จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,638
“ข้าจะช่วยพวกเจ้าเอง จงเฝ้ารอการเสด็จเยือนของข้าให้ดี” (*ตอนที่แล้วแปลผิด)
เด็กๆ ทั้งหลาย ที่พวกเจ้าต้องทำมีแค่นั้น…
ขณะพึมพำพลางแหงนมองเพดาน
อาโมแรคกล่าวกับตัวเองด้วยท่าทีสุขุม
เนื่องจากถูกผ้าคลุมไว้ จึงเป็นการยากที่จะมองเห็นใบหน้าแท้จริง แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าเธอกำลังเผยสีหน้าชั่วร้าย
อย่างไรก็ดี โรสอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
ในช่วงหลายเดือนหลัง เธอว้าวุ่นใจมาตลอด
เพราะจำนวนมนุษย์ที่บุกรุกนรกมีมากขึ้นทุกวัน ผ่านเครื่องจักรประหลาดนามว่าลิฟต์นรก
เดิมที มันควรจะเป็นเรื่องน่ายินดี
มนุษย์เป็นได้แค่อาหารของโรส หนึ่งในจอมอสูรผู้เตร็ดเตร่ในนรก
แต่ปัญหาอยู่ที่ทีมบุกหลัก
ปาร์ตี้รวมหัวกะทิของขุนพลโอเวอร์เกียร์ เหล่าแรงเกอร์ และลอร์ดเผ่าพันธุ์ต่างๆ
พวกมันแข็งแกร่งขึ้นในทุกวัน โดยเฉพาะหลังจากจัดการกองทัพสัตว์อสูรที่บาเอลเสริมแกร่งให้
หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าเธอคงโดนเชือดเข้าสักวัน
แต่โรสก็ไม่กล้าออกไปจัดการ
สิ่งเดียวที่เธอทำได้ คือการสาปแช่งบาเอลผู้ไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ และสาปแช่งอาโมแรคที่เอาแต่คาดหวังในตัวยูร่า จนไม่ยอมลงมือทำอะไรเสียที
ไอ้สุนัข! นังแพศยา! ไอ้เด็กเปรต! ไอ้ลูกทรพี! และอีกมากมาย
ทักษะการสาปส่งของโรสเพิ่มพูนขึ้นในทุกวัน
จนกระทั่งวันนี้
อาโมแรคตัดสินใจเคลื่อนไหว
เธอเตรียมจะขึ้นไปหาเทพโอเวอร์เกียร์
เพื่อเสนอความร่วมมือกับกริดด้วยเหตุผลที่ว่า บาเอลกำลังทำตัวน่าสงสัย
แทนที่จะระแวงคณะสำรวจนรก ดูเหมือนอาโมแรคจะสนใจสิ่งที่บาเอลทำมากกว่า
ตัดสินใจได้เยี่ยม…
แตกต่างจากจอมอสูรตนอื่นที่ดูไม่น่าจะมีเซลล์สมอง โรสรู้สึกภูมิใจที่อาโมแรคเลือกวิธีเจรจา
สามอสูรต้นกำเนิดแตกต่างออกไปจริงๆ …
แม้พฤติกรรมการแหงนหน้ามองเพดานและพูดกับตัวเองจะดูแปลก แต่ก็เข้าใจได้
‘คงซักซ้อมก่อนพูดต่อหน้ามนุษย์ ไม่เหมือนกับจอมอสูรไร้แผนการตนอื่น อาโมแรคฉลาดมาก สมแล้วที่เป็นสามอสูรต้นกำเนิด’
อาโมแรคมีอำนาจมหาศาลชนิดที่จอมอสูรตนอื่นเทียบไม่ติด
อิสรภาพของเธอสูงมาก
โดยไม่ต้องใช้ห้วงนรก อาโมแรคสามารถเสด็จเยือนโลกกึ่งกลางได้ตามใจชอบ
แน่นอนว่ามิอาจหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง
พิจารณาจากท่าที อาโมแรคก็ไม่อยากสู้กับกริดและกิลด์โอเวอร์เกียร์สักเท่าไร
นอกจากนั้น หากคำนึงถึงเนื้อหาของสุนทรพจน์ที่กำลังซักซ้อม ดูเหมือนว่าเธอจะยอมรับผลข้างเคียงเพื่อแลกกับการปลุกระดมเหล่ามนุษย์
“นายท่านสมกับเป็นผู้ยิ่งใหญ่! ขณะส่งสารก็คอยจับตามองเหล่ามนุษย์น่าสมเพชไปพร้อมกัน”
“…?”
