จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,274
“ไม่เป็นไรแน่นะ”
“แน่สิ แค่ดื่มโพชั่นก็หายแล้ว”
พีคซอร์ดโบกไม้โบกมือให้กริดผู้กำลังเผยสีหน้าเป็นกังวล
แต่ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มสดใสของอีกฝ่าย กริดก็ยิ่งเผยความหม่นหมองบนใบหน้า
สำหรับผู้เล่นทุกคน หลังจากฟื้นคืนชีพอีกครั้งที่จุดบันทึก บาดแผลส่วนใหญ่อาจเยียวยาจนหายกลับเป็นปรกติ แต่ความเจ็บปวดก่อนตายของผู้เล่นจะยังคงคุกรุ่นอยู่
แม้ซาทิสฟายจะจำกัดเพดานความเจ็บปวดให้น้อยกว่าความเป็นจริงพอสมควร แค่ค่าสูงสุดก็ยังมากพอจะทำให้เหล่าบุรุษเสียน้ำตา
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม จากบรรดาผู้เล่นกว่าสองพันล้าน มีจำนวนไม่น้อยที่เลือกเล่นคลาสสายการผลิตซึ่งไม่ต้องต่อสู้ หรือไม่ก็คลาสแนวหลังอย่างจอมเวทและนักธนู
“…ห้ามฝืนเกินตัวอีกเด็ดขาด”
กริดตำหนิด้วยเสียงเย็นชา
ที่ทำเช่นนี้เพราะต้องการเก็บซ่อนความเสียใจ
แต่แน่นอน มันมิอาจปิดบังจากพีคซอร์ด
ประธานสมาคมเกาหลีใต้จงเจริญคือแฟนคลับตัวยงของกริดมานานหลายปี แถมยังเป็นเพื่อนสนิทที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน
“คิดมากน่า ในซาทิสฟาย มีใครไม่เคยตายหรือบาดเจ็บบ้าง? ไม่มีแน่นอน! ความตายและความเจ็บปวดคือเรื่องปรกติ มีผู้เล่นมากมายเสียชีวิตในแต่ละวัน แค่มือหักถือเป็นเรื่องเล็กน้อย”
“อย่าเอาความตายกับความเจ็บปวดมาปะปนกัน ฉันเพิ่งตายไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่เป็นการตายที่ไม่ทรมาน ไม่มีทางเทียบได้กับความเจ็บปวดที่เกิดจากกระดูกแตก”
“ก่อนตายก็ต้องเจ็บปวด จะมากหรือน้อยก็คือความเจ็บปวดเหมือนกัน… แถมความตายของนายยังเป็นการเสียสละเพื่อส่วนรวมยิ่งกว่าฉันเสียอีก… ก็ได้ ก็ได้! เข้าใจแล้ว ฉันยอมแพ้ เลิกทำหน้าแบบนั้นสักที ก็อดกริด!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมจำนน กริดยกมุมปากพลางก้มหน้ามองก้อนศิลาอัคคีเปล่งแสงซึ่งวางอยู่บนฝ่ามือ
<ศิลาอัคคีลมหายใจมังกรเพลิง>
เกรด : มิธ
แร่ที่เกิดจากการสัมผัสกับลมหายใจมังกรเพลิงอย่างต่อเนื่องและยาวนานกว่า 200 ปี
เป็นผลงานของนักขุดแร่นิรนามผู้ใช้ชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน
น้ำหนัก : 10
ทั้งที่รังมังกรมีขนาดมหึมา แต่ทำไมถึงมีศิลาอัคคีเพียงหนึ่งก้อน?
