จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,275



“วันนี้ที่รักกินข้าวไปแล้วหรือ? ผมขอโทษ คราวหน้าจะรีบตื่นให้เร็วกว่านี้”


รอยยิ้มสดใส น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล


หากพูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อว่า แอ็กนัสคือเจ้าของดวงตาที่อบอุ่นยิ่งกว่าฤดูใบไม้ผลิ


บางที… ฉายา ‘หมาบ้า’ อาจเป็นคำวิจารณ์ที่แรงเกินจริงไปสักหน่อย แอ็กนัสตัวจริง ‘ปรกติ’ กว่าที่เราคิดไว้มาก…


‘…ไม่สิ’


หมอเฮล่า ผู้กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยขณะมองแอ็กนัสแสดงความโรแมนติก ส่ายหน้ากับตัวเอง


มีคนปรกติที่ไหนในโลกปฏิบัติต่อ ‘ศพ’ เยี่ยงคนรักด้วยหรือ?


ท้ายที่สุด แอ็กนัสก็ ‘บ้า’ ไม่ต่างจากข่าวลือ


“…คืนนี้คุณก็จะออกไปก่อกวนชาวเมืองเหมือนเดิมใช่ไหม”


หนึ่งเดือนเต็ม


นั่นคือระยะเวลาที่หมอเฮล่าถูกแอ็กนัสจับตัวมาเป็นเชลย


แน่นอน เธอสามารถหนีได้ทุกเมื่อ


ในฐานะผู้เล่นคนหนึ่ง นอกจากกฎหมายของอาณาจักรและคำสั่งจาก NPC พิเศษบางคน ไม่มีอำนาจใดสามารถตีกรอบอิสระของเฮล่าได้


แต่เฮล่ากลับมิได้คิดหนีจากแอ็กนัส


จริงอยู่ เธออาจยอมจำนนในสัปดาห์แรกเพราะหวาดกลัวผลลัพธ์ที่จะตามมา แต่การไม่หนีไปหลังจากนั้นเป็นเพราะความสนอกสนใจ


ทำไมชายคนนี้ถึงมอบความรักให้ตุ๊กตาศพ?


ภายในห้องอาหารบรรยากาศเหม็นอับ


หลังจากจุมพิตลงบนแก้มศพที่สวมเครื่องแต่งกายหรูหราเพื่อบดบังผิวหนังเน่าเปื่อย แอ็กนัสชำเลืองสายตามาทางเฮล่า


ดวงตาที่เคยอบอุ่นดุจดังดวงตะวัน ค่อย ๆ หรี่ลงอย่างเย็นชาและไร้ความรู้สึก


“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว กองทัพยามราตรีจะไม่หยุดทำงานจนกว่าแผ่นดินนี้เหลือเพียงพวกเราสามคน”


เฮล่า ผู้กำลังมองสลับไปมาระหว่างตุ๊กตาศพหญิงสาวและลิชที่นั่งก้มหน้าสร้างเครื่องประดับอยู่ในเงามืด ตัดสินใจรวบรวมความกล้าเพื่อถามออกไป


“สามคน…? คุณ. ฉัน. แล้วใครอีก…”


แอ็กนัสมองเป็นคำถามไร้สาระ


“นี่เธอไม่รู้จริงหรือ”


มันขมวดคิ้วชนกัน ราวกับไม่เข้าใจภาษาอังกฤษที่เฮล่าใช้สื่อสาร


เมื่อเห็นอีกฝ่ายใช้มือโอบไหล่ตุ๊กตาศพอย่างอ่อนโยน เฮล่าไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับความจริงตรงหน้า


แอ็กนัสเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า ตุ๊กตาศพที่มีคำว่า ‘ลูน่า·แคโรไลน์’ เขียนอยู่เหนือศีรษะ คืออีกหนึ่งบุคคลที่ยังมีชีวิตและลมหายใจ


แก๊ง!


ส้อมที่ถูกจับอย่างไม่มั่นคงมาสักพัก หล่นลงไปบนพื้นห้องใต้โต๊ะอาหาร


มันคือส้อมเคยอยู่ในมือลูน่า·แคโรไลน์


เบื้องหน้าตุ๊กตาศพมีจานอาหารที่ยังไม่ถูกกินเข้าไปแม้แต่คำเดียว วางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


แต่แอ็กนัสมิได้เห็นเป็นเช่นนั้น


“กินเสร็จแล้วใช่ไหมที่รัก ผมจะยกไปเก็บให้”


ครืด.