โรสค่อยๆ หันไปยังต้นเสียง
ยูคาล จอมอสูรผู้ภักดีต่ออาโมแรค กำลังหัวเราะคิกคักพลางจ้องมองลูกบอลคริสตัล
สิ่งที่น่าตกตะลึงก็คือ ลูกบอลคริสตัลดังกล่าวกำลังถ่ายทอดสดสถานการณ์บนโลกกึ่งกลาง
สุดยอด… อุปกรณ์ส่งภาพข้ามมิติ?
“มีของแบบนี้ด้วยหรือ”
“ถามโง่ๆ … สมกับเป็นพวกบ้านนอกที่มาจากมนุษย์ บอลคริสตัลลูกนี้สามารถฉายภาพการมองเห็นของเหล่าอสูรบริวารที่รับใช้ท่านอาโมแรค”
อันที่จริง อาโมแรคสามารถมองผ่านดวงตาของอสูรบริวารได้โดยไม่ต้องใช้ลูกบอลคริสตัล ไม่เพียงเท่านั้น อาโมแรคยังมีอสูรบริวารนับพันตนบนโลกกึ่งกลาง และสามารถมองไปได้ถึงสวรรค์หากที่นั่นมีอสูรบริวารอยู่
โรสมิได้แยแสถ้อยคำถากถางของยูคาลแม้แต่น้อย
ระบุให้ชัดเจนก็คือ เธอปล่อยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
สิ่งเดียวที่โรสสนใจก็คือ อาโมแรคซึ่งเธอเคยเข้าใจว่าพูดกับตัวเอง แท้จริงแล้วกำลังสนทนากับมนุษย์บนโลก
‘อำนาจระดับนี้… ยิ่งกว่าเทพอีกไม่ใช่หรือ’
อิทธิพลที่อยู่เหนือห้วงมิติ
อำนาจของสามอสูรต้นกำเนิดช่างน่าทึ่ง
ยิ่งใหญ่กว่าที่เธอเคยจินตนาการไว้หลายเท่า
โรสมั่นใจ สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นถัดไป ต้องอลังการชนิดที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อน
หลังจากได้ยินคำประกาศของอาโมแรค เหล่าสาวกยาธานและมนุษย์บางส่วนคงตื่นเต้นที่จะได้เห็นอาโมแรคเสด็จเยือน
และเมื่อปลุกระดมมนุษย์ได้ส่วนหนึ่ง กริดไม่มีทางนิ่งเฉยแน่ ต้องลงเอยด้วยการเปิดโต๊ะเจรจา
บางที อาจเกิดการรวมตัวระหว่างอาณาจักรโอเวอร์เกียร์และกองทัพนรก
เฉกเช่นที่อาโมแรคหวาดระแวงบาเอล กริดก็กลัวบาเอลเช่นกัน และเมื่อลงเรือลำเดียวกัน ย่อมเป็นธรรมดาที่จะคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้
ขณะโรสค่อยๆ เพิ่มความคาดหวัง
“อะไรกัน…?”
ท้ายที่สุด อาโมแรคที่กำลังอารมณ์ดี เผยสีหน้าตกตะลึงกะทันหัน
เป็นภาพที่คุ้นตาสำหรับโรส
เมื่อจอมอสูรแสดงสีหน้าเช่นนี้ โดยส่วนมากมักเป็นเรื่องที่เชื่องโยงกับกริด
และจอมอสูรที่เคยเกี่ยวข้องกับกริด ส่วนใหญ่ไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว
ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองตนที่หายตัวไปโดยไม่หลงเหลือแม้แต่ดวงวิญญาณ
‘อย่าบอกนะว่า…’
แม้แต่สามอสูรต้นกำเนิดก็ถูกกริดเล่นงาน?
ไม่มีทาง
ไม่ว่ากริดจะยิ่งใหญ่สักเพียงใด แต่อาโมแรคกำลังอยู่ในนรก
เหนือสิ่งอื่นใด นี่คือร่างหลัก
กริดไม่ควร และไม่มีทางทำร้ายอาโมแรคที่อยู่ต่างมิติได้แน่
แต่… ทำไมเราถึงรู้สึกกังวล?
