จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,639
“ฟู่ว… ฮ่าห์”
“…?”
ในช่วงเช้าตรู่
เมื่อออกมายังทางเดิน ชินยองวูเผยสีหน้าประหลาดใจ
จิสึกะกำลังจดจ่ออยู่กับบางสิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เธอหายใจยาว แกว่งแขนเชื่องช้า ดูเหมือนการรำไท้เก็กที่ชินยองวูเคยเห็นในหนังเมื่อครั้งยังเด็ก
ด้วยหน้าตาที่สะสวยและสัดส่วนเป็นเลิศ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ดูดีไปเสียหมด
จิสึกะอธิบายกับยองวูผู้กำลังฉงน
“ได้ยินว่าการทำแบบนี้ช่วยเพิ่มสมาธิ”
การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเชื่องช้าง กระทำได้ยากจนเหนือความคาดหมาย
ตรงข้ามกับการขยับตัวกระฉับกระเฉง พฤติกรรมเช่นนี้ต้องใช้สมาธิและความอดทนสูง
นึกทบทวนข้อมูลที่เคยได้ยิน ยองวูพยักหน้ารับ
‘คงเพราะทักษะใหม่ของเธอมีระดับความยากสูงมาก’
ชายหนุ่มมีโอกาสได้ดูวิดีโอที่น้องสาวของตน เซฮี ถ่ายมาให้บ่อยครั้ง
ณปัจจุบัน ลูกศรของจิสึกะไม่ได้เล็งตรงไปยังเป้าหมาย
หลังจากยิงกระทบใส่กำแพง มันจะกระดอนและเปลี่ยนทิศทางในมุมประหลาดจนกระทั่งเข้าเป้า
ภาพที่เหล่าอสูรล้มลงขณะหันไปมองลูกศรที่ปักใส่ท้ายทอยด้วยสีหน้าตกตะลึง เปรียบดังงานศิลป์ชั้นเลิศก็มิปาน
ไม่เพียงเท่านั้น คุณสมบัติพรางตัวที่แฝงมากับลูกศรของจิสึกะ ทำให้มันเป็นอาวุธที่ยากจะคาดเดายิ่งกว่าเดิม
อย่างไรก็ดี ชินยองวูได้ยินว่ามันใช้งานได้ยาก เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคำนวณวิถีจากมุมผู้ยิง
“หืม… ฉันควรทำด้วยไหม?”
ก่อนจะเริ่มจ็อกกิง
ยองวูไม่เคยพลาดการยืดเส้นยืดสาย
ปรกติแล้วจะยืดเส้นกับจิสึกะ แต่ตอนนี้จิสึกะรำไท้เก็กแทน ยองวูจึงอยากทำในสิ่งเดียวกัน
จิสึกะหัวเราะในลำคอ
“นึกแล้วว่านายต้องพูดแบบนี้ ก็เลยเตรียมไว้ให้”
ภาพฉายโฮโลแกรมสว่างขึ้นจากนาฬิกาข้อมือจิสึกะ
คลิปวิดีโอสอนรำไท้เก็ก
เฮ่าเป็นคนถ่ายและส่งมาให้ด้วยตัวเอง
เฮ่าผู้เป็นทายาทตระกูลนักรบอันโด่งดังของจีน ฝึกฝนไท้เก็กจนถึงแก่น
เพื่อช่วยให้เข้าใจง่าย รายละเอียดถูกอธิบายไว้ในทุกการเคลื่อนไหว
หากแปลงมูลค่าของวิดีโอนี้เป็นเงิน มันอาจมีราคาหลักพันล้านเลยทีเดียว
เป็นตำราเรียนที่สมบูรณ์แบบมาก
อย่างไรก็ดี ยองวูเผยสีหน้าไม่สบายใจ
“เธอสนิทกับเฮ่าหรือ?”
“หือ? ใช่แล้ว พวกเราเป็นเพื่อนกัน”
ในสนามรบที่ปราศจากชินยองวู เหล่าขุนพลโอเวอร์เกียร์กับเฮ่าฝ่าฟันความเป็นความตายร่วมกันหลายครั้ง คงจะประหลาดกว่าหากทั้งสองฝ่ายยังไม่สนิทสนม
แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้ยองวูสะเทือนใจ
“เพื่อนเนี่ยนะ… แถมยังเป็นเพื่อนสนิท…? ผู้ชายกับผู้หญิงเป็นเพื่อนสนิทกันได้ด้วยหรือ?”
