จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,270
จอมอสูรลำดับ 12 สตริโอ้
ลำพังฝ่ามือข้างเดียว ก็สามารถย่างกรายผ่านทุ่งกว้างและภูเขาน้อยใหญ่มากมาย ไปพร้อมกับการทำลายอารยธรรมของมนุษย์นับไม่ถ้วน
…ตัวตนในนรกจะต้องยิ่งใหญ่เพียงใดกัน
นับเป็นภาพอันน่าทึ่งเมื่อคนทั่วโลกได้เห็น ‘บางส่วน’ ของ ‘บางตัวตน’ สามารถสร้างความพังพินาศจนมิอาจประเมินค่าความเสียหาย หลายฝ่ายต่างไม่อยากจินตนาการว่า หากเป็น ‘ทั้งหมด’ ของตัวตนดังกล่าว โลกกึ่งกลางจะต้องเผชิญความสิ้นหวังมากเพียงใด
กริดเองก็เช่นกัน
แม้จะเป็นเพียงฉากบางส่วนที่ได้เห็นจากทีวีในภายหลัง แต่ผู้เล่นอันดับหนึ่งของโลกก็ยังเกิดความสั่นสะท้านในภาพความโหดร้าย
ดังนั้นคงไม่ต้องสาธยายให้ฟังว่า สตริโอ้จะน่าหวาดหวั่นเพียงใดในสายตาผู้เล่นทั่วไป
ครืนนนน…!
เสียงดังโครมครามคล้ายคลื่นยักษ์ซัดถล่มขุนเขาจนพังครืน
ลำพังลมหายใจของมัน ก็มากพอจะสร้างสนั่นหวั่นไหวไปทั่วเหมืองแร่เอลีต
‘ไอ้เจ้านี่…’
ดวงตาที่หมุนเป็นเกลียวราวกับวังวนวารี
กริดตระหนักได้ทันทีว่า วัตถุสีแดงสดขนาดมโหฬารตรงหน้าคือสิ่งใด
ดวงตาของสตริโอ้
ตัวตนทรงพลังจากโลกอื่น ผู้กำลังจ้องมองเข้ามายังโลกกึ่งกลางผ่านรอยแยกภายในเหมืองแร่เอลีต
‘เราจะเอาชนะมันได้จริงหรือ…’
นี่คือความคิดของกริดขณะย้อนนึกถึงภาพความพินาศของบ้านเมืองอันเกิดจากฝ่ามือสตริโอ้เพียงข้างเดียว
ภายในใจชายหนุ่มกำลังจินตนาการถึงฉากที่ตนต่อสู้กับสัตว์ประหลาดทรงพลังตัวดังกล่าว
จอมอสูรคือศัตรูตัวฉกาจของมวลมนุษย์ ส่วนอาณาจักรโอเวอร์เกียร์จะยืนต่อสู้ยืนหยัดเคียงข้างมนุษย์เสมอ
ฉะนั้น นี่คือการต่อสู้ที่มิอาจเลี่ยง
‘ตัวใหญ่ชะมัด…’
เมื่อลองพิจารณาจากขนาดของมือและดวงตาที่เล็กกว่าจักรกลเวทมนตร์ของลาร์ดวูล์ฟ กริดคาดว่าจอมอสูรสตริโอ้คงตัวเล็กกว่ามังกรอยู่เล็กน้อย
แต่เพียงเท่านั้นก็มากพอจะสร้างความพรั่นพรึงให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์แสนอ่อนแอ
โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่า จอมอสูรส่วนใหญ่ที่กริดเคยพบ ล้วนมีขนาดร่างกายไม่ใหญ่ไปกว่ามนุษย์มากนัก
หากจอมอสูรตัวใหญ่เท่ามังกร…
‘แถมมันยังมีฉายา ‘เทพอสูร’ อาจเป็นตัวตนที่พิเศษมากภายในขุมนรก…’
ตามธรรมชาติของซาทิสฟาย จอมอสูรจะมีระดับต่ำกว่า ‘เทพ’ เล็กน้อย
จริงอยู่ จอมอสูรลำดับต้น ๆ อาจแข็งแกร่งกว่าเทพปลายแถว
แต่เทพยังมีอำนาจภายนอก
พลังของพวกมันอาจด้อยกว่าจอมอสูรลำดับต้นในการปะทะซึ่งหน้า แต่เทพสามารถปลุกปั้นนักรบจำนวนมากให้แข็งแกร่งและเปี่ยมไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ จนเอาชนะกองทัพจอมอสูรได้ในสงครามขนาดใหญ่
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือบาเอล โดยแม้จะเป็นถึงบุตรแห่งเทพมาร ยาธาน แต่บาเอลก็ยังไม่กล้าสถาปนาตนเองด้วยคำว่า ‘เทพ’ นำหน้า
แล้วทำไมสตริโอ้ถึงมีฉายาว่าเทพอสูร?