บราฮัมอธิบายพลางเคาะศิลาอัคคีบนมือกริด
“แม้ธาตุของลมหายใจมังกรจะขึ้นอยู่กับชนิดมังกร แต่ทุกธาตุล้วนมาพร้อมพลังทำลายมหาศาล แร่เกือบทุกชนิดจึงมิอาจทนต่อการกัดกร่อนจากลมหายใจและทยอยเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ทว่า ศิลาอัคคีก้อนนี้กลับสามารถคงรูปร่างไว้ได้จวบจนปัจจุบัน”
น้ำเสียงและท่าทีของมหาจอมเวทในตำนานกำลังบ่งบอกชัดเจนว่า นี่มิใช่หินแร่ธรรมดา
แม้บราฮัมจะทระนงตนว่าอยู่เหนือทุกสรรพสิ่งบนโลก แต่ไอเท็มเกรดมิธย่อมสร้างความประทับใจให้มันได้ไม่น้อย
‘นายจะสร้างดาบแบบไหนออกมาอีก…’
เรื่องเดียวที่น่าเสียดายก็คือ แร่หายากชนิดนี้ถูกจัดในหมวดหมู่ ‘ก้อนหิน’ มิใช่ ‘โลหะ’
ยิ่งโลกพัฒนาไปข้างหน้า อุปกรณ์ที่ผลิตจากหินก็ยิ่งเสื่อมคุณค่าลงตามกาลเวลา
แต่ต้องไม่ลืมว่ากริดคือช่างตีเหล็กในตำนาน คนนอกไม่ควรด่วนตัดสินจากประเภทของวัสดุ เพราะชายคนนี้สามารถเจียหินบนถนนให้กลายเป็นดาบที่คมและแข็งเทียบเท่าเหล็กนิลได้
เหนือสิ่งอื่นใด หินก้อนนี้เกิดจากลมหายใจของมังกรเพลิง—สิ่งมีชีวิตโบราณที่มีตัวตนมาตั้งแต่ยุคสมัยกำเนิดโลก
“ฉันขอเก็บตัวทำงานสักสองสามวัน”
หลังจากยืนยันว่าตนสามารถเดินทางไปกลับทาลิม่าได้อย่างอิสระ กริดคลายความกังวลไปอีกหนึ่งเรื่อง
พีคซอร์ดเผยรอยยิ้มสดใสขณะยืนมองแผ่นหลังชายหนุ่มผู้กำลังมุ่งหน้าไปยังโรงตีเหล็กด้วยความร่าเริง
***
‘แตกต่างจากเมื่อก่อนมาก…’
เมื่อได้กลับมาเยือนทวีปตะวันออกอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน นี่คือความประทับใจแรกของจิสึกะ
พลเมืองอาณาจักรโชที่เคยหวาดระแวงคนจากทวีปตะวันตกจนเกิดความเครียด ปัจจุบันกลับให้การต้อนรับอย่างมีชีวิตชีวาไม่ว่าเธอจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด
จิสึกะไม่เคลือบแคลงเลยว่า ทั้งหมดต้องเป็นผลจากการกระทำของกริดแน่นอน
‘ขณะที่เราเอาแต่ก้มหน้าเก็บเลเวล กริดช่วยเปลี่ยนแปลงโลกไปในทิศทางที่ดีขึ้นทีละนิด…’
สมกับเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
ควรค่าแก่การเป็นสามีของเรา!
