จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,640
ตนกำลังถูกจับตามองโดยบริวารของบาเอล
เมื่อตระหนักถึงข้อเท็จจริงใหม่ โรสยินดีปรีดามากกว่าหวาดกลัว
จอมอสูรเพียงหนึ่งเดียวในหมู่ผู้เล่น
จะมีใครเหมาะกับตำแหน่ง <ผู้ทำพันธสัญญากับบาเอล> ที่กำลังว่างอยู่ ไปมากกว่าเธอ?
ความคิดชั่วร้ายทยอยผุดขึ้นจากก้นบึ้ง
การเฝ้าจับตามองของบาเอล ทำให้เธอเริ่มสองจิตสองใจ
‘เราไม่จำเป็นต้อง… ภักดีกับอาโมแรคก็ได้นี่’
เพราะอาโมแรค โรสจึงได้เป็นจอมอสูร
อย่างไรก็ดี โรสยังไม่เคยได้รับสิทธิประโยชน์ของจอมอสูรแม้แต่ครั้งเดียว
ความแข็งแกร่งที่ได้มาโดยแลกกับความไม่สะดวกสบายหลายอย่าง ท้ายที่สุดก็ยังไม่เพียงพอที่จะต่อต้านการรุมประชาทัณฑ์จากมนุษย์
ความทรงจำของเธอมีเพียง การถูกขุนพลโอเวอร์เกียร์ขัดจังหวะในทุกช่วงเวลาสำคัญ
ไม่ใช่เพราะโรสไร้ฝีมือ
แทบทุกครั้งที่โรสออกศึก นั่นคือสงครามใหญ่ และทุกครั้งจะลงเอยด้วยความเสียเปรียบด้านกลยุทธ์ เพราะหัวหน้ากองทัพอสูรเป็นพวกสมองกลวง
ในบรรดาอสูร ไม่มีกี่ตัวที่ฉลาด
และส่วนใหญ่พวกที่ฉลาดจะไม่ทำสงคราม แต่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ตัวเองสนใจ
ไม่ว่าจะมองมุมใด โรสก็ไม่จำเป็นต้องภักดีกับอาโมแรค
คงเป็นการดีกว่าหากจะอยู่เคียงข้างบาเอลแทนอาโมแรค ผู้เอาแต่หมกมุ่นกับยูร่า
เหนือสิ่งอื่นใด บาเอลคือจอมอสูรลำดับหนึ่ง
ต้องเลือกข้างให้ฉลาด
‘รับข้อเสนอจากบาเอลดีกว่า!’
“โสโครก”
“อ…อะไร?”
โรสหันไปถามแอ็กนัสที่สบถคำหยาบ
เธอรู้สึกราวกับถูกแอ็กนัสอ่านใจ
แต่สายตาแอ็กนัสกำลังมองไปยังด้านหลังโรส ไม่ใช่ตัวเธอ
เงามืดที่กำลังดีดดิ้น
บริวารของบาเอล
“เงานั่นคือความโสมมของบาเอล ทันทีที่สิ่งมีชีวิตย่ำเท้าลงบนพื้นนรก ทุกคนจะถูกเงานั่นติดตาม… บาเอลไม่ได้จับตามองเธอเพราะเธอเป็นคนพิเศษ”
แอ็กนัสเพิ่งได้ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวหลังถูกปลดจากผู้ทำพันธสัญญากับบาเอล
เมื่อร่างกายอ่อนเพลียและอิดโรย ความโสมมที่ซ่อนอยู่ในเงาจะโผล่ออกมา
หลังจากฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับไปเทียบเท่าเมื่อครั้งยังเป็นผู้ทำพันธสัญญากับบาเอล
แอ็กนัสได้เข้าใจในหลายสิ่ง
เหตุใดบาเอลถึงทราบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในนรกประหนึ่งกำลังฉายบนฝ่ามือ
มันใช้วิธีใด ‘ดูดซับ’ และ ‘โอนถ่าย’ พลังของอสูรและสัตว์อสูรที่ตายไป?