หลังจากพ่นคำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา ยองวูถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แม้จะพยายามไม่แสดงออก แต่ดวงตาเผยความไม่พอใจชัดเจน
หากจิสึกะเป็นผู้หญิงทั่วไป เธอคงโมโหทันที
ทำนองว่า ‘นายมีคนรักสองคนในโลกความจริง และอีกสามเมียในเกม แต่กลับมาสงสัยเพื่อนสนิทของฉัน?’
อย่างไรก็ดี จิสึกะมิได้ถือสา
ตรงกันข้าม เธอหน้าแดงด้วยความเขินอาย ปลายนิ้วกระดิกเล็กน้อย
“ก็แค่เพื่อนเอง… แต่ก็เป็นผู้ชายนี่นะ… ฉันควรเลิกติดต่อกับเขาใช่ไหม?”
“ใช่”
“จ้าจ้า ก็ได้”
ค่อนข้างผิดคาด จิสึกะชื่นชอบการถูกกริดผูกมัด
***
“หา? กริดเป็นจอมยุทธ์หรือไง?”
“ใช่! ทำนองนั้นเลย!”
ในนรก
ดวงตาทั้งสองข้างของจิสึกะส่องประกายระยิบระยับขณะบอกเล่าเหตุการณ์ในตอนเช้า
เนื้อหาน่าสนใจมาก
เธอกล่าวว่า กริดชำนาญไท้เก็กอย่างสมบูรณ์แบบหลังจากดูคลิปวิดีโอเพียงสองครั้ง
แถมนั่นยังเป็นในชีวิตจริง
เมื่อวิดีโอของเฮ่าระบุว่า อัตราความถูกต้องของท่ารำคือ 100% เต็ม จิสึกะตกตะลึงจนดวงตาแทบถลนจากเบ้า
หากนี่เป็นเรื่องจริง ไม่ว่าใครก็คงประหลาดใจ
แน่นอน ข้อเท็จจริงที่ว่า ประสบการณ์ในซาทิสฟายจะสะท้อนไปยังความจริงด้วย ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มานานแล้ว
แต่ไม่เคยมีใครกลายเป็นอัจฉริยะเต็มตัวได้เหมือนกริด
“เวอร์ไปมั้ง… ถามจริง?”
“ไม่ได้เวอร์ ฉันแค่เล่าในสิ่งที่เห็น”
“ถ้าอย่างนั้นอาจเป็นไปได้ว่า กริดเคยฝึกไท้เก็กมาก่อน หรือไม่ก็ทำเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว”
“หืม… อย่างนั้นหรือ”
ฟังดูสมเหตุสมผล
ในเมื่องานของกริดต้องใช้สมาธิสูง ไม่ใช่เรื่องแปลกหากชายหนุ่มจะเคยฝึกไท้เก็ก
‘แต่ในครั้งแรกของเขา อัตราความถูกต้องอยู่แค่ 53% เท่านั้น’
เล่นละครตบตาเรา?