เสียงกลืนน้ำลายของโรสดังกังวานไปทั่วปราสาท
ผ่านไปสักพัก
“เนตรมองทะลุทรงพลังยิ่งกว่าในข่าวลือเสียอีก… เทพโอเวอร์เกียร์ซ่อนสัตว์ประหลาดไว้ข้างกายมาตลอด”
อาโมแรคเปิดปากพูด
ลมหายใจที่ถูกพ่นออกมาในลักษณะคร่ำครวญ ทำเอาผ้าคลุมหน้าสั่นกระพือ
อา…
ขณะโรสถอนหายใจตามความเคยชิน อาโมแรคที่สะบัดหางกลับมากดผ้าคลุมหน้า เริ่มพูดต่อ
“มีเด็กๆ จำนวนไม่น้อยที่กลายเป็นตำนาน กลายเป็นเทพก็มาก แต่มีเด็กที่ก้าวไปถึงจุดสูงสุดและตัวตนสัมบูรณ์เพียงไม่ถึงหนึ่งหยิบมือ… หากมองย้อนกลับไป มีตัวตนสัมบูรณ์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่มาจากมนุษย์”
แต่กริดกลับเข้าใกล้ขอบเขตของตัวตนสัมบูรณ์เต็มที
แม้อาโมแรคจะไม่เคยมีประสบการณ์โดยตรงกับพลังเทพของกริด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งนี้คือแหล่งกำเนิดของโลกโอเวอร์เกียร์
โลกเทพที่เพิ่งถือกำเนิด ทำให้อาโมแรคไม่กล้าละเลย
หลังจากสำรวจอย่างละเอียด เธอไม่คิดจะประเมินกริดต่ำกว่าความเป็นจริง
มนุษย์ทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง…?
คงจะเข้าใจได้ หากผ่านไปแล้วนับร้อยปีหลังจากกลายเป็นเทพ แต่กริดเพิ่งเป็นเทพได้ไม่นาน
เหตุใดถึงเติบโตได้รวดเร็วนัก?
คำถามที่คล้ายกับไม่มีคำตอบ ถูกไขกระจ่างแล้วในวันนี้และวินาทีนี้
เนตรมองทะลุ
เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาสุดเอาเปรียบ ที่แม้แต่เทพยังไม่อยากเอ่ยถึง อาโมแรคตระหนักได้ทันที
ความลับในพัฒนาการก้าวกระโดดของกริดจวบจนปัจจุบัน คือการหยิบยืมพลังจากเนตรมองทะลุ
‘พลังของอัครสาวกคือพลังของเทพ… เจ้าเล่ห์นักนะ’
ฉลาดมาก
ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่รับมือได้ง่าย
“เราไม่ควรยั่วยุเขา”
อันที่จริง หากเธอต้องการพบเทพโอเวอร์เกียร์ ก็แค่ส่งร่างจำลองหรืออสูรบริวารไปหาก็พอ
แต่ถึงอย่างนั้น เธอกลับเลือกที่จะเสด็จเยือนด้วยร่างจริงและประกาศแจ้งล่วงหน้า เพื่อรักษาน้ำใจต่อกริด
หากบอกล่วงหน้า อีกฝ่ายจะได้ไม่แตกตื่น และมีโอกาสต้อนรับอย่างเป็นมิตร
นอกจากนั้น การเจรจาด้วยตัวเอง จะมีโอกาสสำเร็จมากกว่าส่งร่างจำลองหรืออสูรบริวารไปคุยแทน
แต่จากเท่าที่ดู อาโมแรคตระหนักว่าตนยังเตรียมตัวไม่ดีพอ
เห็นได้ชัดว่าเทพโอเวอร์เกียร์ผู้หยิบยืมพลังของเนตรมองทะลุ หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีมาก
คงเป็นการดีกว่า หากเธอจะขออนุญาตจากเทพโอเวอร์เกียร์โดยตรงก่อน จึงค่อยไปเยือนโลกกึ่งกลางด้วยร่างจริง
เป็นการแสดงความจริงใจ หลังจากที่เธอพยายามครอบงำมนุษย์อย่างไม่เหมาะสม
เดิมที อาโมแรคไม่มีเจตนาจะทำร้ายมนุษย์อยู่แล้ว
ไม่ใช่เพราะเธอจิตใจงดงาม แต่เพราะไม่มีความจำเป็น
อาโมแรคไม่เคยคิดจะสาปเมอร์เซเดสให้เสียสติ
นังสัตว์ประหลาดนั่นมองลงมาเอง และถูกสาปเพราะพลังของตัวเอง…
“อา… เตรียมกระดาษกับปากกาให้ข้า”
“ทำไมต้องกระดาษกับปากกา?”
