต่อจากศิลาอัคคีทันที แต่ตอนนี้จำต้องเปลี่ยนใจ
‘ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม…’
ชายหนุ่มต้องพัฒนาทักษะของตนอีกเล็กน้อย
กริดคำนวณว่า ตนต้องเติบโตไปจนถึงจุดที่สามารถใช้งาน <เทคนิคการตีเหล็กทัดเทียมเทพ> ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาทักษะ <ดึงศักยภาพซ่อนเร้น> เสียก่อน
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง มันต้องการยกระดับทักษะการตีเหล็กจากปัจจุบัน
‘…เดี๋ยวนะ?’
ขณะกริดกำลังเก็บ ‘ชิ้นผ้า’ ที่ช่วยดูดซับแรงระเบิดเอาไว้เกือบทั้งหมด ความคิดหนึ่งพลันแล่นเข้ามาในหัว
จากนั้น มันตัดสินใจเดิมพันทันที
[ท่านยกเลิกผลของ <ดึงศักยภาพซ่อนเร้น>]
[ทักษะ <เทคนิคการตีเหล็กทัดเทียมเทพ> คืนสภาพกลับสู่ < (ท้าทายเทพ) ทักษะการผลิตของช่างตีเหล็กในตำนาน>]
หลังจากถลุงศิลาอัคคีเสร็จสมบูรณ์ กริดฝืนยกเลิกบัฟ <ดึงศักยภาพซ่อนเร้น> ก่อนกำหนด
มันต้องการอาศัยโอกาสตรงหน้า ในการข้ามกำแพงทักษะตีเหล็กที่ตนถึงขีดจำกัดมานาน
ถูกต้อง โอกาสอันหาได้ยากยิ่ง
ศิลาอัคคีลมหายใจมังกรเพลิงคือวัสดุเกรดมิธ
และเหนือสิ่งอื่นใด กริดผ่านขั้นตอนที่ยากที่สุดอย่างการถลุงแร่มาแล้ว
จากการประเมินอย่างคร่าว ถึงจะไม่มีบัฟดึงศักยภาพซ่อนเร้น ก็ยังมีโอกาสสูงที่ดาบเล่มใหม่จะออกมาเป็นเกรดมิธ
‘ถึงเวลาพึ่งพาฝีมือตัวเองบ้างแล้ว’
นับเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ข้ามกำแพงขีดจำกัดของ < (ท้าทายเทพ) ทักษะการผลิตของช่างตีเหล็กในตำนาน> เสียที
กริดเชื่อเช่นนั้น จึงตัดสินใจเดิมพันด้วยการพึ่งพาฝีมือของตัวเองเพียงอย่างเดียว
เคร้ง! เคร้ง!
ในที่สุด <ศิลาอัคคีลมหายใจมังกรเพลิง> เริ่มแข็งตัวและกลายเป็นรูปทรงของดาบ
หลังจากนั้น ‘ละโมบ’ ถูกนำมาผสมผสานเพื่อเสริมคุณภาพของดาบ รวมถึงใช้เป็นวัสดุสำหรับทำด้ามจับ
ด้ามที่ถอดเข้าออกได้อย่างอิสระ
หากโชคร้าย ดาบเล่มใหม่ปราศจากอีโก้ ก็คงต้องกลับไปพึ่งพาวิธีดั้งเดิมอย่าง <อุปกรณ์ดึง>
และแล้ว
[ท่านผลิต <ดาบมังกรเพลิง> สำเร็จ!]
[รางวัลการผลิตไอเท็มเกรดมิธ : ค่าสถานะทุกชนิดเพิ่มขึ้น 20 แต้ม ค่าชื่อเสียงระดับทวีปเพิ่มขึ้น 1,000 แต้ม]
ผลลัพธ์เกิดกว่าที่กริดคาดคิดไว้มาก
[ท่านผลิตไอเท็มเกรดมิธครบ 12 ชิ้น!]
[ชิ้นส่วนลับของคลาสปรากฏ!]