ทั้งที่อันดับของมันค่อนข้างต่ำ
แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด
‘…มันมาทำอะไรที่นี่!’
ความสำคัญอันดับหนึ่งในปัจจุบันมิใช่ปูมหลังหรือวีรกรรมในอดีตของสตริโอ้ หากแต่เป็นสถานการณ์รอบตัวกริด
ฉึบ.
ชายหนุ่มพยุงตัวยืนอย่างใจเย็น พลางจ้องดวงตาจอมอสูรด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
อันทริโน่แสร้งพูดรักษาหน้าอีกฝ่าย
“อะแฮ่ม… ต้องขอโทษด้วย เมื่อครู่ข้าเผลอมองไปทางอื่น พวกเราคุยกันถึงไหนแล้ว”
คล้ายกับต้องการบอกเป็นนัยว่า ข้ามองไม่เห็นท่าล้มก้นจ้ำเบ้าของเจ้า และมิได้ยินเสียงอุทานอันน่าอับอายเมื่อครู่แต่อย่างใด
ถือเป็นมารยาทการสนทนาที่น่ายกย่อง
กริดรู้สึกเขินอายปนขอบคุณ ตามด้วยการกระแอมแห้งหนึ่งหนและจ้องไปยังดวงตาสีแดงโดยไม่ปิดบังเจตนา
อย่างไรก็ตาม ดวงตาสีแดงมีขนาดใหญ่มาก จนชายหนุ่มไม่มั่นใจว่า เจ้าของดวงตากำลังเพ่งมองสิ่งใดเป็นพิเศษ
มันอาจมองเห็นตน หรือมองไม่เห็นก็ได้
“…ดวงตาของจอมอสูรลำดับ 12 ใช่ไหม”
“ถูกต้อง หลังจากที่มือของมันสร้างปัญหาให้พวกเรามานาน เมื่อได้เห็นดวงตาอยู่ตรงหน้า ข้านึกอยากจะใช้ขวานสับให้รู้แล้วรู้รอด”
“ถ้าเป็นผมคงทำไปแล้ว”
“คิดว่าข้าไม่อยากหรือ?”
อันทริโน่ชักขวานออกมาถือ
อันที่จริง มันเป็นพวกใช้มือมากกว่าปากเสมอ และไม่ใช่คนพูดเก่งอะไรนัก แต่เพื่อเป็นการให้เกียรติกริด จึงอาสามาเป็นไกด์พาเที่ยวชมเมืองด้วยตัวเอง
นักรบอันดับหนึ่งแห่งทาลิม่า
เมื่อเสาหลักของอาณาจักรแสดงความเคารพต่อกริด แถมยังให้การต้อนรับเป็นอย่างดี สถานะของชายหนุ่มก็ยิ่งสูงขึ้นในสายตาเหล่าคนแคระ
ฟ้าว!
ขวานพุ่งออกจากมือของอันทริโน่พร้อมกับหมุนรอบตัวเองในลักษณะเดียวกับกงจักร
ทั้งความเร็วและความแม่นยำล้วนไร้ที่ติ
กระทั่งกริดผู้มีพลังป้องกันมหาศาล ก็ยังรู้สึกถูกคุกคามเพียงแค่ได้มอง
โครม!
แต่ดวงตาของสตริโอ้กลับไม่เป็นอันตรายใด
คล้ายกับมีบาเรียล่องหนคอยขวางกั้นระหว่างโลกกึ่งกลางและขุมนรกเอาไว้
ฟุ่บ!