“ตรงข้ามกับสิ่งที่ทุกคนเข้าใจ นรกอยู่ภายใต้การควบคุมของบาเอลโดยสมบูรณ์… ที่นั่นไม่ต่างอะไรกับสนามเด็กเล่นของบาเอล ไม่มีประโยชน์ที่จะตามหาคุณค่าหรือความหมาย”
ทุกสิ่งที่ถูกผูกมัดโดยนรก ล้วนเต้นรำอยู่บนฝ่ามือของบาเอล
แอ็กนัสเคยเห็นกับตาอยู่หลายครั้ง
ภาพของอสูรที่ถูกบาเอลช่วยไว้ แข็งแกร่งขึ้น และเทิดทูนบาเอล จนกระทั่งถูกบาเอลทรยศ เย้ยหยัน สาป และตายไป
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับบาเอลทั้งหมดจะต้องพบจุดแบบเดียวกัน
“อาโม… อาโมแรคไม่เหมือนกับบาเอลใช่ไหม?”
โรสถามด้วยสีหน้าตึงเครียด
ขณะเดียวกันก็นึกทบทวนอุปนิสัยของแอ็กนัส
แอ็กนัสอาจเป็นหมาบ้าในสายตาทุกคน แต่ก็ไม่เคยพล่ามไร้สาระ
หนึ่งในเหตุผลที่ถูกมองว่าเป็นหมาบ้าและถูกเกลียดชัง ก็เพราะแอ็กนัสมักพูดจาขวานผ่าซาก
มันไม่ต้องการสานสัมพันธ์กับใคร จึงไม่จำเป็นต้องโกหกหรือเสแสร้ง
นั่นคือแอ็กนัส
“คำสาปเดินได้… หล่อนน่าไว้ใจตรงไหน?”
แอ็กนัสมอบคำตอบทันทีโดยไม่มัวคิดมาก
จอมอสูรแห่งความขัดแย้ง
คำสาปเดินได้ที่ทำให้คนกลายเป็นบ้าแค่เพียงจ้องมอง
เปลี่ยนให้ทุกสิ่งมีชีวิต มองมิตรเป็นศัตรู
กระทั่งตำนานก็ต่อต้านไม่ได้
เมื่อไม่นานมานี้ แอ็กนัสได้ลิ้มรสด้วยตัวเอง
ขณะเผชิญหน้ากับอาโมแรคที่มาเยือนบาเอลถึงถิ่น
> แอ็กนัส… ไม่ได้พบกันเสียนาน ลิ้นของเจ้ายาวขึ้นมากทีเดียว
บริวารบาเอลที่โผล่ออกจากเงา เปิดปากพูด
ไม่สิ ไม่มีอวัยวะใดให้เรียกว่าปาก
ทุกครั้งที่ควันดำระเหย เสียงจะดังขึ้นในโสตประสาทโดยตรง
ภายนอกอาจดูไม่เท่าไร
แต่แอ็กนัสทราบดี อีกฝ่ายคือตัวตนที่ยิ่งใหญ่แม้จะมีรูปลักษณ์ซอมซ่อ
หูและตาของบาเอล
<เศษเสี้ยวอาชูร่า>
แม้จะถูกแบ่งออกเป็นพันล้านชิ้นส่วน แต่มันยังคงรักษาสติของตัวเองไว้ได้ และทำตามเจตจำนงของบาเอลอย่างเคร่งครัด
หากไม่นับสามอสูรต้นกำเนิด เจ้านี่อาจแข็งแกร่งที่สุดในนรก
ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด
เพราะแม้แต่ในหมู่เทพ เทพที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังเป็นเอกเทพซือโหยว
แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักซือโหยว
ย่อมเป็นธรรมดาที่ในนรกจะมีตัวตนที่แข็งแกร่งซ่อนอยู่โดยที่ผู้คนไม่ทราบ
> ตัวเจ้าที่ถูกขับไล่ มีสิทธิ์อะไรว่าร้ายนรก?