แอ็กนัสใช้ช้อนขูดเศษอาหารลงถังขยะ จากนั้นก็ไปทางลิช ‘พอล’


รูปลักษณ์ภายนอกของพอลแทบไม่ต่างไปจากมนุษย์ปกติ


ยกเว้นผิวหนังอันขาวซีดและเย็นชืด


พอลอาศัยอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มที่ไม่มีเสียงหัวใจเต้น แถมยังปราศจากลมหายใจโดยสิ้นเชิง


“เสร็จแล้วหรือ”


“ใช่”


พอลมอบแหวนที่ตนบรรจงสร้างตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็มให้แอ็กนัส


แหวนแห่งความไร้เหตุผล


ผลงานชิ้นเอกของพอล แหวนที่สามารถลดการใช้ทรัพยากรทุกชนิดลงครึ่งหนึ่ง ถูกคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับเสริมพลังใหม่ให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน


หลังจากสวมแหวน แอ็กนัสฉีกยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ


“กองทัพราตรีในคืนนี้จะถูกยกระดับ”


ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เมื่อมีกลางวันก็ย่อมต้องมีกลางคืน


และกลางคืนอันหนาวเหน็บของกรุงคาราสึ สามารถลดทอนอำนาจของเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมผืนแผ่นดินลงจนแทบไม่หลงเหลือ


หากช่วงเวลาดังกล่าวมาถึง คนตายจะถูกปลุกขึ้นมาไล่ล่าสังหารคนเป็น


ยิ่งนานวันเข้า คนเป็นจะค่อย ๆ หายไป และคนตายจะยิ่งเพิ่มจำนวน


แอ็กนัสหัวเราะในลำคออย่างเย็นชา สายตาจ้องไปทางวังหลวงอาณาจักรโชที่อยู่ห่างออกไป


“จะทำอย่างนุ่มนวลก็แล้วกัน”


***


แต่ไหนแต่ไร ความร้อนคือสื่อกลางระหว่างโลหะกับช่างตีเหล็กเสมอ


หรือก็คือ พวกเขาไม่กลัวไฟ


แต่ก็มีขีดจำกัดอยู่…


พรึบ!


“โอ้…!”


ทั้งที่เกิดเพิ่งใช้งานได้ไม่นาน แต่เตาหลอมกลับสั่นสะเทือนจนผิดวิสัย


ร้อนระอุยิ่งกว่าเมืองทะเลทรายเรย์ดันเสียอีก


ร่างกายของเหล่าช่างตีเหล็กที่ผงะถอยหลังโดยไม่ทันตั้งตัว เริ่มเปียกชุ่มด้วยเม็ดเหงื่อ


ใครบางคนถึงกับต้องถอดเสื้อ


ด้วยเกรงว่า ไอ้ความร้อนจะแผดเผาจนเสื้อผ้าราคาแพงเกิดความเสียหาย


อากาศกำลังร้อนถึงเพียงนั้น


“นี่มัน…”


ผู้เล่นคลาสช่างตีเหล็กอันดับหนึ่งของโลก


แม้แต่ช่างฝีมือแพนเมียร์ก็ยังมิอาจทนต่อความร้อนอันผิดแผกเช่นนี้ไหว มันจำต้องก้าวถอยหลังอย่างไม่มีทางเลือก


ท่ามกลางไอความร้อนที่แทบไม่หลงเหลืออากาศให้หายใจ แพนเมียร์นึกอยากวิ่งออกไปนอกโรงตีเหล็กเหมือนกับคนอื่น


แต่ท้ายที่สุด มันเลือกจะอดทนและเพ่งมอง


ภาพของสุดยอดเปลวไฟจากฝีมือสุดยอดช่างตีเหล็ก กำลังประทับลงในความทรงจำแพนเมียร์โดยมิอาจลบเลือน


ตนต้องทำแบบนี้ให้ได้ในอนาคต มันเพิ่มอีกหนึ่งเป้าหมายชีวิตลงในก้นบึ้งจิตใจ


“แค่ก! แค่ก!”