‘เจ้าเล่ห์นักนะ… น่ารักจังเลย’
ในเวลาเดียวกัน เหล่าพวกพ้องต่างถอนสายตาออกจากจิสึกะที่กำลังฉีกยิ้มกว้าง
เส้นขอบฟ้ากลายเป็นสีดำสนิท
กองทัพสัตว์ประหลาดระลอกใหม่เตรียมบุกเข้ามาแล้ว
***
‘เฮ่าสุดยอดมาก’
ระหว่างการดูวิดีโอไท้เก็ก ชายหนุ่มสัมผัสได้
คำอธิบายสั้นกระชับที่มาพร้อมกับท่วงท่าอันเชื่องช้าเพื่อให้คนดูทำตาม ฟังดูทั้งอบอุ่นและใจดี ราวกับชายคนนี้กำลังสอนหมาหรือลิงสักตัว
แม้แต่กริดที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ ก็ยังเข้าใจได้ง่ายดาย
หลังจากบรรลุการเคลื่อนไหวพื้นฐาน กริดกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญภายในหนึ่งชั่วโมง
ฉึบ
ชายหนุ่มตวัดมือซ้าย
เพื่อสลายการโจมตีทีเผลอของสัตว์ประหลาด
จากนั้น กริดคว้าการโจมตีอันว่องไวและเหวี่ยงผ่านไปด้านหลัง
เทคนิคในโลกความจริงถูกทำมาใช้กับซาทิสฟาย
นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่
ยกตัวอย่างเช่น นักมวยอาชีพมักชกกันในซาทิสฟายเป็นประจำ
เฮ่าเองก็นำวิชานักรบของจริงมาใช้
แต่แน่นอนว่าไม่มีคุณสมบัติพิเศษ เพราะนั่นไม่ถูกมองว่าเป็น ‘ทักษะ’ เป็นแค่การโจมตีธรรมดาที่วิถีซับซ้อนกว่าปรกติ
อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่ากริดมีค่าสถานะโดยรวมสูงลิบ
อาศัยพลังทำลายและความเร็วในระดับขีดจำกัด เทคนิคจากโลกความจริงสามารถแสดงผลได้ไม่ต่างจากทักษะในเกม
‘มีประโยชน์มากในการกำราบศัตรูที่อ่อนแอ’
ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ
แน่นอน นี่ไม่ใช่พัฒนาการที่ยิ่งใหญ่อะไร
เพราะศัตรูที่กริดต้องเผชิญล้วนมีระดับสูง
เทคนิคเหล่านี้ใช้ไม่ได้ผลกับตัวตนเหล่านั้น
แทบไม่มีค่าในการนำไปปฏิบัติจริง
แต่กริดก็คาดหวัง
อารมณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากชำนาญไท้เก็กในช่วงเช้า ยังคงเติมเต็มหัวใจมาจนถึงปัจจุบัน
‘ต้องลองนำมาประยุกต์ใช้กับหัตถ์เทวะ’
หัตถ์เทวะมีข้อเสียที่เด่นชัดมาก
เชื่องช้า
อย่าว่าแต่ตัวตนสัมบูรณ์ กับแค่เหนือมนุษย์ก็ยังแทบไม่มีบทบาท ไม่มีทางโจมตีเป้าหมายโดยได้ด้วยอาวุธขอบขาว
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหัตถ์เทวะไร้ค่า
ณปัจจุบัน หัตถ์เทวะคือโครงสร้างที่สำคัญของประสาทสัมผัสเทียม
เป็นเพราะด้ายเงินของหัตถ์เทวะคอยแจ้งเตือนอันตราย กริดจึงต่อกรกับตัวตนสัมบูรณ์ได้อย่างสูสี
เท่านี้ก็น่าพึงพอใจมากแล้ว
แต่ในตอนนี้ ชายหนุ่มเพิ่มความคาดหวัง
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเขตแดนทองคำศักดิ์สิทธิ์ มีความจำเป็นที่กริดต้องผลิตหัตถ์เทวะอีกเป็นจำนวนมาก
ชายหนุ่มเคยกังวลเกี่ยวกับวิธีใช้งานหัตถ์เทวะ ซึ่งมีจำนวนจำกัดและต้องคอยทำหน้าที่เป็นประสาทสัมผัสเทียม
แต่ไม่ใช่อีกต่อไปหลังจากได้เรียกไท้เก็กในวันนี้
‘ความอ่อนช้อยในความเชื่องช้า หากนำทฤษฎีของไท้เก็กมาใช้กับหัตถ์เทวะ ผลลัพธ์จะต้องออกมาดีแน่’
อันที่จริง ศาสตร์ไท้เก็กคือการขัดเกลา ‘จิตใจ’ ‘พลังคี’ และ ‘วิญญาณ’