จิสึกะยิ้มกรุ้มกริ่มพลางเร่งฝีเท้า จนกระทั่งเข้าเขตกรุงคาราสึ เมืองหลวงของอาณาจักรโชในอีกสองวันถัดมา
‘พักผ่อนสักวันค่อยออกเดินทางต่อ’
การเดินทางยังอีกยาวไกล
ปลายทางของจิสึกะคือเมืองโปกวานภายในอาณาจักรชิง
เนื้อหาภารกิจกำหนดให้เธอเดินทางตามหา <ศรปราบมาร> ในศาลเจ้าของเมืองดังกล่าว
‘จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่รู้ว่า ทำไมถึงต้องออกตามหาศรปราบมาร’
ตามชื่อของมัน ศรปราบมารคือลูกธนูสำหรับขจัดสิ่งชั่วร้ายโดยเฉพาะ
สรุปโดยสั้น มันจะสร้างความเสียหายเพิ่มเติมแก่สิ่งมีชีวิตประเภทอันเดด ภูตผี และอสูร
จิสึกะมิได้ปรารถนาจะครอบครองสักเท่าไร
สำหรับชาวทวีปตะวันตก ลูกธนูสำหรับจัดการเผ่าอันเดดมีมากมาย และหนึ่งในนั้นคือ <ศรมิธริล>
‘จริงอยู่ ศรปราบมารอาจมีประสิทธิภาพสูงกว่าศรมิธริลธรรมดา…’
จากการศึกษาอย่างคร่าว เธอพบว่าศรปราบมารมีคุณสมบัติของธาตุศักดิ์สิทธิ์
หรือก็คือ ศรปราบมารจะทรงพลังกว่าศรมิธริลทั่วไปพอสมควร
แต่ไม่ใช่กับศรมิธริลของจิสึกะ
หญิงสาวมั่นใจว่า ไม่มีศรธาตุศักดิ์สิทธิ์ชนิดใดในโลกเหนือกว่าลูกธนูที่เธอใช้เป็นประจำ
เพราะศรมิธริลทั้งหมดของจิสึกะ ล้วนเป็นผลงานการสร้างของกริดทั้งสิ้น
จากมุมมองของหญิงสาวที่ใช้งานลูกธนูคุณภาพสูงกว่าศรมิธริลทั่วไปราวสามเท่าจนเคยตัว ชื่อของศรปราบมารจึงฟังดูไม่น่าดึงดูดสักเท่าไร
ตรงกันข้าม เธอกังวลว่าตนอาจต้องเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์นานหลายวันบนทวีปตะวันออก
หากนี่ไม่ใช่ภารกิจคลาส เราคงถอนตัวไปแล้ว
“…หืม”
ณ อาคารทรงหอคอยสูงสิบชั้น
หลังจากย่างกรายเข้ามาในโรงเตี๊ยมบนถนนลมตะเกียง—ย่านหรูหราอันดับหนึ่งของคาราสึ ดวงตาหญิงสาวพลันหรี่ลงเล็กน้อย
ตลอดทางที่ผ่านมา เธอสัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากลจากผู้คนบนท้องถนน
ชาวเมืองคาราสึล้วนมีสีหน้าหมองคล้ำ คล้ายกับเพิ่งเผชิญภัยพิบัติและความสูญเสียครั้งใหญ่ไปไม่นาน
‘ทำไมบรรยากาศในเมืองหลวงถึงอึมครึมนัก’
แต่ชาวเมืองตามชนบทกลับยิ้มแย้มแจ่มใส?
เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ประชากรของเมืองหลวงต้องเผชิญความทุกข์ระทมมากกว่าเขตอื่นของอาณาจักร
แถมที่นี่ยังเป็นถนนลมตะเถียง ย่านธุรกิจที่มั่งคั่งและร่ำรวยที่สุดภายในกรุงคาราสึ
ขณะเห็นเสี่ยวเอ้อร์ (เด็กรับใช้) เดินเข้ามาหา จิสึกะหันไปพูด :
“เมนู… อ๊ะ—”
จริงอยู่ อาณาจักรโชเปิดรับวัฒนธรรมจากทวีปตะวันตกเข้ามาพอสมควร
แต่ที่นี่ เราสามารถใช้ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาวตะวันตกได้จริงหรือ?
จิสึกะชะงักงันครู่หนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะสานต่อบทสนทนาราวกับไม่มีความผิดปรกติเกิดขึ้น
“คุณผู้หญิงมาท่านเดียวใช่ไหมครับ”
“ช…ใช่… เสี่ยวเอ้อร์ของที่นี่ฟังภาษาอังกฤษออกด้วยหรือ?”
“หือ?”