“ข้าต้องเขียนจดหมายถึงเทพโอเวอร์เกียร์ เรื่องนี้คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว คงช่วยทำให้ข้าพบเขาได้สินะ?”
“หา…?”
“เจ้าหูไม่ดีเพราะมาจากเผ่าพันธุ์ห่วยๆ อย่างมนุษย์หรือ?”
ยูคาลตำหนิท่าโรสที่กำลังทึ่ง พลางกระแทกสีข้างเพื่อเร่งให้หญิงสาวรีบไปนำปากกาและกระดาษมา
แน่นอน โรสไม่ได้หูตึง
เหตุผลที่ถามกลับ ไม่ใช่เพราะไม่ได้ยินอาโมแรค แต่เป็นเพราะยากจะทำใจเชื่อลง
จอมอสูรลำดับสอง หนึ่งในสามอสูรต้นกำเนิด
เตรียมเขียนจดหมายถึงผู้เล่นเพื่อขออนุญาตเข้าพบ…?
โรสทราบดีว่ากริดยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง
‘ต่อให้ประเมินกริดไว้สูง แต่อสูรไม่มีศักดิ์ศรีเลยหรือ?’
เสียสติไปแล้วรึไง?
แม้จะบ่นพึมพำ แต่โรสก็ทำตามคำสั่งอย่างกระฉับกระเฉง
เธอลงทุนค้นทั่วปราสาทเพื่อหาปากกากับกระดาษ
แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ
สถานที่นามว่าปราสาทจอมอสูร ย่อมไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเครื่องเขียน
“กระดาษกับปากกา… ข้าหาไม่พบ… ไปหาจากเขตเป็นกลางได้ไหม?”
“ไม่สมฐานะ พวกเผ่าอสูรมักใช้กระดาษคุณภาพต่ำ”
“แล้วจะให้ทำอย่างไร? จริงสิ ข้าได้ยินว่าท่านมีอสูรรับใช้บนโลกเป็นจำนวนมาก ทำไมถึงไม่ให้ให้พวกเขาถ่ายทอดเจตจำนงแทน…”
“นั่นไม่สุภาพ คำนึงจากระดับของเทพโอเวอร์เกียร์ การทำเช่นนั้นถือเป็นข้อผิดพลาดร้ายแรง”
นี่เป็นสิ่งที่ควรจะออกจากปากจอมอสูรหรือ?
ขณะโรสกำลังขมวดคิ้วเพราะตามสถานการณ์ไม่ทัน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ โรส ข้าคงต้องวานเจ้าขึ้นไปยังโลกกึ่งกลางแทน… หากเป็นเจ้า เทพโอเวอร์เกียร์คงไม่ถือสา”
“อะไรกัน… จะให้ข้าไปพบเทพโอเวอร์เกียร์และประกาศเจตจำนงของท่านอาโมแรค?”
โรสไม่อยากทำ
ในฐานะข้ารับใช้ยาธาน โรสมีศัตรูบนโลกนับไม่ถ้วน
หลังจากกลายเป็นจอมอสูร ผู้เล่นเกือบทุกคนเกลียดขี้หน้าเธอ
ถูกปฏิบัติประหนึ่งคนขายชาติ
ไม่ใช่แค่นั้น ในอดีตเธอยังเคยถูกกิลด์โอเวอร์เกียร์ประกาศค่าหัว
กล่าวคือ บทบาทของผู้ส่งสารไม่เหมาะกับโรส
บางที ในวินาทีที่ไปเหยียบกรุงไรน์ฮาร์ท
ไม่สิ เราอาจจะตายก่อนไปถึง…
“ไม่ต้องลงทุนถึงขั้นนั้น อย่างเจ้าทนพลังเทพของโลกโอเวอร์เกียร์ไม่ได้หรอก”
ขณะโรสกำลังมึนงง หน้าต่างภารกิจปรากฏขึ้นตรงมุมสายตา
<ปากกาและกระดาษ>
★ภารกิจลับ★
จอมอสูรลำดับสอง อาโมแรค มอบหมายภารกิจเดี่ยวให้ท่านเป็นครั้งแรก
จงนำกระดาษและปากกามาจากโลกกึ่งกลาง ยิ่งคุณภาพสูงเพียงใด รางวัลตอบแทนก็ยิ่งมาก
รางวัลภารกิจ: ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์
[ขอแสดงความยินดี! ท่านได้รับภารกิจเดี่ยวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลายเป็นจอมอสูร]
[ตัวตนของท่านจะถูกพูดถึงมากขึ้นอย่างกว้างขวาง]
“…XX”
โรสสบถคำหยาบเก่งขึ้นในทุกวัน
***
“จบแล้ว? จริงหรือ?”