ในสังคมสมัยใหม่ ไท้เก็กถูกมองเป็นเพียงการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
แต่ซาทิสฟายต่างจากโลกความจริง
หากเป็นที่นี่ ดังที่กริดเพิ่งแสดงให้เห็น หากมีค่าสถานะสูงพอ ไท้เก็กสามารถใช้แทนศิลปะการต่อสู้ได้
กล่าวคือ ในซาทิสฟายสามารถนำทฤษฎีที่เป็นแก่นของไท้เก็กอย่าง ‘นิ่งสยบความเคลื่อนไหว’ มาใช้ได้จริง
‘เอาล่ะ’
กริดที่มาถึงจุดเก็บเลเวลหลังจากห่างหายไปนาน หลับตาลงและเพ่งสมาธิ
อันดับแรก ชายหนุ่มควบคุมหัตถ์เทวะหนึ่งข้าง
มันเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าโดยไม่เร่งจังหวะ ไหลไปราวกับสายน้ำและคอยชักนำกระแส
เหงื่อเย็นผุดขึ้นจากหน้าผากชายหนุ่ม
หัตถ์เทวะคืออาวุธที่เคลื่อนไหวได้ด้วยความคิด
มันจะถูกควบคุมด้วยสติโดยไม่ต้องใช้มือสัมผัส
กริดใช้งานมันมานานกว่าสิบปีแล้ว ย่อมเคยชินกับการควบคุม แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าจะทำได้ง่าย
ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเคลื่อนไหวเชื่องช้า ก็ความยากก็ยิ่งสูง
จะง่ายได้อย่างไรหากต้องคอยออกคำสั่งการเคลื่อนไหวแบบเดียวกับไท้เก็ก ไปพร้อมกับการควบคุมความเร็ว
ไม่ใช่สั่งว่า ‘เอ็งทำแบบนี้นะ’ แล้วก็จบ
“แรนดี้หิวแล้ว”
ค่าเรี่ยวแรงของแรนดี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างกริด เกือบจะเกลี้ยงหลอด
“แฮ่ก… แฮ่ก…”
แค่บังคับหัตถ์เทวะหนึ่งข้างก็ยากแล้ว
ทันใดนั้นเอง มอนสเตอร์ตัวใหญ่ส่งเสียงคำรามพร้อมกับปรี่เข้าใส่
บอสแม็ป
กริดที่ปลอบประโลมแรนดี้ เริ่มควบคุมหัตถ์เทวะอีกครั้ง
ด้วยความนุ่มนวล หัตถ์เทวะคว้าข้อเท้าของบอสที่แข็งแกร่งและรวดเร็วกว่า จากนั้นก็หักและบิด เพื่อยับยั้งการพุ่งชาร์จของบอส
“ฆ่ามัน”
กริดยิ้มด้วยสีหน้าพึงพอใจ
แต่ยังเร็วเกินไปที่จะมีความสุข
ปัจจุบัน ชายหนุ่มยังควบคุมหัตถ์เทวะได้เพียงหนึ่งข้าง
กริดยังนึกไม่ออกว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน กว่าตนจะควบคุมหัตถ์เทวะนับร้อยพร้อมกันได้
‘…เราไม่ใช่พวกมีพลังพิเศษสักหน่อย แค่หลักสิบก็น่าจะยากแล้ว’
แต่แค่สิบข้างก็คงเพียงพอ
สำหรับคนอื่น หากทำได้สิบข้างก็คงไม่ต่างอะไรกับผู้มีพลังพิเศษ
เรื่องนั้นช่างมันก่อน กริดที่ลดเป้าหมายของตัวเองลงเล็กน้อย คราวนี้พยายามบังคับหัตถ์เทวะสองข้างพร้อมกัน
หลังจากล้มเหลวหลายครั้งติดต่อ บอสอาศัยช่องว่างเพื่อเข้าประชิดตัว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา
ก๊อง!
ปัจจุบัน กริดกำลังสวมเกราะมังกรสี่ชิ้น
ผนวกกับโบนัสเซต โอกาสแสดงผล ‘การป้องกันสัมบูรณ์’ จึงสูงกว่า 80%
กล่าวคือ การโจมตีเกือบทั้งหมดจะถูกมองข้าม
ฝ่ายที่ต้องเหนื่อยฟรีคือผู้โจมตี
ไม่กี่วันถัดมา
กริดสามารถควบคุมหัตถ์เทวะได้สี่ข้าง
ภาพของหัตถ์เทวะที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเป็นวงกลม คอยขจัดภัยคุกคามที่พุ่งเข้าใส่ สร้างความพึงพอใจให้ชายหนุ่มเป็นอย่างมาก
“สุดยอด”
“ระดับความยากแตกต่างจากห้าครั้งแรก… หือ?”