“ป…เปล่า ไม่มีอะไร ฉันคุยกับตัวเอง”
อีกฝ่ายอายุราว 15 ปี
จิสึกะยิ้มให้เด็กชายพร้อมกับยื่นทิปจำนวนหนึ่งเหรียญเงิน ทันใดนั้น เสี่ยงเอ้อร์ที่กำลังตกตะลึงกับความงามของหญิงสาว พลันออกอาการพินอบพิเทาโดยพยายามเก็บซ่อนสีหน้าตื่นเต้นยินดี ราวกับหล่อนเป็นเจ้านายก็มิปาน
จิสึกะชิงถามก่อนที่เสี่ยวเอ้อร์จะเดินออกไปยกอาหารมาให้
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมสีหน้าของชาวเมืองถึงหม่นหมองขนาดนี้?”
“เอ่อ… เรื่องนั้น”
พลังของสาวงามและทิปช่างน่าอัศจรรย์
เด็กชายเสี่ยวเอ้อร์ตอบคำถามของจิสึกะอย่างเถรตรง
“ในช่วงกลางคืนของทุกวัน ซอมบี้และโครงกระดูกจำนวนมากจะออกมาเดินเตร็ดเตร่ไปรอบเมืองหลวง เป็นเช่นนี้นานกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว ชาวเมืองต่างหวาดระแวงจนนอนไม่หลับ แม้แต่ผมก็ด้วย เมื่อคืนต้องใช้ไม้กวาดสู้กับซอมบี้ที่หลงเข้ามาในสวนหน้าบ้าน”
“ทำไมถึงมีฝูงอันเดดปรากฏตัวในย่านใจกลางเมืองหลวงได้…”
“ไม่ใช่เฉพาะย่านใจกลาง แต่ทั่วทุกซอกมุมของเมืองหลวงล้วนเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทกล่าวว่า นี่อาจเป็นฝีมือของนักพรตมารสักตนที่กำลังซ่อนตัวอยู่… นั่นยังเป็นเหตุผลที่ชาวเมืองมองคนต่างถิ่นด้วยสายตาแปลกประหลาด”
‘แปลกมาก…’
เทพผู้พิทักษ์ของอาณาจักรโชคือฟินิกซ์แดง
ต้องขอบคุณกริด เทพฟินิกซ์แดงจึงคืนชีพกลับมาอีกครั้ง โดยหลังจากคืนชีพ ฟินิกซ์แดงได้มอบพรศักดิ์สิทธิ์ให้กับทุกสิ่งมีชีวิตภายในดินแดนภาคใต้ รวมถึงการแผ่เพลิงเปลวเพลิงสำหรับขัดความชั่วร้าย ปกคลุมไว้ทั่วอาณาเขต
แต่เสี่ยวเอ้อร์กลับบอกว่า อันเดดปรากฏตัวภายในเมืองหลวงทุกคืน?
‘มีคนจงใจปล่อยอันเดดเหล่านี้ออกมาเพ่นพ่าน…’
แล้วต้องเก่งกาจขนาดไหนกัน ถึงสามารถอัญเชิญอันเดดในระดับที่ทนทานต่อออร่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของฟินิกซ์แดง
ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่
‘…เดี๋ยวสิ’
แผ่นหลังจิสึกะพลันเย็นวาบ
เธอเอาแต่หมกมุ่นจนลืมเสียสนิทว่า เด็กหนุ่มเสี่ยวเอ้อร์มิได้เอ่ยถึงผีดิบ ‘เจียงชือ’ หากแต่เป็น ‘ซอมบี้’ อย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เธอพูดว่าโครงกระดูกและซอมบี้?”