แพนเมียร์ ผู้มิอาจทนต่อไปได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว รีบวิ่งออกจากโรงตีเหล็กเพื่อรักษาชีวิต


“ฟุด.. ฟุด…”


กริดยังคงเร่งความเร็วเครื่องเป่าลม


เตาหลอมที่ตั้งเด่นตระหง่านอย่างทนทานภายในโรงเหล็กใหญ่นานหลายปี เริ่มถูกย้อมด้วยสีส้มสว่างคล้ายกับกำลังจะละลาย


แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีทีท่าจะหยุดพัก จังหวะการเหยียบเครื่องเป่าลมเป็นไปอย่างสม่ำเสมอและลื่นไหล คล้ายกับจังหวะเท้าของท่ารำดาบ


อย่างไรก็ตาม ศิลาอัคคีภายในเตาหลอมกลับยังอยู่ในสภาพเดิมโดยไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง


ราวกับก้อนหินที่สามารถทนต่อลมหายใจมังกรได้นานถึง 200 ปีกำลังหัวเราะเยาะกริด


กึกกึก!


ฉ่า…


ผิวเตาหลอมเริ่มละลาย


แต่ศิลาอัคคียังคงไม่เปลี่ยนสภาพ


เพียงวางตัวนิ่งเฉยอยู่เหนือเปลวเพลิงสีแดง


ในวินาทีนี้ คล้ายกับชายหนุ่มได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาจากอีกฝ่ายดังแว่วว่า


‘เปล่าประโยชน์’


แต่มุมปากกริดกลับยกขึ้นอย่างมีเลศนัย


“แล้วมาดูกัน… สุดท้ายใครจะเป็นฝ่ายชนะ”


แกร่ก!


ในคลังสัมภาระกริดยังมีฟืนฟอสฟอรัสขาวเหลืออยู่อีกพอสมควร


มากพอจะสร้างไอเท็มได้ไม่ต่ำกว่า 300 ชิ้น


แต่ชายหนุ่มกลับเททั้งหมดลงไปในเตาหลอมรวดเดียวจนเกลี้ยง


ไม่เหลือไว้แม้แต่หนึ่ง


กริดเลือกเดิมพันกับปัจจุบัน โดยไม่คิดเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ถึงอนาคต


การตัดสินใจดังกล่าวเกิดจากความไม่ต้องการพ่ายแพ้ในศึกดวลตรงหน้า ผสมผสานกับความมั่นใจว่าตนสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้


นี่คือสัญชาตญาณของช่างตีเหล็กในตำนาน


ไม่สิ… ช่างตีเหล็กผู้เคยดวลกับเทพ


พรึบ!!


อุณหภูมิในเตาหลอมเพิ่มสูงขึ้นจนข้ามขีดจำกัดที่ไม่มีใครเคยไปถึง


ความร้อนระดับนี้ เกรงว่าแม้แต่ช่างตีเหล็กในตำนานก็มิอาจทนไหว


หากไม่มีสมญานาม ‘ดยุคแห่งไฟ’ รวมถึงหัวใจลำดับที่เก้าของฟินิกซ์แดง ผิวหนังของกริดคงไหม้เกรียมหรือละลายไปนานแล้ว


ขณะชายหนุ่มกำลังยืนในโรงเหล็กตามลำพัง


บึ้มมมมมมมมม!!


เตาหลอมใหญ่เกิดระเบิด


ถึงจะเคยโอ้อวดว่าสิ่งนี้สามารถทนความร้อนได้ในปริมาณมหาศาล แต่สิ่งประดิษฐ์จากฝีมือมนุษย์ย่อมมีขีดจำกัดในตัวเอง


เทคโนโลยีของมนุษย์ไม่มีทางทนทานความร้อนจากฟืนฟอสฟอรัสขาวไหว เพราะฟืนชนิดนี้เกิดจากต้นไม้ที่เหล่าทวยเทพโปรยเมล็ดพันธุ์ทิ้งไว้บนทวีปตะวันออก


บึ้มมมมมมม!!


เปลวเพลิงเริ่มอาละวาด


มวลความร้อนมหาศาลจากเตาหลอมถาโถมใส่กริดประหนึ่งคลื่นสมุทร ก่อนที่จะกลืนกินโรงตีเหล็กทั้งหมดในพริบตา


บึ้มมมมมมม!!