[เอฟเฟคของ ‘ชิ้นส่วนลับ’ ช่วยให้ทักษะประจำคลาสของผู้เล่นถูกยกระดับจนเหนือขีดจำกัดเดิม]
[!! < (ท้าทายเทพ) ทักษะการผลิตของช่างตีเหล็กในตำนาน> ถูกพัฒนากลายเป็น <เทคนิคการตีเหล็กทัดเทียมเทพ>!!]
“…!!”
หงึกหงึก.
หลังจากสร้างไอเท็มเกรดมิธครบ 12 ชิ้น เอฟเฟคของเหตุการณ์ช่วยให้กริดก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองสำเร็จ
> ตัวข้าผู้ไม่เคยพ่ายแพ้แก่มังกรเพลิงเลยสักครั้ง กลับถูกมนุษย์เช่นเจ้ากำราบจนอยู่หมัด… นับแต่นี้เป็นต้นไป แม้นกายาจะแหลกสลาย แต่นายของข้าจะมีแค่เจ้าเพียงผู้เดียว
น้ำเสียงแสนไพเราะที่กริดเชื่อว่าตนสามารถฟังได้ตลอดทั้งวันโดยไม่เบื่อ กำลังทำให้ร่างกายเกิดอาการสั่นเทาอย่างมิอาจควบคุม
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”
ซู่ว—!
หลังจากชี้ปลายดาบขึ้นฟ้าและฉาบผืนนภาให้กลายเป็นสีแดงเพลิง ชายหนุ่มกล่าวคำทักทายแรก
ดาบมังกรเพลิงตอบรับด้วยการเปลี่ยนใบดาบให้กลับเป็นสีโปร่งใส่คล้ายแก้วอีกครั้ง
“ฟู่ว”
กริดถอนหายใจยาวเพื่อระดับอาการตื่นเต้น ก่อนที่จะหน้าตรวจสอบรายละเอียดของดาบมังกรเพลิงในมือ
<ดาบมังกรเพลิง>
เกรด : มิธ
ความคงทน : อนันต์ พลังโจมตี : 4,830
* ทุกครั้งที่โจมตีจะเกิดเปลวเพลิงเสมอ
* ลดค่าต้านทานธาตุไฟของเป้าหมาย 20% (สูงสุด 100%)
★ สามารถเปลี่ยนพลังโจมตีกายภาพให้กลายเป็นพลังโจมตีเวทมนตร์ธาตุไฟได้
★ เพิ่มความรุนแรงของทักษะธาตุไฟทั้งหมดขึ้นจากเดิมสองเท่า
★ การโจมตีธรรมดามีโอกาส 5% ที่จะเกิดผลของทักษะ <ลมหายใจมังกรเพลิง>
★ ได้รับผลของเอฟเฟคทั้งหมดจากบทกวีที่แฝงมากับ ‘ละโมบ’
★ ได้รับทักษะ ‘วาจาลวง’
ผลงานชิ้นเอกของช่างตีเหล็ก ‘กริด’ ผู้มีฝีมือสูงส่งทัดเทียมเทพตีเหล็ก เฮ็กเซเทีย แต่กลับไม่ถูกเฮ็กเซเทียริษยา
เขาสามารถหลอมศิลาอัคคีที่แม้แต่มังกรเพลิงทราวก้ายังมิอาจเอาชนะ จากนั้นก็เสริมความแข็งแกร่งด้วยการผสานกับ ‘ละโมบ’
น้ำหนัก : 2,750
เงื่อนไขการสวมใส่ : กริด
★ ไอเท็มชิ้นนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเจ้าของ
★ ดาบจะลอยรอบตัวกริดตลอดเวลา และมีเพียงกริดเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้
★ ไม่มีทางถูกทำลาย และไม่มีทางสูญหาย
<ลมหายใจมังกรเพลิง>
จำลองพลังบางส่วนของลมหายใจมังกรเพลิง
สร้างความเสียหาย 80,000 หน่วยแบบคงที่แก่เป้าหมาย หลังจากนั้นจะสร้างระเบิดเพลิงรุนแรง 500% ของพลังโจมตีเวทมนตร์แก่ศัตรูทั้งหมดภายในรัศมี 10 เมตรรอบตัวเป้าหมาย