“ครับ”
“ทวีปตะวันออกมีซอมบี้ด้วยหรือ”
“เมื่อก่อนไม่มี… แทบไม่มีเลย เพราะนักพรตมารส่วนมากมักใช้การอัญเชิญเจียงชือ”
ใบหน้าของชายเสียสติคนหนึ่งพลันผุดขึ้นในจิตใต้สำนึกของจิสึกะ ก่อนที่เธอจะหันไปถามเสี่ยวเอ้อร์อีกครั้ง
“ทหารหลวงคงแทบไม่ได้พักเลยสินะ”
“ใช่ครับ… พวกเขาต้องคอยลาดตระเวนไปรอบเมืองหลวง ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นว่ามีบางคนได้นอนเพียงวันละสองสามชั่วโมงเท่านั้น สีหน้าของทหารหลวงย่ำแย่ยิ่งกว่าชาวเมืองเสียอีก”
‘นี่มันเรื่องใหญ่เลยไม่ใช่รึไง…’
จิสึกะลุกจากโต๊ะและเดินออกไปนอกโรงเตี๊ยม จากนั้นก็กวาดตาสำรวจโครงสร้างอาคารไปพร้อมกับภูมิประเทศด้านนอก
จนกระทั่งสายตาแหงนมองขึ้นไปยังชั้นบนสุดของอาคารทรงหอคอย
“ห้องนั้นว่างไหม”
“ว่างครับ… ว่างแทบจะตลอด เนื่องจากห้องดังกล่าวกินพื้นที่ทั้งชั้น ให้ค่าเช่าห้องจึงสูงมาก แม้แต่ขุนนางและพ่อค้ามั่งคั่งจากเมืองอื่นก็ยังเลี่ยงที่จะเข้าพัก”
“ฉันจะเช่าห้องนั้นสักสองสามวัน”
“เอ๋? แต่คุณลูกค้าครับ ค่าเช่ารายวันของห้องนั้นมีราคาสูงมากจริง ๆ …”
คล้ายกับเด็กหนุ่มต้องการเตือนว่า ได้โปรดอย่าแสดงความร่ำรวยให้เจ้าของโรงเตี๊ยมเห็น ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกขูดรีดทุกวิถีทาง
จิสึกะโยนถุงเงินใบเล็กไปทางเสี่ยวเอ้อร์ที่นอกจากจะไม่หลอกฟันราคาห้องพัก VIP แต่ยังบอกเล่าความจริงอย่างตรงไปตรงมา
“แค่นั้นคงพอใช่ไหม”
“อ…อึ๋ย!!”
เมื่อเปิดปากถุงออก ดวงตาของเด็กหนุ่มพลันเบิกโพลง
แม้แต่เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งในเมืองหลวงอาณาจักรโช ก็ยังไม่เคยพบเห็นเงินมากมายเช่นนี้ในคราวเดียวมาก่อน
จิสึกะถอนหายใจยาว
‘เฮ่อ… กว่าจะเก็บเงินได้ แต่เรากลับนำมาใช้ฟุ่มเฟือยแบบนี้’
ตัวเธอยังติดหนี้กริดอยู่อีกมาก
อย่างไรก็ตาม หากมีโอกาสสำคัญมาโผล่ตรงหน้าก็ต้องรีบคว้าไว้ เพราะบางที สิ่งนี้อาจหาซื้อไม่ได้ด้วยเงินทอง
และเมื่อหญิงสาวเดินกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม
“โฮ่! ยินดีต้อนรับครับท่านผู้หญิง! พวกเราพร้อมให้บริการอย่างสุดความสามารถ!”
“ยกอาหารไปเสิร์ฟที่ห้อง”
“ไม่มีปัญหาขอรับ!”