ใบหน้าของกริด ผู้กำลังลูบหัวโนเอะที่กล่าวชมเชย ดำมืดกะทันหัน
[จอมอสูรลำดับ 32 โรส ปรากฏตัวบนโลกกึ่งกลาง]
โรส
ชื่อที่กริดคุ้นหู
ข้ารับใช้ยาธานผู้เคยก่อกรรมทำชั่วไว้มากมาย ครั้งหนึ่งกริดเคยเกลียดหล่อน
แต่ปัจจุบัน ไม่ใช่แค่เกลียด แต่กริดไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว
ตรงกันข้าม ชายหนุ่มค่อนข้างเห็นใจ
นั่นก็เพราะผลข้างเคียงจากการเป็นจอมอสูรมีทั้ง: ไม่สามารถแลกเปลี่ยนไอเท็มกับผู้เล่น, ไม่สามารถใช้ร้านค้า, ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับ NPC, ไม่สามารถรับหรือส่งข้อความเสียง
เราคงบอกไม่ได้ว่าคุ้มไหม เพราะผลตอบแทนของเธอคือความแข็งแกร่งในระดับที่น่าทึ่ง แต่สำหรับโลกยุคใหม่ จอมอสูรลำดับสามสิบนั้นค่อนข้าง… ถูกมองว่าเป็นขยะ เป็นได้แค่อาหารของพวกไฮแรงเกอร์…
ทุกครั้งที่ปะทะกับขุนพลโอเวอร์เกียร์ โรสมักจะพ่ายแพ้ซ้ำซาก การที่ยังไม่เลิกเล่นเกมถือว่าน่าอัศจรรย์มาก
‘ทำไมถึงกล้าขึ้นมายังโลกกึ่งกลาง? กินดีหมีมาหรือไง?’
พิจารณาจากข้อความโลก ผู้เล่นทุกคนคงได้ทราบเรื่องนี้
กริดกังวลนิดๆ ว่าเธออาจก่อปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะท่ามกลางฝูงชน
ขณะชายหนุ่มเตรียมนำม้วนคาถาพากลับออกมาถือ
[จอมอสูรลำดับ 32 ประกาศกร้าว]
[“ฉันจะรีบกลับทันทีที่เสร็จงาน… ขอโทษที่มารบกวน”]
“…”
***
หลังจากกลายเป็นจอมอสูร ในที่สุดโรสก็ได้รับภารกิจเดี่ยว
เธออาจไม่พอใจกับเนื้อหาภารกิจ แต่แน่นอนว่าต้องทำอย่างสุดฝีมือ
เป้าหมายภารกิจมีเพียงการหากระดาษและปากกา
เนื้อหาเล็กน้อยมาก จนไม่ถูกจำแนกให้เป็นภารกิจลับ
แต่ถึงอย่างนั้น โรสก็คาดหวังรางวัลตอบแทนที่มีคุ้มค่า
ภารกิจที่อาโมแรคมอบให้
บางที มันอาจเป็นโอกาสรวบรวมชิ้นส่วนลับของปริศนาเกี่ยวกับสามอสูรต้นกำเนิด
ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้สำเร็จ
หลังจากเลเวลอัปอย่างบ้าคลั่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในที่สุดโรสก็ตัดสินใจขึ้นมายังโลกกึ่งกลาง
และนั่นทำให้เธอได้ทราบว่า
ข้อความส่งถูกส่งไปยังผู้เล่นทุกคน
[จงป่าวประกาศข้อความไปถึงสิ่งมีชีวิตอันต่ำต้อยบนโลก]
แถมยังจะให้ประกาศข้อความ?
‘บ้าบอสิ้นดี’
โรสไม่มีทางเลือก
เธอไม่อยากทำภารกิจล้มเหลว
ภารกิจง่ายๆ ที่มีแค่การตามหาปากกาและกระดาษ
หญิงสาวกล่าวอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะนึกออก
ฉันจะรีบกลับไปทันทีโดยไม่ก่อปัญหา
ฉันขอโทษที่มารบกวน
“คำพูดพวกนั้น เธอหมายถึงอะไร?”
…เปล่าประโยชน์สินะ
ความซวยมาเยือนในดินแดนอันห่างไกล
ดวงตาของผู้เล่นที่ปรากฏตัวจากพุ่มไม้ กำลังส่องประกายระยิบระยับ
ณ จุดเก็บเลเวลที่แรงเกอร์นิยมมาใช้บริการ
เมื่อสัมผัสถึงสายตาไม่เป็นมิตร โรสสะดุ้งเล็กน้อยพลางผงะ
‘กระดาษ! เราต้องการแค่กระดาษกับปากกา! ไม่ควรเสียเวลาอยู่ที่นี่! ต้องรีบไปปล้นเมืองเล็กๆ สักแห่ง!’