โรงตีเหล็กทั้งหลังเกิดระเบิด


โรงตีเหล็กอันดับหนึ่งในเขตอุตสาหกรรมกรุงไรนฮาร์ทที่มีเตาหลอมนับร้อย แปรสภาพกลายเป็นเถ้าถ่านภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที


“อึ๋ย…!”


“ป…เป็นไปไม่ได้…”


กริดดีใจที่ตนยังได้ยินเสียงของแพนเมียร์


นับว่าโชคเข้าข้าง ไม่มีช่างตีเหล็กคนใดได้รับบาดเจ็บร้ายแรงจากเหตุการณ์คราวนี้


แต่ทุกคนก็ต้องเผชิญอาการตกตะลึงสุดขีดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง


จะต้องเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังมากเพียงใด ถึงมีอานุภาพทำให้โรงตีเหล็กใหญ่เกิดระเบิด…


กริ๊ง~ กริ๊ง~ กริ๊ง~ กริ๊ง~


เสียงสัญญาณเตือนภัยดังกังวานไปทั่วย่านอุตสาหกรรม


ชาวเมืองจำนวนมากรีบวิ่งกรูเข้ามายืนมุงรอบโรงตีเหล็กใหญ่


หน่วยรักษาความปลอดภัยเตรียมเข้าไปตรวจสอบสาเหตุของการระเบิด แต่สุดท้ายกลับต้องชะงักฝีเท้ากลางคัน


เป็นเพราะพวกมันได้ยินคำสั่งจากอัศวินหญิงนาม ‘รอยแมน’


“รอดูท่าทีไปก่อน”


“…”


บรรยากาศโดยรอบพลันเงียบสงัด คล้ายกับทุกคนกลั้นหายใจชั่วขณะ


ซู่ว…


จนกระทั่งฝุ่นควันเริ่มจางลง ภาพของโรงเหล็กใหญ่ได้ปรากฏสู่สายตาทุกคนอย่างแจ่มชัด


ซากอาคารที่เหลือเพียงเค้าโครงและเสาเอก


กริดยืนเด่นสง่าท่ามกลางความพังพินาศ


ซู่ว…


ในจุดที่เคยเป็นเตาหลอมใหญ่ ของแข็งปริศนาสีส้มสุกสว่างกำลังดึงดูดสายตาทุกคู่ให้จดจ้อง


ฉึบ.


กริดรีบจัดระเบียบเครื่องแต่งกายเสร็จ จากนั้นก็นำทั่งเหล็กออกมาวางและใช้แหนบคีบของแข็งสีส้มลงไปวาง


ชายหนุ่มมิได้ใช้เบ้าหล่อช่วยขึ้นรูปดาบ


เคร้ง! เคร้ง!


เสียงทุบค้อนดังทำลายความเงียบด้านนอก


ขั้นตอนการทุบด้วยค้อนและชุบแข็งยังคงดำเนินวนซ้ำอีกเป็นเวลานาน


เปรี้ยง!!


เมื่อแร่ถูกกระแทก มันจะพ่นไฟใส่กริดพร้อมกับค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงรูปทรงไปทีละนิด


ไม่มีใครทราบว่าสิ่งนี้คือ ‘ดาบ’ จนกระทั่งผ่านไปนานหลายชั่วโมง


นับเป็นงานฝีมือที่ใช้เวลารังสรรค์ยาวนาน แถมยังเต็มไปด้วยความประณีตในทุกขั้นตอน


เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!


รูปทรงเริ่มเข้าที่เข้าทางทีละเล็กละน้อย


ฉ่า—!


แม้จะถูกกริดนำไปชุบแข็งซ้ำอีกหลายหน แต่สีแดงสว่างของใบดาบกลับมีแต่จะอ่อนลง


เคร้ง! เคร้ง!


เปลวเพลิงซึ่งคอยแผดเผาทุกครั้งที่ชายหนุ่มกระแทกค้อนใส่ เริ่มบรรเทาลงและไม่เกิดเสียง


จนกระทั่งศิลาอัคคีกลายสภาพเป็นใบดาบโดยสมบูรณ์ กริดจึงเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการลับคมและลงลายคลื่น


“สุดยอด…!”