ขวานที่กำลังร่วงหล่น ลอยกลับมายังฝ่ามือของอันทริโน่อย่างว่องไวแต่นุ่มนวล
เป็นภาพที่ทำให้กริดรู้สึกทึ่ง
ขวานถูกดูดกลับราวกับมีเชือกผูกอยู่
เวทมนตร์สุญญากาศ?
ผิดแล้ว
ที่นี่คือทาลิม่า
นั่นจึงมิใช่เวทมนตร์ หากแต่เป็นไอเท็มอีโก้
‘…ขวานเล่มนี้คุกคามเราได้ตั้งแต่แรกพบ’
กริดตัดสินใจเปิดใช้งานเนตรแพ็กม่าเพื่อตรวจสอบรายละเอียดขวานในมืออันทริโน่
ไอเท็มเกรดเลเจนดารี มาพร้อมอีโก้ขั้นสูง
ผู้สร้างคือราชินีมาริเบล
ขวานซึ่งถูกผลิตขึ้นขณะที่เธอกำลังอยู่บนจุดสูงสุดของฝีมือ เมื่อถูกนำมาใช้งานโดยยอดนักรบอย่างอันทริโน่ ผลงานชิ้นนี้จึงกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานเล่าขานของทาลิม่า
‘นึกแล้วเชียว…’
กริดยิ่งทวีความมั่นใจ
ยอดนักรบและยอดศาสตราคือของคู่กัน
ยอดกลับไปในอดีตของซาทิสฟาย หรือแม้กระทั่งอดีตของโลกความจริง ยอดนักรบในประวัติศาสตร์ล้วนโด่งดังขึ้นมาพร้อมกับสุดยอดศาสตราเสมอ
มนุษย์ทำสงครามชิงชัยด้วยอาวุธ จึงย่อมปรารถนาจะครอบครองยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่าข้าศึก ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดก็ตาม
แล้วเหตุใด พอเป็นวงการเกม ความโอเวอร์เกียร์จึงถูกมองในแง่ลบทุกครั้ง?
กริดตั้งคำถามในใจ เกี่ยวกับค่านิยมอันผิดเพี้ยนซึ่งครอบงำคนทั่วโลกมานานหลายปี
“…โลกทั้งสองใบถูกตัดขาดออกจากกันโดยสมบูรณ์?”
อันทริโน่พยักหน้ารับ
“ถูกต้อง นั่นคือความรู้พื้นฐานของทุกคน”
โลกกึ่งกลางกับขุมนรกมิได้เชื่อมต่อกัน
และในความเป็นจริง ไม่ควรมีตัวตนใดสามารถผ่านไปมาระหว่างทั้งสองโลกได้อย่างอิสระ
แต่แล้ววันหนึ่ง มือของสตริโอ้กลับปรากฏขึ้นภายในเหมืองเอลีตอย่างเป็นปริศนา
เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนที่วิหารยาธานจะประกอบพิธีกรรมอัญเชิญเหล่าจอมอสูรด้วยซ้ำ
กริดที่เพิ่งนึกขึ้นได้ หันไปซักถามอีกฝ่าย
“แล้วทำไมมือของสตริโอ้ถึงโผล่ออกมายังโลกกึ่งกลางได้เอง?”
อันทริโน่ยักไหล่พลางใช้เท้าขีดเส้นบนพื้น
“ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่หลังจากมั่นใจว่ามือของมันยืดออกมาไกลถึงแค่ตรงนี้ พวกเราก็หยุดค้นหาคำตอบทันที”
“…”
ทั้งที่มือของจอมอสูรโผล่ขึ้นมาบนโลก แต่คนแคระกลับไม่คิดแยแส…
เมื่อเห็นสีหน้าสุดฉงนของกริด อันทริโน่หัวเราะในลำคอ
“เป็นเพราะพวกเราไม่คิดจะใช้งานเหมืองแห่งนี้อยู่แล้ว …และเหนือสิ่งอื่นใด เจ้าเองก็คงทราบ คนแคระอย่างพวกเราไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเล็กน้อยสักเท่าไร”
“ทั้งที่อวัยวะของจอมอสูรปรากฏขึ้นในเมือง แต่คุณบอกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย…”
“อะแฮ่ม… หากคำนึงถึงเรื่องที่พวกเรามีมังกรเพลิงทราวก้าเป็นเพื่อนบ้าน ฝ่ามือของจอมอสูรก็มิใช่ภัยคุกคามที่น่ากลัวอะไร”
กำลังจะบอกว่า การมีอยู่ของทราวก้าทำให้คนแคระเกิดความสบายใจ?