“การจะพูดเรื่องแบบนี้ จำเป็นต้องมีสิทธิ์อะไรด้วยหรือ? ไอ้งั่ง”
แอ็กนัสซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองเสมอ
มันเคยต้องการคืนชีพคนรักขึ้นมาใหม่ในเกม
แม้ในยามไล่ตามความฝันที่ดูไร้สาระ มันก็ยังจงเกลียดจงชักพวกอสูรเสมอ นับประสาอะไรกับในปัจจุบัน
“ด…เดี๋ยวนะ ปล่อยไว้แบบนี้จะดีหรือ”
โรสก้าวถอยหลังด้วยใบหน้าซีดเผือด
นั่นเพราะเงาดำค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปทรงที่ชัดเจน พร้อมกับสร้างอาการผิดปรกติจำนวนมาก
จริงอยู่ จอมอสูรสามารถต้านทานอาการผิดปรกติได้หลายชนิด แต่ก็มีข้อยกเว้น
เธออดไม่ได้ที่หวาดกลัวเศษเสี้ยวอาชูร่า ซึ่งค่อยๆ กลายเป็นร่างมนุษย์ที่มีแขนสามคู่
จิตสังหารอันเข้มข้นแผ่ไปยังแอ็กนัส โรส และชาวบ้าน
ประหนึ่งว่า อาชูร่าเตรียมกำจัดผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดทิ้ง
ไม่สิ อีกฝ่ายอาจแค่ต้องการฆ่าคนสนุกๆ โดยไม่มีเหตุผล
เพราะอสูรคือตัวตนแบบนั้น
“สบายมาก”
ไม่ใช่ร่างหลัก เป็นแค่หนึ่งในพันล้านเศษเสี้ยว
แอ็กนัสพ่นลมหายใจ พลางอัญเชิญอัศวินความตายและกองทัพโครงกระดูก
โรสแทบไม่เชื่อสายตา
นั่นเพราะแอ็กนัสออกคำสั่งให้โครงกระดูกบางส่วน ‘ปกป้องผู้คน’
‘อะไรกัน? ทำไมถึงเป็นแบบนี้?’
แอ็กนัสโด่งดังในด้าน ‘เกลียดชังคนอ่อนแอ’
มันเกลียดชังและเอาแต่ทำร้ายชาวบ้านที่อ่อนแอ ประหนึ่งว่าอีกฝ่ายไม่สมควรมีชีวิตอยู่ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ถูกเรียกว่าหมาบ้า
มีข่าวลือมากมายระบุว่าแอ็กนัสให้เกียรติสตรี และแน่นอน นั่นถูกมองเป็นแค่ข่าวลือ
แต่ในวินาทีนี้ แอ็กนัสกำลังปกป้องผู้คน
แถมยังไม่แบ่งแยกชายหญิง คนอ่อนแอทุกคนล้วนเท่าเทียม
ราวกับได้รับอิทธิพลจากตำนานวีรบุรุษของกริด แอ็กนัสทำตัวไม่ต่างจากคนธรรมดาที่มีเหตุและผล
เป็นเพราะสูญเสียพลัง?
ชายคนนี้จึงตัดสินใจที่จะลบล้างชื่อเสียงแย่ๆ ในอดีต เพื่อสร้างจุดยืนให้ตัวเอง?
ไม่มีทาง
แอ็กนัสใช้ชีวิตเยี่ยงคนชั่วมาไม่ต่ำกว่าสิบห้าปี
ต่อให้ทำความดีในตอนนี้ คำวิจารณ์จากผู้คนก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
‘นายน่าจะรู้ดีกว่าใคร… คงทำไปเพื่อความสบายใจของตัวเองสินะ’
แม้บาปในอดีตจะไม่ใช่สิ่งที่ลบเลือนได้ แต่ปัจจุบันก็อยากทำความดีชดเชยให้มากที่สุด
เห่ยชะมัด…
ถ้าเลือกเดินบนวิถีของผู้ร้ายแล้ว ก็ควรจะไปให้สุดทางสิ เหมือนกับฉันคนนี้
แม้จะส่ายหน้า แต่โรสยอมร่วมมือกับแอ็กนัสแต่โดยดี
หากมัวคิดเรื่องไร้สาระ เธอเองก็จะตกเป็นเป้าหมายของเศษเสี้ยวอาชูร่าเหมือนกัน
โรสขจัดความคิดฟุ้งซ่านและพยายามหาทางรอด เพื่อรวบรวมปากกากับกระดาษและจบภารกิจ
เคร้ง!