ทรัพยากร : ไม่มี
ระยะหน่วง : ไม่มี
<วาจาลวง>
อีโก้ของดาบจะเลียนเสียงมังกรเพลิง
* มีโอกาสสูงในการผนึกเป้าหมาย เป้าหมายที่ถูกผนึกจะไม่สามารถเคลื่อนไหว ใช้งานทักษะ หรือใช้งานเวทมนตร์
ทรัพยากร : ไม่มี
ระยะหน่วง : 3 นาที
★ ไอเท็มอีโก้
อีโก้เกิดความเคารพเทิดทูนเจ้านายเป็นอย่างมากเนื่องจากท่านบรรลุในสิ่งที่แม้แต่มังกรเพลิงก็ยังทำไม่ได้ และมองว่าตัวตนของท่านสูงส่งยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์มังกร
* เป็นอมตะจากการโจมตีทุกชนิดของมังกรจำนวน 1 ครั้ง ระยะหน่วง 24 ชั่วโมง
* เพิ่มพลังโจมตี 20% เมื่อศัตรูเป็นมังกร
* เพิ่มพลังโจมตี 1 หน่วยทุกทั้งที่สังหารมังกร (ผลลัพธ์คงอยู่ถาวร)
“…”
กริดที่ยืนเงียบงัน กำลังขนลุกไปทั้งตัว
ความรู้สึกมากมายที่กำลังถาโถม มีสาเหตุมาจากผลลัพธ์อันเหนือความคาดหมาย
โจมตี 80,000 หน่วยเป็นค่าคงที่…
สำหรับกริด ผู้ปรารถนาอาวุธที่โจมตีใส่หนึ่งเป้าหมายได้หนักหน่วง ย่อมเกิดความประทับใจในดาบมังกรเพลิงเป็นอันมาก
แต่ก็มีเรื่องที่น่าเสียดายอยู่สองจุด นั่นคือการที่ทักษะ <ลมหายใจมังกรเพลิง> จะถูกสุ่มปลดปล่อยจากการโจมตีธรรมดาเท่านั้น และอาวุธเน้นหนักธาตุเดียวมากเกินไป
‘…แต่ถ้ามองในแง่บวก การเน้นธาตุเดียวก็ถือเป็นข้อดีในบางสถานการณ์’
หากศัตรูมีค่าต้านทานไฟต่ำ ก็แทบจะรับประกันได้ทันทีว่าตนไม่มีทางพ่ายแพ้
ไม่มีข้อยกเว้นแม้กระทั่งตัวตนระดับสูง
ขณะกริดกำลังเพลิดเพลินไปกับการอ่านข้อมูลของดาบมังกรเพลิง
[ผลงานของท่านถูกเทพบนสวรรค์จับตามอง]
[เหล่าทวยเทพเริ่มประจักษ์ในความยอดเยี่ยมของ <ดาบมังกรเพลิง>]
[เทพตีเหล็ก เฮ็กเซเทีย ส่งเสียงชื่นชมยินดีพร้อมกับเหล่าเทวทูตข้างกาย]
[เทพสงคราม เซราทุล ผู้หลงใหลในการสะบั้นเศียรมังกร เริ่มเกิดความโลภ]
[เทพธิดาแห่งแสง รีเบคก้า มิได้กล่าวสิ่งใดเป็นพิเศษ ทำเพียงเงียบงันอย่างสงวนกิริยาท่าที]
‘ฉิบหาย…’
ข้อความระบบที่ไม่เป็นมิตรปรากฏขึ้นตรงมุมสายตากริดเป็นระยะ
ด้วยความสัตย์จริง ชายหนุ่มไม่ต้องการพัวพันกับตัวตนบนสวรรค์เลยสักนิด
โดยเฉพาะเทพสองตนที่กริดหวาดระแวงมากเป็นพิเศษ นั่นคือเทพสงคราม เซราทุล และเทพธิดาแห่งแสง รีเบคก้า ผู้ยากจะคาดเดาความคิดและจุดประสงค์ที่แท้จริง
…ราวกับอ่านความคิดกริดออก
[เทพตีเหล็ก เฮ็กเซเทีย ใช้เปลวไฟจากหัวนมจุดพลุเฉลิมฉลองจนเต็มท้องฟ้า ส่งผลให้เทพตนอื่นเกิดความไม่พอใจ]
“…”
[สายตาของเหล่าเทพที่เคยจับจ้องกริดจนถึงเมื่อครู่ เริ่มถูกดึงความสนใจไปทางอื่น]