‘พอเห็นเงินแล้วเปลี่ยนสันดานทันที’
จิสึกะใช้หางตาเหลือบมองเจ้าของร้านด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยม
เมื่อเข้าไปในห้อง เธอรีบตรงไปยังระเบียงพร้อมกับเปิดใช้งาน <นัยน์ตาเหยี่ยว> ทันที
‘ไม่เลว’
ไม่ผิดจากที่เธอคิดไว้มากนัก
ทัศนียภาพของกรุงคาราสึทั้งหมดอยู่ในการมองเห็นโดยสมบูรณ์
ครอบคลุมไปไกลถึงเขตสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญอย่างวังหลวง
“เจอตัวแล้ว”
มุมปากหญิงสาวยกโย้งอย่างมีเลศนัย ดวงตาเผยความเย็นชาดุจดังนกเหยี่ยวเตรียมโฉบเหยื่อ
***
ตามหลักพื้นฐานการตีเหล็ก วัสดุประเภทหินจะแตกต่างกับโลหะค่อนข้างมาก พวกมันไม่ถูกกับความร้อนสักเท่าไร เพราะนอกจากจะไม่ละลาย ยังมีโอกาสไหม้จนหินเสียคุณภาพ
ดังนั้น เทคนิคสำหรับสร้างไอเท็มจากหินจึงไม่เหมือนกับเหล็ก จะมิใช่การถลุงและทุบขึ้นรูปด้วยค้อน หากแต่เป็นการ ‘แกะสลัก’
‘แถมเจ้านี่ยังเป็นหินเกรดมิธ…’
ขอเพียงนำไปแกะสลักและเจียขัดให้เป็นรูปทรงคล้ายใบดาบ มันจะกลายเป็นสุดยอดศาสตราชิ้นใหม่ของโลกทันที
กริดคิดเช่นนั้น
แต่ว่า
“…บัดซบ!”
เพียงไม่นาน ชายหนุ่มเริ่มตระหนักว่าความคิดของตนผิดถนัด
ไม่มีอุปกรณ์ใดสามารถแกะสลักศิลาอัคคีลมหายใจมังกรเพลิงได้ แม้แต่การทุบด้วยสิ่วก็ยังมิอาจสร้างรอยขีดข่วน
‘หมายความว่ายังไง…’
ชายหนุ่มยังคงเผชิญทางตันไปอีกพักใหญ่
โดยไม่สนใจว่าค่าเรี่ยวแรงจะหมดลง กริดก้มหน้าก้มตาสร้างหินขัดคุณภาพสูงเพื่อเตรียมฝนศิลาอัคคีให้ค่อย ๆ แบนราบ
แต่ผลลัพธ์กลับไม่แปรเปลี่ยน ผิวของก้อนหินยังคงเรียบเนียนโดยไม่สึกหรอ
“แฮ่ก… แฮ่ก…”
กริดวางค้อนลงด้วยฝ่ามือสั่นเทา
เราควรทำยังไงดี…
ไม่ว่าจะใช้วิธีใด ทุกหนทางที่พยายามคิดค้นล้วนล้มเหลวไม่เป็นท่า สมาธิจดจ่อเสียจนลืมสนใจสภาพแวดล้อมและกาลเวลาที่ล่วงผ่าน
จนกระทั่ง
เอ่กอี๊เอ๊กเอ๊ก~
เสียงไก่ขันซึ่งเป็นสัญญาณของวันใหม่ ดังกังวานไปรอบโรงตีเหล็กอันเงียบสงบ
เหล่าช่างตีเหล็กที่ไม่กล้ากลับบ้านเนื่องจากยังไม่มีคำสั่งจากราชา พลันสะดุ้งตื่นหลังจากงีบหลับด้วยความอ่อนเพลียตลอดทั้งคืน
ทันใดนั้น ประหนึ่งฟ้าผ่าลงกึ่งกลางศีรษะกริด
…ศิลาอัคคีลมหายใจมังกรเพลิง
แร่ชนิดนี้ย่อมต้องเคยสัมผัสกับเปลวเพลิงที่ร้อนที่สุดของโลกมาแล้ว
แถมยังต่อเนื่องยาวนานถึงสองร้อยปี…
แต่เรากลับกลัวมันไหม้เนี่ยนะ?
เจ้าสิ่งนี้อาจไม่ใช่หินแล้วก็ได้...
ซู่ว—!
ฟืนฟอสฟอรัสขาวถูกจุดใต้เตาหลอม
เมื่อเร่งอุณหภูมิจนถึงค่าสูงสุด กริดโยนศิลาอัคคีลมหายใจมังกรเพลิงเข้าไปโดยไม่ลังเล
เจ๋ง
ReplyDelete