หลังจากปะทะกันสองสามหนโรสมองเห็นโอกาส
เศษเสี้ยวอาชูร่ามีค่าสถานะโดยรวมสูงกว่าเธอไม่มาก และแอ็กนัสก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง
‘บริวารแค่ตัวเดียวกลับแข็งแกร่งเท่าจอมอสูร… แค่คิดก็สยองแล้ว’
โรสหวนนึกถึงกบยักษ์ที่เคยเห็นในมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูร
เซพาเดีย
แม้จะเป็นเพียงหนึ่งในบริวารของบาเอล แต่พลังของมันทัดเทียมจอมอสูรหลักเดียว
ยูคาลของอาโมแรคก็เช่นกัน
ถ้าไม่ได้เห็นกับตาก็คงยากที่จะเชื่อ
แต่อันที่จริง เศษเสี้ยวอาชูร่าเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของอาชูร่า
เมื่อเปรียบเทียบกับร่างหลัก พลังของมันในตอนนี้ก็คงประมาณเล็บมือหรือผมสักเส้น
แต่กระนั้นกลับทัดเทียมจอมอสูร
หรือว่าร่างหลักของอาชูร่า จะแข็งแกร่งเทียบเท่าสามอสูรต้นกำเนิด?
โรสเริ่มอยากสืบหาตัวตนที่แท้จริงของอาชูร่า
แค่ช่วงเวลาสั้นๆ
เป็นความอยากรู้เพียงชั่วครู่
แต่เธอต้องจ่ายด้วยราคาแพง
เงาดำที่ก่อตัวเป็นร่างอาชูร่า ขยายขนาดขึ้นกะทันหันพร้อมกับทะลวงหน้าอกโรส
หลอดพลังชีวิตอันมหาศาลของเธอชนิดที่ผู้เล่นทั่วไปไม่มีทางเทียบติด หายไปมากถึง 20% ในคราวเดียว
เป็นพลังทำลายที่ไม่เคยพบเจอในขุนพลโอเวอร์เกียร์คนใด
ในเวลาเดียวกัน เสียงของแอ็กนัสดังเข้ามาในหูของเธอที่กำลังผวา
“อย่างนี้นี่เอง… เศษเสี้ยวอื่นๆ กำลังมารวมตัวสินะ ชิ!”
เศษเสี้ยวอาชูร่าจะซ่อนตัวอยู่ในเงาของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เหยียบลงบนพื้นนรก
กล่าวคือ บาเอลมิได้เฝ้ามองแค่อสูรหรือสัตว์อสูร
มนุษย์ยุคใหม่ที่กำลังเตร็ดเตร่อยู่ในนรกอย่างอิสระ ต่างก็เต้นรำอยู่บนฝ่ามือบาเอลเช่นกัน
เป็นธรรมดาที่จะมีเศษเสี้ยวอาชูร่าแฝงในเงาผู้เล่น ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่นี่
ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น
> คึคึคึก! คึคึก!
เศษเสี้ยวอาชูร่าที่ขยายใหญ่เพราะมีเงาจากทุกทิศมารวมตัว ระเบิดความบ้าคลั่งอย่างเต็มเปี่ยม
คล้ายกับว่า สติของมันจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่ออยู่แยกจากกัน
“…เธอช่วยพาชาวบ้านหนีไปได้ไหม”
“หา…?”
โรสยืนอึ้งด้วยสีหน้ามึนงง
แอ็กนัสอธิบายกับหญิงสาวผู้ย้อนถามด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“พวกเขาทำดีกับฉันในยามที่ฉันหลงทางและไม่มีที่ไป ฉันไม่อยากให้ใครตายเพราะฉัน”
“เพราะนาย…? ไม่ใช่เพราะฉันมากกว่าหรือ? หากฉันไม่บังเอิญมาที่นี่ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”
“แต่ฉันเป็นคนปลุกเงาของเธอ”
อันที่จริงโรส กล่าวได้ถูกต้องแล้ว
เป็นเพราะเธอ ตำแหน่งของแอ็กนัสจึงถูกเปิดเผย และนั่นจะทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ถูกอสูรรุกรานในสักวัน
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวเถียงกัน หากแต่ต้องร่วมมือ
ชีวิตของผู้คนนับร้อยกำลังตกอยู่ในอันตราย
เหล่าคนอ่อนแอที่ตกเป็นเหยื่อ แอ็กนัสไม่ได้มองเป็นภาพซ้อนทับกับตนในอดีตอีกต่อไป
อันที่จริง มันคิดเช่นนี้มานานแล้ว
แต่ผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลถูกกำหนดให้เป็นวายร้าย แอ็กนัสจึงต้องละเลยเสียงหัวใจเพื่อแลกกับการบรรลุเป้าหมาย
เป้าหมายที่จะคืนชีพให้คนรัก ยิ่งใหญ่กว่าการทำตามความรู้สึกแท้จริง
“ตกลง แต่มีเงื่อนไขว่า นายต้องหากระดาษและปากกาที่ดีที่สุดในโลกให้ฉัน… นายรวยไม่ใช่หรือ?”