อาศัยโอกาสดังกล่าว ชายหนุ่มรีบยัดดาบมังกรเพลิงกลับเข้าไปในฝักดาบสีแดงที่สร้างขึ้นมาพร้อมกัน จากนั้นก็เหน็บติดไว้ข้างเอว
หลังจากกวาดตามองไปยังเหล่าช่างตีเหล็กและชาวเมืองที่ยืนล้อมไม่ห่าง กริดตัดสินใจเดินไปตามถนน
บรรดาชาวเมืองต่างขยับขาก้าวตามกริดโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว จนกระทั่งแถวขบวนมีขนาดใหญ่ขึ้นทีละนิด
ปลายทางคือวิหารเฮ็กเซเทีย
กริดที่คุกเข่าลงตรงหน้าเทวรูปพร้อมกับดึงเหล็กออกมาหนึ่งแท่ง เริ่มสวดภาวนา
“เป็นเพราะได้รับการคุ้มครองจากท่านเทพแห่งการตีเหล็กอย่างใกล้ชิด ผมจึงสร้างดาบมังกรเพลิงสำเร็จอย่างราบรื่น”
หากอ้างอิงจากระบบเกม ค่า ‘บารมีเทพ’ จะเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อมีการสักการบูชาจากสาวก
ยิ่งมีสาวกสวดวิงวอนมากเท่าใด เทพก็จะยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น
พรึ่บ!
แท่งเหล็กที่กริดวางลงตรงหน้าเทวรูปของเฮ็กเซเทียเริ่มติดไฟลุกไหม้
เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีกรรมถวายบรรณาการ
และในวันนี้
หลังจากได้ยินคำสวดวิงวอนของกริด จำนวนผู้ศรัทธาในตัวเฮ็กเซเทียได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ ชาวเมืองทุกคนล้วนเคารพยำเกรงต่อกริด บ้างเป็นความศรัทธา บ้างเป็นความชื่นชม จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะเปิดใจนับถือเทพเฮ็กเซเทียเพิ่มอีกหนึ่ง
ยิ่งพลังอำนาจของเฮ็กเซเทียมากขึ้น กริดก็ยิ่งได้รับพรคุ้มครองอันแรงกล้าเป็นสิ่งตอบแทน
***
วันที่หนึ่ง
“ประมาณหนึ่งพันเห็นจะได้…”
จิสึกะทำเพียงกวาดตามองไปรอบเมืองโดยมิได้ยืนมือเข้าไปช่วยเหลือ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยตัวตนต่อแอ็กนัส
วันถัดมา
“สถานการณ์เลวร้ายมาก…”
จิสึกะยังคงทำตัวเหมือนกับวันแรก เพียงเฝ้ามองโดยไม่ช่วยเหลือ แม้จะได้เห็นชาวเมืองเริ่มเกิดความสูญเสีย แต่เธอก็ยังกัดฟันอดทน
วันที่สาม
“คุณลูกค้า! ระวังตัวด้วยขอรับ!”
จิสึกะเริ่มลอบยิงกลุ่มซอมบี้ที่บุกเข้าไปในโรงเตี๊ยม แต่ก็ไม่มากไปกว่านั้น เธอยังไม่นำตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านนอก
วันที่สี่
“กำลังเสริมเริ่มหมดแล้ว…”
หากเทียบกับวันแรก ทหารของกรุงคาราสึลดจำนวนลงมากจนผิดปรกติ ชาวเมืองบาดเจ็บล้มตายราวสองเท่าจากเมื่อวาน แต่ถึงจะเริ่มออกอาการกระสับกระส่ายให้เห็น หญิงสาวก็ยังเลือกที่จะไม่แสดงตัว
วันที่ห้า
“ทุกคนรีบหนีขึ้นชั้นสอง! ปิดตายบันไดซะ!”