ตรรกะบ้าบอสิ้นดี
หมอนี่เป็นคนเดียวกับนักรบป่าเถื่อนที่หวังสับเราให้ขาดเป็นสองท่อนเมื่อวันก่อนจริงหรือ…
กริดส่ายหน้าพลางสลัดความคิด
ประโยคถัดไปของอันทริโน่ค่อนข้างน่าสนใจ
“พวกเราเชื่อมาตลอดว่าสตริโอ้ไม่มีทางออกมาอาละวาดบนโลกกึ่งกลางได้ …จนกระทั่งมันยอมตัดมือของตัวเอง”
“สตริโอ้ตัดมือตัวเอง? ไม่ใช่ว่าอวัยวะถูกแยกส่วนมาตั้งแต่แรกแล้วหรือ”
อันทริโน่ใช้ปลายเท้าแตะลงบนเส้นที่ตนวาด
“ผิดแล้ว ตอนแรกพวกเราเห็นท่อนแขนด้วย แต่ต้นแขนของมันใหญ่เกินกว่าจะลอดผ่านช่องว่างออกมา”
“…”
“หลังจากคนของวิหารยาธานประกอบพิธีกรรมอัญเชิญ ข้าเห็นจอมอสูรตนอื่นปรากฏกายจากช่องว่างเดียวกับมือของสตริโอ้ คล้ายกับมันยอมตัดมือตัวเองทิ้งเพื่อให้จอมอสูรตนอื่นผ่านออกมาได้… เป็นการตัดสินใจที่น่าทึ่งมาก”
‘นั่นสินะ…’
จากความพินาศที่มันสร้าง สตริโอ้คงเกลียดชังโลกมนุษย์มากจนยอมตัดมือของตัวเอง
‘หมายความว่า เราคงต้องสู้กับมันในอนาคต’
ต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว
ไม่ใช่แค่นั้น ลำพังผู้เล่นเพียงคนเดียวคงทำอะไรไม่ได้มากนัก หากต้องการล้มจอมอสูรที่แข็งแกร่งอย่างสตริโอ้ จำเป็นต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากอาณาจักรโอเวอร์เกียร์อย่างเต็มกำลัง
กริดหันไปถามหยั่งเชิงอันทริโน่
“ผมขอขุดเพชรอีเธอร์ตอนนี้เลยได้ไหม”
“แน่นอน เจ้าคือผู้มีพระคุณของคนแคระ ต้องการแร่มากแค่ไหนก็นำกลับไปได้เลย”
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการขุดเพชรอีเธอร์มิใช่เรื่องง่าย นอกจากผิวแร่จะมีความแข็งสูง เนื้อแร่ส่วนใหญ่ยังฝังลึกลงไป จำเป็นต้องใช้เวลาและกำลังคนมหาศาล
แม้แต่นักขุดแร่มากฝีมือก็ยังขุดได้เพียงวันละสามถึงสี่ก้อน
ยิ่งถ้าเป็นช่างตีเหล็กที่ทักษะด้านการขุดแร่ต่ำ อาจใช้เวลานานและได้ผลลัพธ์น้อยกว่าปรกติหลายเท่า
“ข้าจะเรียกนักขุดแร่คนอื่นมาช่วย แต่ไม่แน่ใจว่ายังว่างอยู่กี่คน…”
เป็นที่ทราบกันดี คนแคระส่วนมากฝักใฝ่อาชีพช่างตีเหล็กตั้งแต่เกิด สายงานด้านอื่นจึงมีจำนวนเพียงหยิบมือ และไม่ใช่ข้อยกเว้นสำหรับนักขุดแร่
เหนือสิ่งอื่นใด รอบทาลิม่าคือภูเขาไฟ ย่อมมีเหมืองแร่แห่งอื่นกระจายตัวอยู่มาก นักขุดแร่จึงเป็นอาชีพที่ขาดแคลนสถานหนัก
ยิ่งเมื่อพิจารณาว่า ทุกคนต้องคอยตอบสนองความต้องการของช่างตีเหล็กซึ่งมีจำนวนมากกว่าพวกตนหลายเท่า
ถึงขั้นมีคำกล่าวที่ว่า ต่อให้นักขุดแร่ทาลิม่าสามารถแยกร่างได้คนละสิบ ก็ไม่แน่ว่าจะเพียงพอต่อความต้องการของช่างตีเหล็ก