ชั่วร้ายมาก
ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด โรสวางแผ่นชั่วอย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่มีความปรานีจากสองมือที่จู่โจมใส่แรงเกอร์ หญิงสาวพ่นลูกไฟเพื่อสลัดให้หลุดจากการตามล่า
โรสพยายามหนีออกจากตำแหน่งเดิมให้ไกลที่สุด
ผ่านเมืองต่างๆ อย่างเงียบเชียบ พยายามมองหาหมู่บ้านที่ประชากรบางตา
ณ หมู่บ้านสุดท้ายที่มาถึง
“…หือ?”
เธอเห็นผู้ชายผมเขียว
แอ็กนัส
เศษซากที่ถูกบาเอลทิ้งหลังจากเล่นจนเบื่อ
แน่นอน เธอเคยคิดว่าแอ็กนัสเลิกเล่นไปแล้ว จึงตกตะลึงเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังซักผ้ากับผู้หญิงในดินแดนอันห่างไกล
“มองอะไร? อยากตายหรือ?”
มือซ้ายถือไม้กระบอง มือขวาที่เปียกน้ำถูกนำมาเสยผม
มันคือกระบองซักผ้า
ย่อมมิอาจทำอันตรายกับจอมอสูร
อย่างไรก็ดี โรสหวาดหวั่น
เธอจินตนาการว่าไม้กระบองดังกล่าว ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของเธอเอง
เป็นธรรมดาที่จะคิดเช่นนั้น
ก่อนจะเป็นผู้ทำพันธสัญญากับบาเอล แอ็กนัสคือหมอผีที่เก่งกาจที่สุด
และเป็นเพียงไม่กี่คนที่ครอบครองพลังอักขระของเจ็ดมาร
ต่อให้วางมือไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ศัตรูที่จัดการได้ง่ายนัก
‘แต่ก็ใช่ว่าฉันจะแพ้’
โรสที่ใจเย็นลง กล่าวพลางฝืนยิ้ม
“ย…ยินดีที่ได้พบ บังเอิญจังเลยนะ ฮะฮะ! ฉันมีหลายสิ่งที่อยากเล่าให้นายฟัง แต่ตอนนี้ค่อนข้างยุ่ง จะรีบเคลียร์งานด่วนให้เสร็จแล้วกลับมาคุยด้วยนะ”
“สวะ”
“…หา?”
โรสไม่เชื่อหูตัวเอง
เธออาจถูกผู้คนด่าทอมามาก แต่ก็แทบไม่เคยได้ยินใครดูแคลนต่อหน้า จึงเป็นธรรมดาที่จะสับสนและพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ดวงตาสีเขียวที่แผ่ความเย็นชาของแอ็กนัสเริ่มเปล่งปลั่ง
“หุบปาก”
นรก บาเอล อสูร และความเคียดแค้น
ความทรงจำอันน่ารังเกียจได้กระตุ้นให้โทสะแอ็กนัสปะทุ
หอกกระดูกที่มันซัดเต็มแรง พุ่งทะลุช่องท้องโรสเข้าอย่างจัง
นั่นเป็นแค่ภาพลวงตา
หอกกระดูกของจริงพุ่งผ่านสีข้างโรสและปักลงบนเงาของเธอ
กี๊!
เงาของโรสที่ส่งเสียงคร่ำครวญ ดีดดิ้นอยู่สักพัก ก่อนจะยุบพองคล้ายดินโคลนและก่อตัวเป็นรูปร่าง
โรสที่ฉงนรีบมองกลับหลัง และพบบริวารของบาเอลในตำแหน่งดังกล่าว
“อ…อะไรกัน…!”
บาเอลก็สนใจเราเหมือนกันหรือ?
ร…เรากำลังจะถูกชักชวน?
โรสเริ่มตื่นเต้นท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด
จากนั้น แอ็กนัสผู้บอกให้หญิงสาวที่กำลังมีความสุขหุบปาก เหยียดแขนขึ้นไปในอากาศ
ดาบกระดูกลอยขึ้นมาและถูกคว้าไว้
ดาบที่ทำจากซี่โครงของมันเอง
Comments
Post a Comment