“เขายังเป็นมนุษย์เหมือนพวกเราจริงหรือ…”


หลังจากผ่านการขัดเงาอย่างประณีต น้ำหนักของใบดาบเริ่มเบาลงและมีสีโปร่งใสคล้ายแก้ว


รอยหยักเล็ก ๆ ซึ่งเกิดจากเทคนิคพิเศษในกระบวนการขึ้นรูป ช่วยให้ใบมีดมีความวิจิตรงดงามในเชิงงานศิลป์


“…อึก!”


ช่างตีเหล็กบนถนนต่างเกิดลางสังหรณ์


นับตั้งแต่วันนี้ไป พวกมันคงกลับไปฝันว่าตนลงมือสร้างใบดาบที่งดงามและไร้จุดตำหนิเล่มนี้ด้วยตัวเอง ก่อนที่จะตื่นขึ้นในตอนเช้าพร้อมกับเผชิญความผิดหวังและท้อแท้


ท่ามกลางความเงียบงันอันอบอวลไปด้วยถ้อยคำชื่นชมภายในใจ


กิ๊ง—


กริดใช้ปลายนิ้วเคาะใบดาบจนเกิดเสียงก้อง


เป็นเนื้อเสียงสุดแสนกังวานและบริสุทธิ์ชนิดที่มันไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต


ไม่เพียงช่างตีเหล็ก แต่ในวินาทีนี้ กระทั่งชาวเมืองทั่วไปก็เริ่มถูกสะกดให้ตกอยู่ในภวังค์


ผู้คนมากมายหลายหมื่น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าประเมินคุณภาพดาบเล่มใหม่ของกริด


ทันใดนั้น เสียงอันไม่คุ้นเคยพลันดังแว่วภายในโสตประสาทชายหนุ่ม


เป็นเสียงที่กริดจะได้ยินอีกหลายหนในอนาคต


> ตัวข้าผู้ไม่เคยพ่ายแพ้แก่มังกรเพลิงเลยสักครั้ง กลับถูกมนุษย์เช่นเจ้ากำราบจนอยู่หมัด… นับแต่นี้เป็นต้นไป แม้นกายาจะแหลกสลาย แต่นายของข้าจะมีแค่เจ้าเพียงผู้เดียว


[ท่านผลิต <ดาบมังกรเพลิง> สำเร็จ!]


[รางวัลการผลิตไอเท็มเกรดมิธ : ค่าสถานะทุกชนิดเพิ่มขึ้น 20 แต้ม ค่าชื่อเสียงระดับทวีปเพิ่มขึ้น 1,000 แต้ม]


“…!”


“…!”


“…!”


ไม่ว่าจะช่างตีเหล็ก ทหารสังกัดตำรวจ อัศวินหลวง หรือแม้แต่คนทั่วไป ทั้งหมดล้วนกำลังยืนตะลึงและทำได้เพียงอ้าปากค้างเป็นเวลานาน


นั่นก็เพราะ ดาบเล่มใหม่ของกริดที่เปี่ยมด้วยคุณค่าในเชิงศิลป์ กำลังลอยวนเวียนรอบตัวชายหนุ่มอย่างอิสระ


หมับ.


กริดคว้าด้ามจับแน่นกระชับ ก่อนจะยกดาบขึ้นฟ้าในท่าเหยียดสุดปลายแขน


เป็นพิธีการทักทายสหายคนใหม่


ฟุบ.


เสียงคมดาบกรีดอากาศดังไพเราะ


ใบดาบโปร่งใสคล้ายแก้วเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสว่าง บริเวณคมดาบค่อย ๆ แผ่ออร่าละอองเพลิงออกมาทีละนิด


พรึบ!!


ละอองเพลิงกลายเป็นเปลวไฟสีแดงลุกโชน


เพียงพริบตา เปลวไฟขนาดมหึมาพลันปะทุออกจากปลายดาบ แหวกอากาศพุ่งทะยานขึ้นไปยังผืนนภาเบื้องบนจนท้องฟ้าถูกชโลมกลายเป็นสีเลือด


บึ้มมมมมมมม!!


ประหนึ่งฟ้ากำลังพินาศ


กริดลดมือขวาลงพลางก้มหน้า มือซ้ายลูบคลำดาบมังกรเพลิงอย่างทะนุถนอม


“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”


______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 2 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,686
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00