“ใช่…”
เมอร์เซเดสที่ถอนสายตากลับจากนรก พยักหน้ารับ
ประกายแสงที่กระจายอยู่เต็มดวงตา ทั้งแวววาวและระยิบระยับประหนึ่งเศษแก้ว
ประกายแสงเหล่านี้ ฟุ้งกระจายไปบนเส้นผมสีฟ้าโดยรอบ ก่อนจะเลือนหายไป
สิ่งเดียวที่ยังหลงเหลือ คือกลีบดอกไม้ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ
กริดที่ดึงกลีบดอกไม้ออกจากริมฝีปากหญิงสาว ถอนหายใจผ่อนคลาย
“โล่งอกไปที”
ถึงจะยังไม่วางใจ แต่ก็สบายใจมากขึ้น
จนถึงตอนนี้ กริดเคยพบตัวตนสัมบูรณ์มาไม่น้อย
ฮายาเตะ แมรีโรส ไลฟาเอล กาบริเอล เซราทุล โดมิเนี่ยน ซือโหยว และเหล่ามังกร
ไม่มีตัวตนใดทำให้กริดสั่นสะท้านมากไปกว่าใคร
กล่าวคือ ทุกคนยอดเยี่ยมทัดเทียมกัน แต่การเปล่งเสียงของอาโมแรคเมื่อสักครู่ ถือเป็นอำนาจที่ต่างออกไป
ชั่วร้ายสุดขั้ว
ความสิ้นหวังพลันก่อตัวภายในใจ
มาแค่เสียงยังขนาดนี้
ท่ามกลางโลกที่กำลังอบอุ่น ค่ำคืนฤดูหนาวเข้าครอบงำกะทันหัน
สัญชาตญาณชายหนุ่มร้องเตือนว่า ไม่ควรปล่อยให้อาโมแรคเสด็จเยือนโลกกึ่งกลางโดยเด็ดขาด
แต่หลังจากสบตากับเมอร์เซเดสสองหน อีกฝ่ายกลับล้มเลิกความตั้งใจ
‘ขี้โกงฉิบ… เนตรมองทะลุ’
คำสอนของบีบันที่กล่าวว่า อย่าพึ่งพาเนตรมองทะลุมากเกินไป แล่นกลับเข้ามาในหัวชายหนุ่ม
พลังเทพของรูบี้ และเนตรมองทะลุของเมอร์เซเดส
สิ่งใดคือต้นกำเนิดของพลังเหล่านี้? พลังที่เทพสวรรค์ต่างรังเกียจ และอสูรแห่งนรกต่างหวาดกลัว
ขณะกำลังครุ่นคิด กริดพบความผิดปรกติ
ร่างกายเมอร์เซเดสกำลังสั่น
เมื่อก้มหน้าลงไป ชายหนุ่มพบว่าต้นคอและติ่งหูของหญิงสาวกำลังแดงก่ำ
คล้ายกับกำลังอ่อนเพลียสุดขีด
เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า อาโมแรคเองก็ไม่ธรรมดา
“เธอไม่สบายใช่ไหม ฉันจะเรียกหมอให้…”
“หะ…ห…หามิได้ค่ะ! แค่พักผ่อนครู่เดียวก็หาย! ดิฉันสบายดี!”
“…คงไม่เป็นไรแล้วมั้ง”
เมอร์เซเดสลนลานและรีบวิ่งออกไปด้วยความเร็วสูง
เทียบกับในยามปรกติ เธอดูแข็งแรงจนไม่น่าเป็นกังวล
Comments
Post a Comment