“ต…แต่ว่า…”
“พวกเราไม่จำเป็นต้องสู้ให้ชนะ แค่ถ่วงเวลาจนถึงยามเช้า กองทัพซอมบี้ก็จะหายตัวไปเอง!”
“ต…แต่… ร…ร้านของผม… รายได้…”
เมื่อจิสึกะเริ่มตระหนักถึงจำนวนที่มากจนผิดปรกติของฝูงซอมบี้ภายในโรงเตี๊ยม เธอทราบทันทีว่า แอ็กนัสกำลังจับตามองสถานที่แห่งนี้เป็นพิเศษ จึงลงมือโดยไม่ปิดบังตัวเอง
วันที่หก
“แม้แต่สุนัขที่ชอบมาขี้ในสวนหน้าบ้านผม มันยังรีบหนีทันทีเมื่อยามเช้ามาถึง เห็นแบบนี้แล้ว ชักเริ่มลังเลว่าผมควรหนีไปด้วยดีไหม…”
เด็กหนุ่มเสี่ยวเอ้อร์ตัดพ้อ
มีข่าวลือหนาหูว่า ชาวคาราสึจำนวนมากเริ่มทนไม่ไหวและตัดสินใจทยอยอพยพออกจากเมือง
ทหารที่เคยต่อสู้รับมืออย่างกล้าหาญมาตลอดทุกคืน ปัจจุบันลดทอนจำนวนลงมาก คล้ายกับความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมานานเริ่มออกฤทธิ์
จิสึกะมิได้ปลอบประโลมเสี่ยวเอ้อร์
เธอเพียงให้คำมั่น
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายย้ายมานอนกับฉัน พี่สาวคนนี้จะคอยปกป้องให้เอง”
หลังจากครบหนึ่งสัปดาห์
โฮกกกกก!
อา—! อูอา—!
เสียงร้องโหยหวนของตัวตนไร้ชีวิต กำลังแผ่ปกคลุมบรรยากาศรอบเมืองด้วยความอึมครึม
จิสึกะที่กำลังยืนบนระเบียงห้องชั้นบนสุด สำรวจไปรอบเมืองด้วยดวงตาสุกสกาวประหนึ่งแสงตะวันสดใส
“ยอมโผล่หัวออกมาแล้วสินะ”
กึก. กึก. กึก.
บุรุษผมสีเขียวกำลังย่างกรายไปบนถนนที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
เมื่อจิสึกะมองเห็นตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังกองทัพแห่งความตายนับพัน คันศรในมือพลันโก่งง้างไปด้านหลังโดยปราศจากความลังเล
“โบยบิน!”
พรึ่บ!
ซู่ว—!
เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเคยถูกความมืดมิดอันเย็นยะเยือกกลืนกินจนหายไปในตอนกลางคืน ถูกปลุกให้คืนชีพกลับมาอีกครั้งอย่างสง่างาม
ผลลัพธ์ก็คือ ร่างมายาของฟินิกซ์แดงสร้างหายนะแก่กองทัพความตายอย่างใหญ่หลวง
ท่ามกลางละอองแสงสีเทาที่ปลิวว่อนจนปกคลุมไปเมืองหลวง แอ็กนัสยืนประสานสายตากับจิสึกะอย่างไม่สบอารมณ์
ในที่สุดฝ่าบาทก็สามารถยกระดับตัวตนจนสามารถทัดเทียมเทพได้แล้วสินะ
ReplyDeleteสงสารอดีตของแอ็กนัสนะที่ต้องเจอกับเรื่องแบบนั้น แต่ก็ไม่ชอบที่แอ็กนัสทำแต่เรื่องอะไรแบบนี้เหมือนคนพาลไปทั่วอะทั้งๆทีคนพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย
ReplyDelete