โรสมองเห็นข้อมือของแอ็กนัสที่โผล่ออกมานอกชายเสื้อ
กระดูกสีขาวที่ไม่มีเนื้อหนัง
เผ่าพันธุ์ของแอ็กนัสไม่ใช่มนุษย์
ลิช? อัศวินความตาย?
นั่นไม่สำคัญ สำคัญที่แอ็กนัสเป็นอันเดด
กล่าวคือ อีกฝ่ายเป็นผู้เล่นเพียงไม่กี่คนที่เธอสามารถแลกเปลี่ยนด้วยได้ โรสจึงอยากสานสัมพันธ์เอาไว้
“ตกลง”
เมื่อแอ็กนัสรับข้อเสนอ โรสสยายปีกของเธอ
หญิงสาวขยายร่างด้วยอำนาจของจอมอสูร จากนั้นก็ยกชาวบ้านที่กำลังหวาดกลัวให้ลอยขึ้นด้วยเวทมนตร์
อันดับแรก เธอคิดจะหนีออกจากที่นี่โดยเร็ว
แต่แผนการดังกล่าวต้องกลายเป็นหมัน
เงาดำสองเส้นกำลังพุ่งมาจากจุดห่างไกล
เศษเสี้ยวอาชูร่าฉีกปีกของเธอจนขาด
จากนั้น พวกมันพุ่งลงไปรวมกับเงาดำอาชูร่าบนพื้นและขยายขนาด
จิตสังหารที่แม้แต่แอ็กนัสยังสั่นสะท้าน แผ่ปกคลุมทั่วหมู่บ้านเล็กๆ ในคราวเดียว
ผู้คนต่างพากันสับสน ส่วนโรสที่ถูกยกเลิกเวทมนตร์เริ่มร้อนใจ
“เปิดใช้งานอักขระแห่งความตาย”
แอ็กนัสดึงพลังทั้งหมดจากอักขระ
หลังจากยืนยันว่าพลังของเจ็ดมาร <ครอบงำ*> แสดงผลตามปรกติ มันปรี่เข้าหาเศษเสี้ยวอาชูร่าทันที
(*เปลี่ยนจากราชาแห่งความพ่ายแพ้ - ขออภัยที่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา คือคำนี้มันสั้นมาก มีแค่สองตัวอักษร ทำให้มีความหมายแฝงเยอะมาก คำนี้มาจาก 패 ที่แปลว่าพ่ายแพ้ และ 왕 ที่แปลว่าราชา แต่พอมารวมกัน สามารถมีความหมายเชิงนัยว่า ‘ครอบงำ’ หรือ ‘เจ้าโลก’ ได้เช่นกัน)
เคร้ง! เคร้ง!
แน่นอนว่าเศษเสี้ยวอาชูร่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ
เงาดำที่รวบรวมเศษชิ้นส่วนและขยายร่าง แข็งแกร่งทัดเทียมจอมอสูรลำดับยี่สิบ ซึ่งไม่ใช่ระดับที่แอ็กนัสในปัจจุบันจะรับมือไหว
อย่างไรก็ดี แอ็กนัสมี <เสียงเย้ยหยันของเบนทาโอ>
พลังลับที่สามารถใช้ ‘พลิกเกม’ ได้กับคู่ต่อสู้ทุกราย
> คึฮ่าฮ่าฮ่า!!