สรุปก็คือ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะชักชวนใครสักคนมาช่วยงานที่เหมืองเอลีตซึ่งอยู่ห่างไกล
แต่อันทริโน่ก็ยังเชื่อในสถานะของตนและกริด คงมีนักขุดแร่จำนวนหนึ่งยอมละทิ้งงานเดิมเพื่อตอบแทนกริด หรือไม่ก็เพราะเห็นแก่หน้าตน
‘คงต้องรบกวนพวกเจ้าหน่อยแล้ว…’
ขณะอันทริโน่เตรียมอัญเชิญภูตเทียมนามว่า <ดูราส> ผลงานชิ้นเอกของแผนกวิจัย เพื่อให้สิ่งนี้ช่วยส่งข้อความไปหาเหล่านักขุดแร่
แคร้ง!
กริดควักจอบสองหัว ตามด้วยการออกแรงตอกปลายแหลมเข้าไปในผนังแร่
ได้เห็นเช่นนั้น อันทริโน่เริ่มจินตนาการถึงใบหน้าอันผิดหวังของกริด
ทว่า.
แคร้ง! แคร้ง! แคร้ง!
“…?!”
จอบสองหัวของชายหนุ่มกระหน่ำเจาะทะลวงผนังโดยไม่หยุดพัก จนกระทั่งผิวของเพชรอีเธอร์ซึ่งเคยฝังลึกอยู่ข้างใน เริ่มเผยให้เห็นเนื้อแร่ทีละนิด
ฉากตรงหน้าทำให้อันทริโน่เกิดความทึ่ง
“จ…เจ้าทำได้ยังไง… อย่าบอกนะว่าสืบทอดเทคนิคของกิสมาด้วย!?”
ช่างตีเหล็กในตำนานและนักขุดแร่ในตำนาน
หากทั้งสองสิ่งบังเอิญมาอยู่ในร่างเดียวกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อนาคตของบุคคลดังกล่าวจะสดใสและโรยด้วยกลีบกุหลาบมากเพียงใด
ถือเป็นคลาสรองในอุดมคติของช่างตีเหล็ก
สามารถตระเวนขุดแร่ได้ทุกชนิดบนโลกโดยไม่ต้องหวังพึ่งพาผู้อื่น จากนั้นก็นำแร่หายากไปสร้างเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิม
‘…คงเป็นเหตุผลสำคัญที่เทพเฮ็กเซเทียให้การยอมรับชายคนนี้’
ขณะอันทริโน่กำลังยืนชื่นชม กริดรีบโบกมือพลางปฏิเสธทันควัน
“เปล่า… เพราะความโอเวอร์เกียร์ต่างหาก”
* เพิ่มความเร็วและอัตราความสำเร็จในการขุดแร่ 300%
* เพิ่มโอกาสดรอปแร่คุณภาพสูงสุด 200%
* ลดค่าเรี่ยวแรงที่สูญเสียระหว่างขุด
นั่นคือออปชันหลักของจอบสองหัวในมือกริด
สุดยอดจอบสองหัวเกรดเลเจนดารีที่เกิดจากการวิจัยและค้นคว้าจอบสองหัวให้พีคซอร์ดชิ้นแล้วชิ้นเล่า
“โอเวอร์… เกียร์…”
อันทริโน่เริ่มเข้าใจความหมายของวลี ‘โอเวอร์เกียร์’ จากการเปรียบเปรยทางอ้อม พลางเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าภายในใจ
นักรบ
คลาสที่เปล่าประโยชน์ในทาลิม่า—ดินแดนปลอดสงครามเนื่องจากอยู่ใกล้กับรังมังกรเพลิง
แต่ในทางกลับกัน นักขุดแร่นั้นไม่ใช่
นักขุดแร่คือคลาสที่จำเป็นและมักขาดแคลนอยู่เสมอ ถือเป็นอีกหนึ่งอาชีพสำคัญในทาลิม่า
อันทริโน่ปรารถนาในสิ่งที่มันเคยใฝ่ฝันมานาน
“แม้แต่ข้าเองก็... สามารถเป็นนักขุดแร่ได้เหมือนกันใช่ไหม…”