ยิ่งแอ็กนัสกัดกรามแน่น ความบ้าคลั่งของอาชูร่าก็ยิ่งเพิ่มพูน
มันไม่คิดจะป้องกันตัวเองด้วยซ้ำ
เศษเสี้ยวอาชูร่าหัวเราะราวกับมีความสุขล้นปรี่ ในยามได้ฟาดฟันศัตรูและถูกศัตรูฟาดฟัน
ด้วยเหตุนี้ แอ็กนัสสามารถดื่มด่ำไปกับ <ครอบงำ> ซึ่งเพิ่มโอกาสในการทวีคูณความเสียหาย
แต่เพียงไม่นานความหวังก็ค่อยๆ ริบหรี่
ร่างกายอันเดดของมันไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิด
อันเดดสามารถต้านทานดีบัฟและอาการผิดปรกติทางกายภาพได้หลายชนิดก็จริง แต่นั่นเพราะร่างกายถูกตั้งค่าให้ไร้อารมณ์และไม่เจ็บปวด
กระดูกที่ปราศจากกล้ามเนื้อและเนื้อหนัง จะสูญเสียค่าความคงทนทุกครั้งที่ถูกปะทะ
แอ็กนัสยิ่งอ่อนแอเมื่อเวลาผ่านไป
> ข้าจะถลกหนังหน้าของเจ้าให้เข้ากับร่างกายเอง คิคิคึก!
ขณะเศษเสี้ยวอาชูร่าที่กำลังได้เปรียบหัวเราะร่า
ซู่ว!
เสาลำแสงสามเส้นตกลงมาจากท้องฟ้า ทะลวงร่างกายท่อนบนของอาชูร่าในทันที
อาชูร่าเงยหน้าขึ้นพร้อมกับพึมพำด้วยความสงสัย
> มังกร…?
ฉึบ!
ศาสตรามังกรสองเล่มผ่าร่างอาชูร่าเป็นสองส่วน
[ทักษะ <บัญชาเทพ> แสดงผล ระยะหน่วงของทักษะถูกล้าง]
[หลังจากบาดเจ็บจากพลัง <ครอบงำ> เป้าหมายถูกโจมตีซ้ำด้วยอีกหนึ่งพลังของเจ็ดมาร]
[สายสัมพันธ์ลับ <เจตจำนงแห่งเจ็ดมาร> แสดงผล!]
[ทักษะที่ใช้หลังจาก <บัญชาเทพ> แสดงผล จะได้รับพรจาก <ครอบงำ> ส่งผลให้ความเสียหายเพิ่มขึ้นสองเท่า]
คล้ายกับอาชูร่าไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด
โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า มันขยับร่างกายที่แบ่งออกเป็นสองซีกพร้อมกัน
โดยหวังจะตอบโต้ผู้บุกรุกที่สวมศาสตรามังกรและเกราะมังกรสุดแกร่ง
หกแขนของอาชูร่าที่ถืออาวุธแตกต่างออกไป เริ่มเคลื่อนไหวโดยพร้อมเพรียง
แต่ทางกริดมีมากถึงสามสิบมือ
ฝ่ามือที่วาดเป็นวงกลม สลายการโจมตีของอาชูร่าอย่างง่ายดาย
ฝ่ายที่ประหลาดใจมากที่สุด ไม่ใช่ใครนอกจากกริด
‘เกิดอะไรขึ้น?’
ไท้เก็กไม่ใช่ทักษะ
ไม่เหมือนกับทักษะทั่วไปที่หัตถ์เทวะสามารถใช้งานได้เองด้วยปัญญาประดิษฐ์ ไท้เก็กเป็นแค่การเคลื่อนไหวร่างกายที่มีท่วงท่าพิสดาร
กริดจึงไม่คิดว่าหัตถ์เทวะจะสามารถใช้ไท้เก็ก ในยามที่ตนสั่งว่า ‘จงใช้ไท้เก็ก’
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม กริดถึงต้องคอยควบคุมทีละข้าง
แต่ในวินาทีนี้ ดูเหมือนว่าหัตถ์เทวะทั้งสามสิบจะสามารถใช้ไท้เก็กได้เอง
พวกมันทบทวนในสิ่งที่กริดคอยพร่ำสอน?
‘…เป็นไปได้’
คนทั่วไปมักนำประสบการณ์ในเกมไปปรับใช้กับชีวิตจริง และประสบการณ์ในชีวิตจริงมาปรับใช้กับเกม
ไม่มีทางที่ปัญญาประดิษฐ์ของหัตถ์เทวะจะทำแบบเดียวกันไม่ได้
ด้วยสายตาว่างเปล่า โรสและชาวบ้านต่างหันไปมองกริดที่กำลังยิ้มกรุ้มกริ่ม
ทันใดนั้นเอง
“ฆ่าฉันสิ”
แอ็กนัสที่เผาเศษซากของอาชูร่าจนเกลี้ยง ยื่นคอของตนไปทางกริด
Comments
Post a Comment