“หือ? แน่นอนอยู่แล้ว”
และในวันนี้
หลังจากกริดลงมือผลิตจอบสองหัวอันใหม่ภายในเหมืองเอลีต นักรบอันดับหนึ่งแห่งทาลิม่าก็กลายมาเป็นมีผู้ช่วยขุดเพชรอีเธอร์ให้ชายหนุ่ม
ในฐานะ NPC พิเศษ อันทริโน่ย่อมมีค่าสถานะสูงในทุกด้าน รวมไปถึงค่าเรี่ยวแรง ส่งผลให้กริดสามารถรวบรวมเพชรอีเธอร์ได้ตามเป้าภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งวัน
โฮก…
สตริโอ้ค่อย ๆ ลดเสียหายใจลงโดยไม่มีใครทราบเหตุผล ก่อนที่ดวงตาของสัตว์ร้ายจะหายไปจากความมืดมิดโดยสมบูรณ์
มันคงอับอายที่ถูกมองเป็นเพียงตัวประกอบนอกสายตากระมัง…
‘การเพิกเฉยจะใช้ได้ดีกับพวกที่ชอบเรียกร้องความสนใจ’
หลังจากข่มสติตนเองมิให้หันไปตะโกนเย้ยหยันจอมอสูร กริดกล่าวคำอำลากับอันทริโน่
“ผมคงต้องขอตัวกลับก่อน จะรีบปรึกษากับเพื่อนถึงวิธีทะลวงผ่านข่ายเวทมนตร์ของมังกรเพลิง จากนั้นจะย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้ง”
“หึหึ… เจ้าคงมีเพื่อนเป็นมหาจอมเวทในตำนานสินะ แต่ถึงอย่างนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย… อย่าได้คาดหวังสูงเกินไปนัก ยามผิดหวังจะได้ไม่เสียใจมาก จงใช้ชีวิตโดยการเตรียมใจเผชิญกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้เสมอ”
คำแนะนำจากบุคคลมากประสบการณ์
ทาลิม่าตัดขาดจากโลกภายนอกมานาน
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อันทริโน่จะถอดใจ และมองว่าการแลกเปลี่ยนกับโลกภายนอกคงไม่มีวันเกิดขึ้นได้ หากมังกรเพลิงทราวก้ากลับมาอาศัยที่รัง
เป็นสภาพจิตใจของชาวเมืองคนแคระที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเป็นเวลานาน
“…ผมจะกลับมาพร้อมข่าวดี”
“หึหึ… ระหว่างนั้น ข้าคงต้องฝึกฝนตัวเองให้เป็นนักขุดแร่ที่ยอดเยี่ยม แล้วจะเก็บรวบรวมแร่ที่เจ้าต้องการไว้ให้”
มังกรเพลิงทราวก้าอาจกลับมาในวันพรุ่งนี้
ไม่มีทางทราบว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไร
แม้จะผ่านไปร้อยพันปี แต่มันอาจไม่ได้พบกริดอีกเลยก็เป็นได้
อันทริโน่เพียงตกปากรับคำไปตามมารยาท
เพราะชาวทาลิม่าไม่ควรคาดหวังมากนัก
“ข้าจะไม่ลืมสัญญาในวันนี้… ไว้พบกันใหม่”
เขาอยากเป็นนักขุดแร่ขนาดนั้นเลยหรือ?
แม้กริดจะไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่ก็รู้สึกขอบคุณในความปรารถนาดีของอีกฝ่าย
ชิ้ง—!
เมื่อสิ้นแสงสว่างของม้วนคาถา ร่างของชายหนุ่มได้อันตรธานหายไปจากทาลิม่าโดยสมบูรณ์
กำเนิดนักขุดแร่ในตำนานมั้ยนิ555555555
ReplyDelete